
ทั้งความสุขและสมบัติก็อนิจจัง
1 ข้า คิดในใจว่า “มาเลย .. เราจะทดลองเจ้า(ชีวิต)ด้วยความสนุกสนานร่าเริง เพื่อค้นหาสิ่งดี” แต่แล้ว ก็เป็นเรื่องอนิจจัง
2 ข้ามองว่า การหัวเราะเป็นเรื่องโง่ ความสนุกสนานได้ให้ประโยชน์อย่างใดหรือ?”
3 ข้าค้นใจตัวเองว่าจะกระตุ้นร่างกายให้มีความสุขด้วยเหล้าองุ่น และยึดความโง่เง่าเอาไว้ (ในขณะที่ใจของข้า
ก็ได้นำตัวข้าด้วยสติปัญญา)
ข้าอยากเห็นว่า มนุษย์ จะทำอะไรที่มีคุณค่าในโลกได้บ้างในชีวิตอันแสนสั้นของเขาเอง
4 ข้าทำงานที่ออกมายิ่งใหญ่ ข้าสร้างบ้านหลายหลังให้ตัวเอง ข้าปลูกสวนองุ่นให้ตัวเองหลายแห่ง
5 ข้าทำสวนผลไม้ และส่วนหย่อนใจหลายแห่ง ข้าปลูกผลไม้หลากชนิดไว้ในนั้น
6 ข้าสร้างบ่อไว้เพื่อรดน้ำต้นไม้ที่กำลังงอกงาม
7 ข้าได้ซื้อทั้งทาสชายและทาสหญิง และยังมีทาสที่เกิดในบ้านของข้าเพิ่มขึ้นมาอีก ข้ามีฝูงวัว และแพะ แกะ จำนวนมากกว่าใคร ๆ ที่เกิดมาก่อนข้าในเยรูซาเล็ม
8ยิ่งกว่านั้น ข้ายังสะสมเงิน และทองคำจำนวนมากมายเก็บไว้ในคลัง และยังได้รับบรรณาการจากกษัตริย์ และจากแคว้นต่าง ๆ ข้ายังมีนักร้องชายหญิง และยังมีเมียน้อยอีกจำนวนมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ชายชอบนัก
9 ต่อมาข้าก็ยิ่งใหญ่ขึ้น และมีฐานะสูงกว่าทุกคนที่อยู่ในเยรูซาเล็มมาก่อนข้า และข้ายังมีสติปัญญากับตัวด้วย
10 ทุกสิ่งที่ดวงตาอยากดู ข้าก็ไม่ห้ามใจตัวเอง ใจต้องการสนุกขนาดไหน ข้าก็ไม่ห้าม เพราะข้าพอใจกับงานทั้งสิ้นที่ข้าทำลงไป และนี่เป็นรางวัลสำหรับการลงมือทำงานทั้งสิ้น
11 ถึงอย่างนั้น เมื่อข้าหันมาดูงานทั้งหมดที่มือทำลงไป และแรงงานที่ตรากตรำทำไป และดูเถิด ทุกอย่างก็เป็นอนิจจัง เป็นการไล่ตามลม และไม่ทำให้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาภายใต้ดวงอาทิตย์
สติปัญญาดีกว่าความโง่
12 ดังนั้น ข้าจึงหันไปพิจารณาสติปัญญา ความไร้สติ และความโง่เขลา ผู้ใดที่ขึ้นครองราชย์หลังจากกษัตริย์องค์ก่อน
จะทำอะไรได้อีก นอกจากสิ่งที่องค์ก่อน ๆ ทำมาแล้ว?
