มีคาห์ 7 ทรงเป็นแสงสว่างของข้า!

บทที่ 7   คร่ำครวญกับบาปของยูดาห์
ประชาชนอิสราเอลต่างถูกหลอก (ไม่ต่างอะไรกับคนในปัจจุบันที่ถูกหลอกทุกนาทีจากมือถือตรงหน้า ) มีคาห์ไม่เจอคนที่ใช่..ในหมู่อิสราเอลเลย สิ่งที่มีคาห์ทำได้คือ หวังพึ่งพระเจ้า รอคอยพระองค์ และอธิษฐานต่อพระองค์ (ข้อ 7 ) โดยหวังว่า พระเจ้าจะทรงพลิกเหตุการณ์ให้

พระเจ้าผู้ที่เราพึ่งพาได้
1 น่าสลดใจเสียจริง!
เพราะข้าพเจ้าเป็นเหมือนคนที่ไปเก็บผลไม้ฤดูร้อน
หลังจากที่เขาเก็บองุ่นไปจนหมดสวน 
ข้าพเจ้าไม่มีพวงองุ่นให้กิน
ไม่มีมะเดื่อสุกผลแรกที่ข้าพเจ้าปรารถนา 
2  คนเที่ยงธรรมสูญหายไปจากแผ่นดิน 
ไม่มีคนท่ามกลางผู้คน 
ทุกคนต่างดักซุ่มรอเพื่อการนองเลือด 
ต่างเหวี่ยงตาข่ายดักกันและกัน 
3 มือทั้งสองข้างถนัดในการทำชั่ว 
ทั้งผู้ปกครองและผู้พิพากษาต่างเรียกร้องสินบน 
คนที่มีอำนาจสั่งการตามความต้องการชั่ว 
พวกเขาวางแผนร่วมกัน 
4 แม้แต่คนดีที่สุดในหมู่พวกเขาเป็นเหมือนต้นหนาม
คนเที่ยงธรรมก็เลวกว่าหนามแหลมคม 
วันของผู้เฝ้ายาม  วันแห่งการลงโทษกำลังมา 
บัดนี้ เป็นเวลาของความตระหนกสับสน 
 5 อย่าวางใจเพื่อน อย่าเชื่อใจเพื่อนสนิท 
จงระวังปากของตนแม้จากหญิงที่อยู่ในอ้อมกอด
6 ที่แน่ ๆ คือ ลูกชายจะเห็นว่าพ่อเป็นคนโง่ 
ลูกสาวจะขัดแย้งกับแม่ของตน
ลูกสะใภ้จะต่อต้านแม่สามี
ศัตรูของแต่ละคนคือ คนในครอบครัวของตนเอง
7 แต่ข้าพเจ้าจะหวังพึ่งในพระยาห์เวห์
ข้าพเจ้าจะรอคอยพระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอด  
พระเจ้าจะทรงยินเสียงของข้าพเจ้า

พระเจ้าผู้เที่ยงธรรม
พระคัมภีร์ในข้อแปดนี้ เป็นกำลังใจให้กับเราทุกคนที่มีช่วงเวลาที่ล้มลง ผิดหวัง พ่ายแพ้ ถ้าคิดได้ วางใจอย่างมีคาห์ เราจะผ่านพ้นความมืดของชีวิตไปได้ ข้อต่อ ๆ ไปได้บอกว่า พระเจ้าทรงนำคนของพระองค์กลับไปสู่ความสว่างอย่างไร

ศัตรูของข้า อย่ามาเยาะหยันข้าไปเลย
แม้ข้าล้มลง ข้าจะลุกขึ้นมาอีก
แม้ข้านั่งอยู่ท่ามกลางความมืดสนิท
พระยาห์เวห์จะทรงเป็นแสงสว่างของข้า

9  เพราะข้าพเจ้าได้ทำบาปต่อพระองค์ 
ข้าพเจ้าก็ต้องทนต่อพระพิโรธของพระองค์
จนกว่าพระองค์จะทรงสู้ความให้ 
และประทานความเป็นธรรมแก่ข้าพเจ้า
พระองค์จะนำข้าพเจ้าไปสู่ความสว่าง 
และข้าพเจ้าจะเห็นความรอดของพระองค์ 

(หรือความเที่ยงธรรมของพระองค์)
10  แล้วศัตรูของข้าพเจ้าจะเห็น
และถูกคลุมตัวด้วยความอับอาย ..
คือคนนั้นที่กล่าวกับข้าพเจ้าว่า
“ไหนล่ะ พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า?”  
ข้าพเจ้าจะมองเขาในเวลาที่เขาถูกเหยียบย่ำใต้ฝ่าเท้า
เหมือนโคลนบนถนน 

11 วันนั้นจะมาถึง คือวันที่ท่านจะสร้างกำแพงใหม่อีกครั้ง
วันนั้นอาณาเขตของท่านจะขยายออกไป 
12 ในวันนั้น ประชาชนจะมาหาท่านจากอัสซีเรีย
และจากเมืองต่าง ๆ ในอียิปต์
จากอียิปต์ถึงแม่น้ำยูเฟรตีส
จากทะเลจรดทะเล
จากภูเขาจรดภูเขา
13 โลกจะกลายเป็นที่ร้างเพราะชาวโลกเอง
นั่นเป็นผลมาจากการกระทำของพวกเขา 

พระเจ้าทรงยินดีที่จะสำแดงพระกรุณา
คนของพระเจ้าชนะ และผ่านอุปสรรคทั้งปวงไปได้ไม่ใช่เพราะเขาเก่ง แต่เป็นเพราะเขาวางใจพระเจ้าผู้ทรงพอพระทัยที่จะสำแดงพระเมตตาแก่คนที่ถ่อมตนลงต่อพระองค์ พระองค์พอพระทัยที่จะยกบาปและเขวี้ยงมันไปให้พ้น และไม่ระลึกถึงมันอีกเลย

14 ขอพระเจ้าทรงเลี้ยงดูประชากรของพระองค์
ด้วยไม้เท้าของพระองค์
พวกเขาเป็นฝูงแกะของพระองค์ 
พวกเขาอาศัยกันอยู่ตามลำพังในป่าที่มีทุ่งหญ้าล้อมรอบ
ขอทรงให้เขาหากินในบาชานและกิเลอาด
เหมือนอย่างในอดีตกาลนานมาแล้ว 
15 “เราจะทำการอัศจรรย์ให้กับพวกเขา
เหมือนครั้งที่พวกเจ้าออกมาจากแผ่นดินอียิปต์”

 16 ชาติต่าง ๆ จะเห็นแล้วรู้สึกละอาย
กับกำลังทั้งหมดที่พวกเขามีอยู่  
พวกเขาจะเอามือปิดปาก และแสร้งทำเป็นหูหนวกไป



17 พวกเขาจะเลียผงดินเหมือนกับงู
เหมือนตัวที่เลื้อยคลานตามพื้นดิน 
พวกเขาจะตัวสั่นออกมาจากที่กำบังแข็งแกร่ง
จะหันมาหา พระยาห์เวห์ พระเจ้าของเรา
และจะยืนอยู่ด้วยความครั่นคร้ามพระองค์
18 ใครล่ะ ที่เป็นพระเจ้าที่อย่างพระองค์
ผู้ทรงยกบาปออกไป
และทรงยกโทษการกบฏ
ของคนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ที่หลงเหลืออยู่?

พระองค์มิทรงเก็บความโกรธเอาไว้ตลอดนิรันดร์
เพราะทรงปีติยินดีในการแสดงความรักมั่นคง  
19 พระองค์จะทรงสงสารเราอีกครั้ง
และจะทรงพิชิตความชั่วช้าของเรา 
พระองค์จะทรงเหวี่ยงบาปทั้งสิ้นของเราลงไปในทะเลลึก
 20  พระองค์จะทรงแสดงความซื่อตรงต่อยาโคบ
และแสดงความรักมั่นคงต่ออับราฮัม 
ดังที่ทรงปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของพวกเรา 
เมื่อครั้งที่นานมาแล้ว 

คำอธิบายเพิ่มเติม

7:1 ตอนนี้มีคาห์รู้สึกเป็นเหมือนคนที่อยากกินผลไม้ ไปเก็บในไร่ แต่ก็ไม่มี ทั้งองุ่น ทั้งมะเดื่อที่ชอบกิน เมื่อเปรียบเทียบกับฝ่ายวิญญาณแล้ว จะเห็นว่า เขากำลังผิดหวังกับอิสราเอล คนที่พระเจ้าทรงเลือก แต่กลับไม่มีผลแห่งชีวิตฝ่ายวิญญาณเลย
(อิสยาห์ 5:7 บอกว่า อิสราเอลคือสวนองุ่นของพระองค์ )

7:2 สภาพที่มีคาห์อธิบายตรงนี้ ทำให้รู้สึกท้อแท้ใจมาก ไม่มีคนดีเหลืออยู่ มีแต่ความโหดเหี้ยม การนองเลือด การทำร้ายกันและกัน ที่ท่านเขียนตรงนี้ไม่ได้หมายความว่า ไม่เหลือคนเที่ยงธรรมเลย แต่ท่านกำลังทำให้เรารู้ว่า คนแบบนั้นมีน้อย น้อยมากจริง ๆ

7:3 คนอิสราเอลยุคนั้น เก่งทำชั่วทั้งสองมือ เชี่ยวชาญ และสมคบคิดกันเพื่อประโยชน์ของตน

7:4 ขนาดคนที่ดีที่สุดของพวกเขาก็ยังทำร้ายคนให้เจ็บปวดได้
เรียกได้ว่า ไม่อาจไว้ใจใครได้เลย คนยามร้องบอกอันตราย แต่ก็ไม่มีใครฟัง เมื่อมีศัตรูเข้ามากวาดพวกเขาไป จึงจะรู้ว่า น่ากลัวเพียงใด

7:5 จะเห็นว่า สภาพของสังคมอิสราเอลนั้นตกต่ำสุด เพราะพวกเขาไม่อาจไว้ใจใครแม้กระทั่งคนที่ใกล้ชิด แม้กระทั่งคู่ชีวิตของตนเอง

7:6 เห็นภาพของสังคมเมืองสมัยใหม่ ในโลกโบราณไหม? ทุกคนมีศัตรูอยู่ในบ้าน ใกล้ตัว พูดอะไรก็ไม่ได้ และต้องระวังตัวทุกวินาที

7:7 แต่มีคาห์ยังมีความหวัง เขาหวังในพระเจ้า สิ่งที่เขาทำเป็นตัวอย่างสำหรับพวกเราคือ การรอคอยและอธิษฐาน ขอพระเจ้าทรงฟังเสียงร้องทูล เพราะพระเจ้าทรงเป็นผู้เดียวที่จะแก้สถานการณ์ร้ายที่กำลังเผชิญอยู่ได้

7:8 จากนี้ไป เราจะรู้สึกเหมือนกับว่า มีคาห์กำลังคร่ำครวญ แม้จะพูดเหมือนกับพูดกับตัวเอง แต่ที่จริงแล้ว กำลังพูดกับคนอิสราเอลที่หลงเหลืออยู่ เขาได้สรุปให้เราเห็นถึงพระเจ้าที่ทรงซื่อตรงต่อพระสัญญาของพระองค์เสมอ
ในข้อนี้เขาบอกศัตรูฝ่ายวิญญาณของเขาว่า ไม่มีวันที่เขาจะล้มแล้วล้มเลย จมในความมืดแล้วไม่ออกมา เพราะว่า พระเจ้าทรงเป็นแสงสว่างในชีวิตของเขา เพราะฉะนั้น การแสดงความยินดีของศัตรูเหล่านั้นไม่มีความหมาย …