13 และข้าก็เห็นว่า สติปัญญามีประโยชน์มากกว่าความเขลา เปรียบได้กับความสว่างมีประโยชน์กว่าความมืด
14 คนที่มีสติปัญญามีตาอยู่ในความคิดของเขา แต่คนโง่เดินในความมืด ถึงอย่างนั้น แล้วข้าก็มาตระหนักว่า พวกเขาทั้งสองก็ต้องเผชิญชะตากรรมเดียวกัน
15 ข้าจึงคิดในใจว่า “สิ่งที่คนโง่ต้องเผชิญ ก็จะเกิดกับเราด้วย แล้วเราจะฉลาดเกินไปทำไมเล่า?” ข้าจึงคิดในใจว่า “นี่ก็อนิจจังเช่นกัน”
16 ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคนฉลาดหรือเป็นคนโง่ ก็จะไม่มีใครระลึกถึงพวกเขาตลอดไป ในที่สุด ทุกคนจะถูกลืม คนฉลาดก็ตายเหมือนคนโง่!
ความไร้ค่าของแรงงานที่ลงไป
17 ข้าจึงเกลียดชีวิต เพราะงานที่ทำกันภายใต้ดวงอาทิตย์นั้น ทำให้ข้าเศร้าใจนัก เพราะทุกสิ่งอนิจจัง และเป็นแค่การวิ่งไล่ตามลม
18ข้าพเจ้าเกลียดผลงานที่ได้ตรากตรำทำไปภายใต้ดวงอาทิตย์ เพราะข้าพเจ้าจะต้องละวางไว้ให้กับคนที่มาภายหลัง
19 แล้วใครจะรู้ได้ว่า เขาเป็นคนฉลาดหรือโง่เขลา ถึงอย่างนั้น เขาก็จะเป็นเจ้าของผลจากแรงงานของข้าพเจ้า และเป็นงานที่ข้าพเจ้าใช้สติปัญญา ความเข้าใจภายใต้ดวงอาทิตย์ นี่ก็เป็นความว่างเปล่าด้วย
20 ดังนั้นใจของข้าพเจ้าจึงสิ้นหวังกับทุกชิ้นงานที่ได้ตรากตรำภายใต้ดวงอาทิตย์
21เมื่อมีใครคนหนึ่งลงมือทำงานออกแรงด้วยสติปัญญา ความรู้ ความชำนาญ แต่แล้ว ก็ต้องละวางสิ่งเหล่านั้นให้กับคนที่ไม่ได้ลงแรงทำขึ้นมา นี่เองก็เป็นความว่างเปล่าและน่าเสียดายอย่างยิ่ง
22 คนเราได้ประโยชน์อะไรจากแรงงานทั้งหมด การที่ต่อสู้ ด้วยหัวใจกับสิ่งที่เขาทำภายใต้ดวงอาทิตย์?
23 เพราะตลอดชีวิตของเขานั้น ความพยายามของเขานั้นเจ็บปวดและน่ากังวล แม้ยามค่ำ เขาก็ยังไม่พัก นี่เองก็เป็นความว่างเปล่า
24 ดังนั้นจึงไม่มีอะไรดีสำหรับมนุษย์ยิ่งไปกว่าการกิน และดื่ม และได้รับความสุขจากแรงงานของเขา นี่เป็นสิ่งที่ข้าเห็นว่า มาจากพระหัตถ์ของพระเจ้า
25 เพราะมีใครเล่าที่จะกิน และได้รับความยินดีได้หากปราศจากพระองค์?