7:9 ข้าพเจ้าทำบาปต่อพระองค์ ..รวมไปถึงคนอิสราเอลที่ได้ทำบาปต่อพระเจ้าด้วย เขาอธิษฐานอ้อนวอนเพื่อคนของพระองค์ เขากำลังมองตัวเองเป็นคน ๆ เดียวกับทั้งชาติอิสราเอลที่ผิดต่อพระเจ้า เขายอมรับการลงโทษของพระเจ้าโดยเชื่อว่า พระเจ้าจะเป็นดั่งทนายแก้ต่างให้ และพระองค์จะทรงเป็นผู้นำเขาออกจากความมืดที่กำลังเผชิญอยู่นี้ คำของมีคาห์ตอนนี้ ทำให้เราคิดถึงคำของท่านที่เขียนหนังสือสดุดี พวกเขาพบความมืด แต่พระเจ้าจะเป็นผู้ปกป้องและช่วยกู้
ถ้าเราเปลี่ยนคำว่าข้าพเจ้า เป็นข้าพเจ้าทั้งหลายคือ อิสราเอลที่กลับใจ เราก็จะเห็นว่า พระเจ้ากำลังเมตตาพวกเขาจากการที่พวกเขาถ่อมตนลง เห็นความผิดของตน และได้รับพระเมตตาจากพระเจ้า

7:10 แล้วมีคาห์จะเห็นความพ่ายแพ้ของศัตรูที่โอหัง ที่ท้าทายพระเจ้า และคิดว่า ตนเองใหญ่กว่าพระองค์ เราจะเห็นคนที่รู้สึกว่าตนเองยิ่งใหญ่ เป็นเจ้าของตนเองต้องอับอาย ไม่ต้องการให้ใครเห็น แต่กลับเป็นว่า โลกปัจจุบันนี้ เขาสามารถย้อนอดีตไปดูสิ่งที่เคยทำได้ คลิปต่าง ๆ ไม่ได้หายไปง่าย ๆ มันพร้อมย้อนกลับมาหลอนเจ้าตัวเสมอ

7:11-13 แล้วมีคาห์ก็กล่าวล่วงหน้าไปถึงยุคสุดท้าย คือการปกครองของพระเยซูพระเมสสิยาห์พันปี เมื่อถึงวันรื้อฟื้นอิสราเอลที่หลงเหลืออยู่ (อิสยาห์ 11:16) ผู้คนจะกลับมาจากอัสซีเรีย และอียิปต์ ส่วนคนที่ต่อต้านท้าทาย พระเมสสิยาห์ จะพบการเริศร้างของแผ่นดิน (เศคาริยาห์ 14:16-19)

7:14 มีคาห์ทูลขอพระเจ้าทรงกลับมาเป็นพระผู้เลี้ยง เป็นกษัตริย์ของอิสราเอลอีกครั้ง พวกเขาจะเป็นแกะในคอกของพระองค์ เหมือนอย่างที่เขาเคยเป็น (สดุดี 23)

7:15 พระเจ้าทรงยืนยันกับมีคาห์ว่า จะทรงทำอัศจรรย์ให้กับพวกเขา ซึ่งนับว่าใหญ่โตมาก เพราะจะเป็นเหมือนครั้งที่ออกมาจากอียิปต์ เป็นการรื้อฟื้นอัศจรรย์ที่คาดไม่ถึง

7:16-17 เราต้องเข้าใจอย่างหนึ่งคือ ชาติต่าง ๆ ที่ว่าตรงนี้คือ ศัตรูของพระเจ้า พวกเขาจะได้รับรู้ว่า ที่เขาคิดว่าตัวเองมีพลังมาก แต่เมื่อเทียบกับพระเจ้าแล้ว สิ่งที่พวกเขาสะสมทั้งอาวุธ ทั้งจำนวนทหารก็ด้อยไปเลยเมื่อเจอวิธีการที่พระเจ้าจัดการกับอิสราเอลและพวกเขา สิ่งที่พวกเขาสะสมทำมา ก็จะพังในพริบตา พวกเขาจะไม่มีโอกาสเหยียดหยามหรือดูหมิ่นของพระองค์อีกต่อไป

7:18-20 พระเจ้าแห่งอิสราเอล ไม่มีใครเทียบ เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้เดียวที่จะอภัยบาปให้แก่มนุษย์ได้ หากพระองค์ไม่อภัย ก็ไม่มีใครอาจเรียกร้องหรือท้าทายพระองค์ได้ พระเจ้าผู้ไม่มีใครเทียบได้ ทรงพระเมตตาและสงสารคนของพระองค์ ทรงสัญญาจะเหวี่ยงบาปที่พวกเขาเคยทำให้พระองค์กริ้วอย่างมากนั้น ไปให้ไกล ลงไปในทะเลลึก ทั้งหมดนี้เป็นเพราะพระองค์ทรงซื่อตรงต่อพระสัญญาที่ทรงให้ไว้กับบรรพบุรุษของอิสราเอล เราจะได้เห็นพระสัญญาของพระเจ้าสำเร็จแน่นอน เพราะวันนั้นใกล้เข้ามาเต็มที

มีคาห์ 7
1* อิสยาห์ 17:6; 28:4
2* อิสยาห์ 57:1; ฮาบากุก  1:15
3* มีคาห์ 3:11
4* เอเสเคียล 2:6
5* เยเรมีย์ 9:4; เฉลยธรรมบัญญัติ 28:56
6* มัทธิว 10:36
7* อิสยาห์ 25:9
8* สุภาษิต 24:16- 17
9* เพลงคร่ำครวญ  3:39-40; เยเรมีย์ 50:34



10* สดุดี 35:26; 42:3
11* อาโมส  9:11
12* อิสยาห์ 11:16; 19:23-25
13* เยเรมีย์ 21:14
14* อิสยาห์ 37:24
15* สดุดี 68:22; 78:12; อพยพ 34:10
16* อิสยาห์ 26:11; โยบ 21:5
17* อิสยาห์ 49:23; สดุดี 18:45; เยเรมีย์ 33:9
18* อพยพ 15:11; มีคาห์ 4:7; สดุดี 103:8-9,13; เอเสเคียล 33:11
20* ลูกา 1:72-73

มีคาห์ 6 คดีฟ้องร้องยูดาห์

ข้าพเจ้าควรจะนำสิ่งใดมาต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ ยามที่ข้าพเจ้าเข้ามากราบลงต่อพระเจ้าองค์สูงสุด?

พระเจ้าทรงฟ้องร้องยูดาห์
ผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกมาเป็นพยาน เป็นคณะลูกขุนของพระองค์ คือ ภูเขาทั้งหลาย
พระองค์ทรงทำอะไรให้พวกเขาจนกระทั่งพวกเขาดูหมิ่น และทำบาปต่อพระองค์ สิ่งที่เราเห็นจากอิสราเอลยุคนี้คือ พวกเขาขาดความกตัญญูต่อพระเจ้า ไม่มีเลยสักนิด (เราจะรู้สึกถึงพระทัยของพระเจ้าชัดขึ้นเมื่อย้อนกลับไปที่อิสยาห์ 5)

1 บัดนี้ จงฟังว่าพระยาห์เวห์ได้ตรัสอย่างไร
 “จงลุกขึ้น และสู้คดีของเจ้าต่อหน้าภูเขาทั้งหลาย และให้เนินเขาได้ยินเสียงของเจ้า
2 จงฟังคำกล่าวโทษขององค์พระยาห์เวห์
ภูเขาทั้งหลายเอ๋ย
จงฟัง ฐานรากอันมั่นคงของโลก
เพราะพระเจ้าทรงมีคดีกับประชากรของพระองค์
และพระองค์จะทรงตั้งข้อหาของอิสราเอล
3 ประชากรของเราเอ๋ย เราได้ทำอะไรให้เจ้า?
เราได้ทำให้เจ้าเหน็ดเหนื่อยอย่างไรหรือ?
จงตอบเรามาเถิด
4 ความจริงคือ เราได้นำเจ้าขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์ และไถ่เจ้าออกจากที่ซึ่งกักเจ้าไว้เป็นทาส
เราส่งโมเสส อาโรนและมิเรียมไปล่วงหน้าเจ้า
5  ประชากรของเราเอ๋ย จงระลึกถึงสิ่งที่กษัตริย์บาลาคแห่งโมอับต้องการแช่งเจ้า และสิ่งที่บาลาอัม ลูกชายของเบโอร์ตอบเขาด้วยการอวยพรเจ้า  และสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทางจากชีทธีม ถึงกิลกาล เพื่อเจ้าจะได้รู้ว่าพระยาห์เวห์ทรงทำกับเจ้าอย่างยุติธรรม 

คำสารภาพ
มีคาห์ทราบดีว่า พระเจ้าทรงประสงค์การกลับใจ ไม่ใช่การนำของมาถวายพระองค์เหมือนอย่างที่พวกเขาทำกับรูปเคารพของพวกเขา สิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์ที่สุดคือการเชื่อฟัง

6  ข้าพเจ้าควรจะนำสิ่งใดมาต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ยามที่ข้าพเจ้าเข้ามากราบลงต่อพระเจ้าองค์สูงสุด?
ข้าควรจะเข้ามาเฝ้าพร้อมกับเครื่องเผาบูชาด้วยเหล่าลูกวัวอายุหนึ่งปีอย่างนั้นหรือ?
7 องค์พระยาห์เวห์จะทรงพอพระทัยกับแกะผู้หลายพันตัว หรือธารน้ำมันนับหมื่นสายอย่างนั้นหรือ?  ข้าพเจ้าควรถวายลูกชายคนโตของข้าพเจ้าเนื่องจากข้าพเจ้าได้ล่วงละเมิด
พระองค์อย่างนั้นหรือ ?
ถวายเลือดเนื้อเชื้อไข
เนื่องจากบาปของข้าพเจ้าหรือ? 
มนุษย์เอ๋ย พระองค์ได้ทรงบอกท่านแล้วว่า อะไรดีและอะไรเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์จากพวกท่าน นั่นก็คือ การประพฤติอย่างยุติธรรม การรักความซื่อตรง และการดำเนินชีวิตไปด้วยความถ่อมใจกับพระเจ้าของท่าน (แม้พระคำข้อนี้จะเป็นพระคำยอดนิยม .. แต่เราต้องรู้ว่า เรา ในยุคปัจจุบัน ก่อนที่เราจะทำสิ่งที่พระองค์ประสงค์ได้นั้น เราต้องเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ก่อน เป็นลูกของพระเจ้าก่อน )

คำพิพากษา
การพิพากษาของพระเจ้านั้นชัดเจน อิสราเอลจึงรู้ว่า ที่ตนเองตกอยู่ในสภาพเชลยเป็นเพราะพระเจ้าทรงเตือนแล้วเตือนอีก แต่พวกเขาก็เมินพระองค์ กษัตริย์อมรีและอาหับ เป็นกษัตริย์ที่นำให้ประชาชนตกอยู่ในความมัวเมากับรูปเคารพ
เมื่อผู้นำทำผิด ประชาชนตาม พวกเขาจึงต้องเผชิญการพิพากษาเดียวกัน

9 พระสุรเสียงของพระยาห์เวห์ได้เรียกนครเยรูซาเล็ม  การยำเกรงพระนามของพระองค์ก็คือสติปัญญา  “จงฟังเถิด โอชนชาติ ที่ชุมนุมกันในเมืองนั้น ”
10  โอ ยังมีคนในบ้านชั่ว
พร้อมกับทรัพย์สมบัติที่ได้มาจากความโหดร้าย
และเครื่องชั่งตวงโกงที่ถูกสาป
อยู่ในบ้านหรือเปล่า ?
11 จะให้เราปล่อยตัวให้คนชั่วโกงตาชั่ง
หรือปล่อยคนใช้ตุ้มน้ำหนักโกงตาชั่ง
ลอยนวลไปอย่างนั้นหรือ?
12  ผู้ที่มั่งคั่งในเมืองนั้นเต็มด้วยความรุนแรง ประชาชนล้วนโกหก ลิ้นของพวกเขาหลอกลวงทั้งนั้น 