26 เพราะพระเจ้าได้ประทานสติปัญญา ความรู้ และความยินดีให้แก่คนที่พระองค์ทรงพอพระทัย สำหรับคนบาป พระองค์ได้มอบงานที่พวกเขาจะต้องเก็บรวบรวม และสะสมไว้เพื่อมอบให้กับคนที่พระองค์ทรงพอพระทัย
นี่ก็ว่างเปล่าเช่นกัน เหมือนวิ่งไล่ตามสายลม
อธิบายเพิ่มเติม
คำอนิจจัง มาจากฮีบรูที่ว่า הֶבֶל (เฮเวล) หมายถึง ไอ ควัน หมอกซึ่งเป็นภาพของสิ่งที่ อยู่ไม่นาน อยู่ประเดี๋ยวเดียว ล่องลอยไป ไม่เป็นที่พอใจอย่างยั่งยืน
ไม่ได้หมายความว่าชีวิตไร้ค่าไปเสียทีเดียว แต่คือชีวิตและทุกสิ่งของชีวิตไม่ยั่งยืน
2:1-11 ทั้งความสุขและสมบัติก็อนิจจัง
ตอนนี้ปัญญาจารย์มีความคิดว่า จะมาทำการทดลองเรื่องความร่าเริง (1-3)
การสร้างสิ่งต่าง ๆ (4-6) และการสะสมสารพัดสิ่ง (7-9) ท่านสรุปตั้งแต่ต้นให้เรารู้ว่า ทั้งหมดนี้ กลับกลายเป็นสิ่งไร้ค่า อนิจจังสำหรับท่าน!
2:1-3 อย่างแรกที่ปัญญาจารย์ตามหาคือ เสียงหัวเราะ ท่านคงเรียกเหล่าคนเล่าเรื่องตลก ตัวตลก มาแสดง มาเล่าเรื่อง ให้หัวเราะมากที่สุด ทุกคนตามหาความสนุกในการหัวเราะ โลกเรามีเรื่องทุกข์มาก ฉะนั้นให้เราหัวเราะกันเถอะ ในยุคของเราก็มีอาชีพที่คนชอบมากคือการทำให้คนหัวเราะ เป็นตลกที่เป็นทีมบ้าง ที่ยืนพูดเดี่ยวบ้าง** (ในเวลาเดียวกัน ปัญญาจารย์ได้บอกว่า การหัวเราะเป็นยาอย่างดีในหนังสือสุภาษิต )
แต่แล้ว ปัญญาจารย์พบว่า นั่นไม่ได้ช่วย ก็เลยไปหาเครื่องดื่มเพื่อสร้างความสุข เพื่อเอาความรู้สึกอนิจจังออกไปจากความคิด คราวนี้ขอใช้แอลกอฮอล์เพื่อช่วยให้ความทุกข์ใจออกไป แต่เมื่อสร่างเมาแล้วก็รู้ว่า มันช่วยไม่ได้อย่างถาวร มันช่วยได้ชั่วครู่ชั่วยาม ข้อนี้แปลกที่ปัญญาจารย์ได้เลือกทำสิ่งที่คิดว่าจะหาความสุขได้ แต่ขณะเดียวกันก็ยังใช้สติปัญญารั้งตัวเองเอาไว้
2:4-7 ปัญญาจารย์ ยังมีความสุขกับการก่อสร้าง การทำสวนมากมาย ที่ทำให้เกิดความรู้สึกมีความสุข ถ้าเรามีโอกาสได้ทำก็จะพบความสุขในการทำไร่เหล่านี้ ทั้งหมดนี้ปัญญาจารย์ได้สร้าง ปลูก ซื้อ เป็นเจ้าของสารพัดสิ่ง ตอนนี้ปัญญาจารย์ (ย้อนกลับไปอ่าน 1 พงศ์กษัตริย์ 4-10) เป็นเหมือนเศรษฐีพันล้านที่เราเห็นในปัจจุบัน