13 “ผลก็คือ เราจะเฆี่ยนเจ้าอย่างรุนแรง จะทำให้บ้านเมืองกลายเป็นร้างเพราะบาปของพวกเจ้า”
14 เจ้าจะกิน แต่ไม่เคยอิ่ม
เพราะเจ้ายังคงหิวโหยไม่หยุด 
สิ่งที่เจ้าเอามาเก็บไว้ แต่กลับไม่มีอะไรเหลือ
สิ่งที่เจ้าสะสมก็จะต้องเจอคมดาบจากเรา
 15 เจ้าจะได้หว่าน แต่ไม่ได้เก็บเกี่ยว
เจ้าจะคั้นลูกมะกอก
แต่จะไม่ได้เจิมตนเองด้วยน้ำมัน
เจ้าจะย่ำองุ่น แต่ไม่ได้ดื่มเหล้าองุ่น
16 เพราะเจ้ายังคงเดินตามกฎเกณฑ์ของอมรี และปฏิบัติตนตามพิธีกรรมของวงศ์วานอาหับ 
เจ้าทำตามอย่างพวกเขา 
ดังนั้น เราจะทำให้เจ้าเป็นสถานที่รกร้าง และประชาชนในเมืองของเจ้าจะถูกเหยียดหยาม เป็นที่เยาะเย้ยของชาติต่าง ๆ  

อธิบายเพิ่มเติม

6:1-2 พระเจ้าทรงเรียกภูเขาใหญ่น้อยมารับรู้การกล่าวโทษชนอิสราเอลเหมือนครั้งที่อิสยาห์ และโมเสส เคยชวนให้ฟ้าสวรรค์ แผ่นดินมาฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าในอิสยาห์ 1:2 เฉลยธรรมบัญญัติ 32:1 สิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติเหล่านี้อยู่กันมาเนิ่นนาน ถ้าพูดได้ ก็คงจะเป็นพยานให้พระเจ้าถึงพฤติกรรมต่าง ๆ ของอิสราเอลที่ได้ล่วงละเมิดพระเจ้า

6:3 พระเจ้าทรงเรียกให้เขาตอบพระองค์ว่า เหตุใดพวกเขาจึงเลิกที่จะเชื่อฟังพระองค์ พระองค์ทรงทำอะไร ตอบมา พระเจ้าไม่ได้ทรงเอาแต่จะลงโทษ ทรงเปิดโอกาสให้พวกเขาพูดออกมาถึงสิ่งที่อยู่ในใจ ตรงนี้ เราจะเห็นว่า เมื่อเรามีอะไรอยู่ในใจก็ทูลต่อพระเจ้าได้ ไม่ต้องปิดเอาไว้ คับแค้นใจแค่ไหนก็ให้บอกมา พระเจ้าทรงเปิดโอกาสแล้ว

6:4 พระเจ้าทรงย้อนอดีตให้เขาได้พิจารณาตัวเอง เมื่อพวกเขาตกเป็นทาสแรงงาน ถูกบังคับขู่เข็ญ พระเจ้าทรงไถ่พวกเขาออกมาอย่างอัศจรรย์ ทรงส่งผู้รับใช้ของพระองค์ไปช่วยพวกเขา ทรงจัดโมเสสเป็นสื่อกลางที่ประทานบทบัญญัติ อาโรนเป็นปุโรหิตเพื่อช่วยพวกเขาเรื่องการลบบาป ทรงให้มิเรียมเป็นดั่งผู้เผยพระดำรัสเพื่อนำพวกเขาสรรเสริญขอบคุณพระเจ้า

6:5 เมื่อโมอับต้องการแช่งอิสราเอล พระเจ้าทรงเปลี่ยนปากของคนทำนายรับจ้างคือบาลาอัมให้กล่าวคำพรแก่อิสราเอล
(กันดารวิถี 22-24)ทั้งหมดนี้ พระเจ้าทรงยุติธรรม และทรงให้อิสราเอลเกินกว่าที่เขาสมควรจะได้

6:6 แล้วมีคาห์ก็ทูลตอบพระเจ้าเหมือนว่าจะแก้ต่างให้อิสราเอล เขาทูลถามว่า ควรนำเครื่องเผาบูชาเป็นลูกวัวตัวเล็กหนึ่งขวบไหม? เป็นตามอย่างที่โมเสสเคยบัญชาไว้ใช่ไหม? (เลวีนิติ 9:2-3)

6:7 แล้วเขาก็ทูลรายงานเรียงดูว่า เครื่องบูชาแบบไหนที่พระเจ้าทรงพอพระทัย
แกะผู้หลายพันตัว .. น้ำมันที่มากมายดั่งสายน้ำเป็นหมื่นสายหรือลูกชายหัวปี ? พระเจ้าทรงประสงค์อย่างไรกันแน่? มีคาห์ถามให้ประชาชนที่ฟังอยู่คิดว่า พระเจ้าทรงประสงค์อะไร ซึ่งก็น่าจะอยู่ในใจพวกเขาแล้ว แต่ละคนคงคิดว่า มีคาห์ต้องให้คำตอบมาสักหนึ่งข้อสิ

6:8 แต่แล้ว มีคาห์พลิกความคาดหมายของพวกเขา พระเจ้าไม่ได้สนพระทัยในสัตว์ หรือลูกชายหัวปี สิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์นั้นต้องมาจากหัวใจที่กลับใจแล้ว พฤติกรรมยุติธรรมซื่อตรง ถ่อมใจ เดินไปกับพระเจ้า … ทรงขอเพียงแค่นี้ ..แต่อิสราเอลไม่สามารถมอบให้พระเจ้าได้
พวกเขาหยิ่งเกิน ดื้อเกิน หลงไหลรูปเคารพเกิน…..

6:9 มีคาห์บทนี้ ได้บันทึกคำพิพากษาของพระเจ้าก็จริง แต่แล้ว พระเจ้าก็ทรงสัญญาจะให้การรื้อฟื้นเกิดขึ้นในบทต่อไป
ตอนนี้พระเจ้าทรงเรียกนครเยรูซาเล็มเพื่อจะบอกบางอย่างแก่พวกเขา …

6:10-11 ยังมีคนที่ขายของซึ่งได้มาจากการโกง การยึดคนอื่นมาเหรือเปล่า พวกเขายังใช้เครื่องชั่งโกง พระเจ้าทรงกล่าวถึงตุ้มน้ำหนักโกงในข้อต่อมา แสดงว่า คนที่ทำการค้าไม่น้อย ได้ใช้เครื่องชั่งที่โกงลูกค้ามานาน พวกเขาคิดว่า พระเจ้าจะไม่ทรงเห็น แต่พระองค์ จะไม่ปล่อยพวกเขาให้ลอยนวล เรื่องนี้

6:12 นอกจากนั้น มีการใช้ความรุนแรง โกหก เพื่อว่าเขาจะได้สิ่งต่าง ๆ ที่ต้องการจากคนยากจน
ข้ามไปข้อ 16 พวกเขายังติดตามรูปเคารพ ไม่ติดตามพระเจ้า
พวกเขาไม่ได้มีหัวใจและพฤติกรรมอย่างที่พระเจ้าทรงประสงค์ในข้อแปดเลย ..