2:8 ปัญญาจารย์ยังพยายามหาความสุขกับการสะสม ทั้งเงิน ทองคำ นักร้องที่จะสร้างความสำราญ และผู้หญิงอีกมากมาย ท่านพยายามหาความสุขทางเพศ แบบ สุดขั้ว แบบที่ผู้ชายชอบ คิดถึงเหตุการณ์ตอนกลางคืนที่มีการกินอย่างฟุ่มเฟือย มีนักร้อง นักเต้นรำแบบตะวันออกกลางในงาน และความร่าเริงที่เน้นเรื่องเพศเป็นหลัก ปัญญาจารย์ก็ไม่ได้หลบเลี่ยงจากสิ่งเหล่านี้ กลับอยู่ในโลกของความชั่วช้านี้ด้วย เวลามั่งคั่ง ต้องการอะไรก็ได้ ความชั่วก็รออยู่ที่จะทำลายชีวิตของเจ้าของสมบัตินั้น ความสุขที่ปัญญาจารย์ ตามหาตอนนี้ ไม่มีพระเจ้าอยู่เลย เป็นวัตถุ ความสุขชั่วครู่ชั่วยามล้วน ๆ
2:9 ยิ่งกว่านั้นปัญญาจารย์ ยังหาความสำเร็จในชีวิต ท่านใหญ่กว่าใคร ร่ำรวยกว่าใคร ๆ ฉลาด กว่าใคร ๆ
2:10 ถ้าเราวัดความสุข ความพอใจจากความสำเร็จในชีวิต .. เราจะพบความรู้สึกเดียวกันปัญญาจารย์ คือไม่ต้องมีความยับยั้งชั่งใจเลย ท่านมองว่า ความสำเร็จที่ได้มาเป็นรางวัลของผลงานที่ทำลงไป ท่านประสบความสำเร็จจนพระราชินีประเทศทางใต้ได้มาชมความยิ่งใหญ่ของพระองค์ ณ ( 1 พงศ์กษัตริย์ 10:66-67)
2:11 เมื่อมาประเมินผลของงานทั้งสิ้น แรงทั้งหมด ความสุข เสียงหัวเราะ และความสำเร็จทั้งสิ้น ท่านกลับท้อแท้หรือเกิน ท่านได้พบว่า ทั้งหมดมีคำตอบอันเดียวกันคือ הֶבֶל คือทุกสิ่งนั้นไม่ยั่งยืน ทั้ง ๆ ที่ในข้อ 10 บอกว่า พอใจกับงานที่ทำ ความสำเร็จทั้งสิ้น ชีวิตแสนสั้นแม้ดูเหมือนประสบความสำเร็จ แต่ก็ยังอนิจจัง ปัญญาจารย์ทำงานเยอะ แต่ไม่ได้ภาคภูมิใจจริง ๆ แตกต่างจากตอนที่พระเจ้าทรงสร้างโลกที่พระองค์ทรงเห็นว่าทุกอย่างที่ทรงสร้างนั้นดี!
สติปัญญาดีกว่าความโง่
2:12-16 แล้วท่านก็มานั่งเปรียบเทียบชีวิตของคนที่มีปัญญากับคนที่โง่เขลา การมีปัญญานั้นดีกว่าแน่นนอนในการใช้ชีวิต แต่แล้ว เมื่อมองไปให้จนสุด ท่านก็มาตระหนักว่า ทั้งสองก็ต้องตายเหมือนกัน (14) เมื่อตายไป ก็จะไม่มีใครคิดถึงพวกเขาอีกต่อไป (16)
เราจะเห็นได้ว่า ท่านไม่ได้มองชีวิตนิรันดร์แบบพระคัมภีร์ใหม่ ท่านยังไม่เข้าใจพระคำที่ว่า การทำงานรับใช้พระเจ้าไม่มีชิ้นใดที่ ที่พระเยซูประทานให้ แต่มองแค่ว่า ชีวิตจบลงที่ความตาย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าหดหู่ใจอย่างยิ่ง
2:17-19
การที่กษัตริย์ซาโลมอนกล่าวว่า “ภายใต้ดวงอาทิตย์” มีความหมายถึงช่วงชีวิตที่มีอยู่บนโลกนี้ ท่านมองว่า ไป ๆ มาๆ ทุกอย่างที่ทุ่มเททำลงไป ก็ต้องทิ้งให้คนอื่นรับไป คน ๆ นั้นจะกลายเป็นเจ้าของสิ่งที่ท่านทำมาทั้งหมด