6:13-16 แล้วพระเจ้าก็ทรงเผยว่า พวกเขาจะได้รับอะไรเป็นการลงโทษ การเฆี่ยนของพระเจ้ามาในภาพของเมืองร้าง หิวโหย ยากจน คมดาบ ไม่มีผลจากไร่ ไม่มีน้ำมันมะกอกหรือเหล้าองุ่น อดอยากทุกด้าน และที่ร้ายสุดคือ ชาติต่าง ๆ จะดูหมิ่นเหยียดหยาม
แม้ว่าอิสราเอลจะเป็นประเทศที่มั่งคั่งในเวลานี้ แต่ที่พวกเขาผ่านมาเพราะการที่พวกเขาต้องเข้าไปอยู่ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกเพราะไม่มีแผ่นดินเป็นของตนเองก่อนปี 1948 สิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญมาโดยตลอดคือ การที่ถูกดูหมิ่น เยาะเย้ย และต้องการทำลายอิสราเอลให้พ้นไปจากโลกนี้ สงครามกาซาครั้งนี้ เกิดจากอาหรับต้องการให้อิสราเอลซึ่งเป็นเหมือนหอกข้างแคร่สำหรับพวกเขา ..หมดไปจากโลกนี้ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว

พระคำเชื่อมโยง

มีคาห์ 6
2* สดุดี 50:1, 4; โฮเชยา 12:12; อิสยาห์ 1:18
3* เยเรมีย์ 2:5,31; อิสยาห์ 43:22-23
4* เฉลยธรรมบัญญัติ 4:20
5* กันดารวิถี  22:5-6; ผู้วินิจฉัย 5:11
7* อิสยาห์ 1:11; โยบ 29:6; 2 พงศ์กษัตริย์ 16:3

8* เฉลยธรรมบัญญัติ 10:12; ปฐมกาล 18:19
11* โฮเชยา 12:7
12* มีคาห์ 2:1-2; เยเรมีย์ 9:2-6, 8
13* เลวีนิติ 26:16
14* เลวีนิติ 26:26
15* อาโมส 5:11
16* 1 พงศ์กษัตริย์ 16:25-26; โฮเชยา 5:11; อิสยาห์ 25:8

โรม 10 ทุกคนต้องรับด้วยปากเชื่อด้วยใจ

โรม 10:1-2
พี่น้องชายหญิงทั้งหลายสิ่งที่ข้าต้องการมากที่สุดและที่ข้าอธิษฐานต่อพระเจ้าคือ ขอให้ชาวอิสราเอลทุกคนได้รับความรอด ข้าเป็นพยานเรื่องพวกเขาได้ว่าพวกเขาพยายามอย่างยิ่งที่จะติดตามพระเจ้า แต่ ไม่ได้ทำอย่างถูกวิธีตามความรู้ที่แท้จริง

โรม10:3-4
เพราะเขาไม่รู้ความเที่ยงธรรมที่มาจากพระเจ้า แต่พวกเขาตั้งวิธีการที่จะเป็นคนเที่ยงธรรมด้วยตนเอง 
โดยไม่รับความเที่ยงธรรมของพระเจ้า พระคริสต์ทรงเป็นจุดจบของบทบัญญัติ คือทุกคนที่เชื่อพระองค์จะเป็นคนเที่ยงธรรม 


โรม10:5
โมเสสได้เขียนถึงการที่มนุษย์จะมี
ความเที่ยงธรรมได้โดยการทำตามบทบัญญัติ
ท่านกล่าวว่า “คนที่เชื่อฟังทำตามบทบัญญัติจะมีชีวิตด้วยบทบัญญัตินั้น (เลวีนิติ  18:5)


โรม 10:6-7
แต่พระคัมภีร์กล่าวถึงความเที่ยงธรรมจากความเชื่อนั้นกล่าวว่า อย่านึกในใจว่าใครจะขึ้นไปสวรรค์? (คือนำพระคริสต์ลงมา?) หรือใครจะลงไปนรก? (คือนำพระคริสต์ขึ้นมาจากความตาย?)”

โรม 10:8-9
แต่พระคัมภีร์ได้กล่าวว่า “ถ้อยคำนั้นอยู่ใกล้ท่าน อยู่ในปากอยู่ในใจของท่าน คือ ถ้อยคำแห่งความเชื่อซี่งเรากำลังประกาศ ถ้าท่านยอมรับด้วยปากของท่านว่า “พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” และเชื่อในใจว่า พระเจ้าได้ทรงทำให้พระเยซู ทรงคืนชีพจากความตายท่านจะรอด

โรม10:10-11
ท่านได้รับการประกาศว่าเป็นผู้เที่ยงธรรมเพราะท่านเชื่อด้วยใจ และท่านได้รับความรอดเพราะท่านยอมรับด้วยปาก ตามที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า
“คนใดที่วางใจในพระองค์จะไม่ได้รับความอับอาย”

โรม10:12-13
ไม่มีความแตกต่างระหว่างคนอิสราเอลกับคนต่างชาติ เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกันทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของคนทั้งปวงและประทานพรมากมายให้กับทุกคนที่วางใจในพระองค์ ตามที่
พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “ทุกคนที่ร้องเรียกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็จะรอด”

โรม10:14-15
แต่ที่ผู้คนจะทูลขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยเขา พวกเขาต้องเชื่อในพระองค์ ก่อนที่จะเชื่อใพระองค์ พวกเขาต้องได้ยินถึงพระองค์ก่อน ที่จะได้ยินถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าก็ต้องมีใครบอกพวกเขาก่อน  ที่จะมีใครสักคนไปและบอกพวกเขา ก็ต้องมีคนส่งเขาไปก่อน ตามที่มีเขียนไว้ว่า (อิสยาห์  52:7)
“เท้าของผู้นำข่าวดีนั้นงามสักเพียงใด”

โรม10:16-17
ไม่ใช่คนอิสราเอลทุกคนจะตอบรับข่าวประเสริฐ เพราะอิสยาห์กล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าข้า ใครบ้างหรือที่เชื่อสิ่งที่เขาได้ยินจากเรา?” (อิสยาห์ 53:1)ดังนั้น ความเชื่อจึงมาจากการได้ยินข่าวประเสริฐ  เมื่อมีคนประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระคริสต์

โรม10:18
แต่ข้าถามว่า จริงหรือที่เขาไม่ได้ยินข่าวประเสริฐ? 
ใช่ พวกเขาได้ยินตามที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า“มีเสียงออกไปจนสุดปลายแผ่นดินโลก”
(สดุดี 19:4)

โรม10:19
ข้าถามอีกว่า “คนอิสราเอลไม่เข้าใจหรือ?  แน่นอน เขาเข้าใจทีแรกโมเสสกล่าวว่า เราจะทำให้คนที่
ไม่ใช่ชนชาตินี้ทำให้เจ้าอิจฉา เราจะใช้
ชนชาติที่ไม่เข้าใจทำให้เจ้าโกรธ”

โรม10:20-21
และอิสยาห์กล้าหาญที่กล่าวว่า“คนที่ไม่ได้แสวงหาเราได้พบเรา เราปรากฏแก่คนที่ไม่ได้ถามหาเรา”พระเจ้าตรัสถึงคนอิสราเอลว่า “ตลอดวันเวลา เรายื่นมือของเราออกมาให้แก่ชนชาติที่ไม่เชื่อฟังและดื้อด้าน” (อิสยาห์ 65:2) 

อธิบายเพิ่มเติม

โรม 10:1-2
คนอิสราเอลที่ท่านเปาโลกล่าวถึงนี้ คือคนที่มีความกระตือรือร้นในการติดตามพระเจ้า ในปัจจุบันจะมี 1คนอิสราเอลที่ติดตามบัญญัติอย่างสุดโต่ง
2 คนที่ไม่เอาพระเจ้าเลย 3 คนที่กลับใจมาเชื่อในองค์พระเยซูคริสต
์ คนกลุ่มหลังสุดนี้กำลังเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ พระเจ้าทรงนำพวกเขากลับมาอย่างมหัศจรรย์จะเห็นว่าในจดหมายท่านเปาโลชมด้วยว่ายิวทั่วไปต้องการติดตามพระเจ้าแต่ที่น่าเสียใจคือไม่ทำตามวิธีของพระเจ้า 

โรม10:3-4
การที่ใครคนหนึ่งจะเป็นคนเที่ยงธรรม หรือเป็นคนที่ถูกต้องกับพระเจ้า หรือพ้นผิดได้ ก็ต้องทำตามเงื่อนไขของพระเจ้า แต่มนุษย์ไม่ต้องการฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า พวกเขาคิดหาวิธีการของตนเอง โดยหารู้ไม่ว่า วิธีการของเขาไม่ได้ผล นี่คือมนุษย์ได้สร้างระบบความเชื่อ ศาสนาต่าง ๆ มาเพื่อช่วยให้รู้สึกสบายใจมีที่ยึดเหนี่ยว มีที่ไปหลังจากตายแล้ว แต่พระเจ้าทรงเป็นเจ้าของจักรวาล ทรงเป็นเจ้าของชีวิตทุกคนหน้า ..จึงต้องฟังพระองค์

โรม10:5
ท่านโมเสสกล่าวชัดเจนให้ทุกคนรู้ว่า ถ้าพวกเขาทำตามบทบัญญัติ ก็จะได้ชีวิต ได้ความเที่ยงธรรมจากการทำตามนั้น แต่ปัญหาคือ ไม่มีใครจะได้ชีวิตและได้ความเที่ยงธรรมจากบัญญัติเลย เพราะอะไรเล่า?ก็เป็นเพราะไม่มีใครสามารถทำตามบัญญัติทุกข้อโดยไม่มีการพลาดเลย  ทุกคนมีความพลาดมาตั้งแต่เป็นเด็กมา อย่างน้อย บาปยอดนิยมก็คือทุกคนเคยโกหกกันมาแล้วทั้งนั้น

โรม10:6-7
เราจะเข้าใจพระคำตอนนี้ได้ก็ต้องย้อนไปที่ เฉลยธรรมบัญญัติ 30:11-13 11 สิ่งที่ข้าพเจ้ากำชับท่านในวันนี้ไม่ใช่สิ่งที่เหลือบ่ากว่าแรงหรือเกินเอื้อมสำหรับท่าน 12 ไม่ได้อยู่สูง ในฟ้าสวรรค์จนท่านต้องถามว่า “ใครจะขึ้นไปบนสวรรค์แล้วนำมาประกาศแก่เราเพื่อเราจะได้ปฏิบัติตาม?” 13 และไม่ใช่อยู่โพ้นทะเลจนท่านต้องถามว่า “ใครจะข้ามทะเลเพื่อนำมาประกาศแก่เราเพื่อเราจะได้ปฏิบัติตาม?”  (จากเล่มอมตธรรมร่วมสมัย)นั่นคือ ความเที่ยงธรรมจากความเชื่อไม่ได้อยู่ไกล จนเป็นนามธรรม ไกลจนไม่เข้าใจ สังเกตได้ว่าท่านเปาโลได้ใช้พระคัมภีร์เดิมหลายข้อในหนังสือโรมเพราะยิวที่มาเชื่อนั้นคุ้นเคยดี