มันเป็นเรื่องน่าเสียดายที่เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับมนุษย์ทุกยุคทุกสมัย หากมองได้อย่างซาโลมอน พวกเราก็คงไม่ทำอะไรมากไปกว่าการมีชีวิตอยู่ สู้ไปจนกระทั่งสิ้นชีวิต พอตายไปแล้ว ก็ไม่อาจควบคุมอะไรได้เลย น่าหนักใจเสียจริง
2:20-23 สังเกตคำว่า ภายใต้ดวงอาทิตย์ นั่นคือ ชีวิตที่เห็นอยู่ขณะที่ยังมีชีวิต ไม่ใช่ตายไปแล้ว ไม่ใช่โลกหน้า แต่เป็นเรื่องของชีวิตปัจจุบันที่ทุกคนกำลังใช้ชีวิต ออกแรงทำงาน ปัญญาจารย์ไม่เห็นความหวังนอกเหนือไปจากชีวิตในโลกนี้ ท่านเองมีลูกหลานมากมายเพราะมีภรรยามากมายเหลือเกิน ท่านก็เห็นแล้วว่า ทุกสิ่งที่จะตามมา มันน่าจะโกลาหลยิ่งนัก ภรรยาทั้งหมดก็ต้องสู้กันเพื่อได้สมบัติ ลูก ๆ ก็ไม่ได้รักกัน ต่างต้องชิงดีชิงเด่นกัน
จะเห็นว่ายามนอนหลับยังไม่หยุดที่จะคิดโน่นนี่ คิดงาน นอนไม่หลับ ตื่นมาก็อยากจะนอน แต่ต้องไปทำงานแล้ว คนในโลกโบราณไม่ได้ต่างอะไรกับคนโลกปัจจุบัน
2:24-26 ความพึงพอใจที่ได้มาจากพระเจ้า (สุดยอดของชีวิต) แต่แล้ว ก็เกิดการหักมุมความคิด ที่ปัญญาจารย์คิดมาตั้งแต่ต้น ไม่มีพระเจ้าอยู่ในสมการความสุขของท่าน เราลองอ่านข้อ 22-23 เปรียบเทียบกับข้อ 24-26 จะเห็นว่า ความเห็นของท่านเริ่มเปลี่ยนเมื่อท่านนำพระเจ้าเข้ามาในชีวิต การที่ท่านเชื่อในพระเจ้า แต่ยังมีความรู้สึกว่าทุกอย่างเป็นอนิจจังนั้น ก็ไม่ได้ผิดอะไร เพราะเป็นสิ่งที่ท่านต้องตามหาคำตอบ ท่านยังไม่ได้เจอคำสัญญาแห่งชีวิตนิรันดร์จากพระเยซูคริสต์เหมือนคนในสมัยนี้ ชีวิตจึงน่าท้อแท้ แต่อย่างไร ท่านก็ยังมีกำลังใจขึ้นเมื่อคิดถึงว่า พระเจ้าเป็นผู้ประทานความยินดี อาหาร น้ำ ปัญญาให้กับคนที่พระองค์ทรงพอพระทัย
พระคำเชื่อมโยง
ปัญญาจารย์ 2
1* ลูกา 12:19; ปัญญาจารย์ 7:4; 8:15; 1:2
3* ปัญญาจารย์ 1:17; 3:12-13; 5:18; 6:12
4* 1 พงศ์กษัตริย์ 7:1-12
8* 1 พงศ์กษัตริย์ 9:28; 10:10, 14, 21
9* ปัญญาจารย์ 1:16; 2 พงศาวดาร 9:22
11* ปัญญาจารย์ 1:3, 14
12* ปัญญาจารย์ 1:17; 7:25; 1:9
13* ปัญญาจารย์ 7:11, 14, 19; 9:18; 10:10
14* สุภาษิต 17:24; สดุดี 49:10
16* ปัญญาจารย์ 1:11; 4:16
18* สดุดี 49:10
22* ปัญญาจารย์ 1:3; 3:9
23* โยบ 5:7; 14:1
24* ปัญญาจารย์ 3:12-13, 22
26* สุภาษิต 2:6; 28:8