โรม 10:8-9
(เฉลยธรรมบัญญัติ  30:14) การที่จะได้รับของประทานยิ่งใหญ่จากพระเจ้า “ความรอดพ้น”  นั้น คือการได้อยู่กับพระเจ้าอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งในโลกนี้และหลังจากตายไปแล้ว  สิ่งแรกที่เราต้องทำคือการรับด้วยปาก”พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” และเชื่อด้วยใจว่า “พระบิดาทรงทำให้พระองค์คืนชีพจากความตาย” เป็นสองสิ่งที่ดูง่าย แต่คนเป็นจำนวนมากกลับไม่ยอม พวกเขาต้องการวิธีที่ยากกว่า ต้องการวิธีที่เขาทำเองเพื่อได้มา

โรม10:10-11
 ฉะนั้นพระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่า“ดูเถิด เราวางศิลาก้อนหนึ่งไว้ในศิโยนเป็นศิลามุมเอกล้ำค่าเหมาะเป็นรากฐานอันมั่นคงผู้ที่วางใจจะไม่มีวันท้อแท้[ (อิสยาห์ 28:16) (อมตธรรมร่วมสมัย) เราเห็นชัดว่า ท่านเปาโลยังไม่ได้หลุดไปจากคำจากพระคัมภีร์เดิมเลย ท่านใช้ข้อความต่าง ๆ ที่ชาวยิวคริสเตียนรู้ดี มาทำให้พวกเขาเข้าใจว่า ผู้เผยพระดำรัสสมัยก่อนได้กล่าวถึงพระเยซูมาตั้งนานแล้ว  การที่เราแต่ละคนปฏิเสธพระองค์เท่ากับเป็นการหาความอับอายมาให้ตัวเอง 

โรม10:12-13
และทุกคนที่ร้องออกพระนามของพระยาห์เวห์จะรับความรอดจากโยเอล 2:32  ท่านเปาโลได้ยืนยันชัดเจนให้ผู้เชื่อชาวยิวไม่หลงตัวเองไปว่า พวกเขาเป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือก จึงเป็นพวกเดียวที่มีสิทธิรับความรอดได้พระยาห์เวห์ในโยเอล คือองค์พระเยซูคริสต์เพราะพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของมนุษย์ทั้งปวงจึงทรงตอบคำอธิษฐานใครก็ตามที่ร้องเรียกหาพระนามของพระองค์ด้วยจริงใจ รับด้วยปากเชื่อด้วยใจ  พระเจ้าจะไม่ทรงเมินจากพวกเขา 

โรม10:14-15
พระคำข้อนี้จริง ๆ แล้ว เป็นวัฎจักร  คนที่ได้เชื่อจะกลายเป็นคนที่ออกไปในเวลาต่อมา พระเจ้าทรงใช้เราทุกคนให้เป็นคนที่ถูกส่งออกไป  เท้าของผู้นำข่าวดีท่านแรกคือ องค์พระเยซูคริสต์ที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน คนต่อ ๆ มา จำนวนไม่น้อยที่ถูกเข่นฆ่าทรมานเพราะพวกเขายึดมั่นในพระองค์ผู้พลีชีวิตเพื่อพวกเขา  พระเจ้าทรงให้กำลังใจกับทุกคนที่ออกไป สิ่งที่งามสุดคือ เท้าของพวกเขา! เป็นเท้าที่นำความรอดไปสู่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน 

โรม10:16-17
ท่านเปาโลรู้ดีว่า คนอิสราเอลจำนวนมากจะต้องได้ยินเรื่องพระเยซู องค์พระเมสสิยาห์ พระผู้ช่วยให้รอดที่พระเจ้าทรงส่งลงมา แต่ก็มีจำนวนมากที่จะไม่ยอมรับพระองค์ ยังติดกับเชื่อว่าจะต้องทำตามบทบัญญัติให้ครบจึงจะรอด การรับด้วยปากเชื่อด้วยใจดูเหมือนง่ายไป  พวกเขายังคงทะนงตัวไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า แต่คนที่ได้รับพระองค์ พวกเขาก็ได้รับการเปลี่ยนชีวิตจริง ๆความถ่อมตนนั้นคือเส้นทางแห่งชีวิตนิรันดร์ !

โรม10:18
ก่อนที่พระเยซูจะเสด็จสู่สวรรค์ พระองค์ทรงบัญชาให้ผู้เชื่อออกไปประกาศพระกิตติคุณทั่วโลก โดยเริ่มจากเยรูซาเล็ม .. จนสุดปลายแผ่นดินโลก ในวันนี้ มีผู้รับใช้ของพระเจ้ามากมายทั้งส่วนตัว ทั้งเป็นองค์กร ทั้งเป็นคริสตจักรที่กลับเข้าไปยังประเทศอิสราเอลที่กำลังต่อสู้สงครามรอบด้าน
และปรากฎว่า มีคริสเตียนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ คนชาวอิสราเอลได้ฟังเรื่องพระเยซูอย่างไตร่ตรองมากขึ้น ใช่แล้ว!! พวกเขากำลังได้ยินข่าวประเสริฐ

โรม10:19
(เฉลยธรรมบัญญัติ  32:21) ในสมัยของโมเสส  อิสราเอลได้ก่อกวนให้พระเจ้าทรงพิโรธจากการที่พวกเขาไปไหว้รูปเคารพพระองค์ทรงกริ้วเป็นอย่างมากที่พวกเขาพากันไปสร้างและกราบไหว้รูปเคารพไร้ค่า แทนที่จะเชื่อฟังพระองค์ ดังนั้นเมื่อเขามองว่า คนต่างชาติโง่เขลาพระองค์จะทรงทำให้คนที่พวกเขาเห็นว่าโง่เขลาได้รู้จักพระองค์ ติดตามพระองค์อย่างภักดี  แล้ววันหนึ่งอิสราเอลจะอิจฉาและโกรธมากที่พระเจ้าทรงแสนดีต่อคนต่างชาติ  

โรม10:20-21 พระเจ้าทรงตั้งพระทัยมานานแล้วว่า พระองค์จะให้ชาวโลก ชาติต่าง ๆ ได้มาพบพระองค์ เราเห็นจาก
คำกล่าวของอิสยาห์ และพระเยซูก็ได้ทรงยืนยันน้ำพระทัยของพระเจ้า ซึ่งถ้าย้อนกลับไป เราจะเห็นว่า พระเจ้าทรงตั้งพระทัยมาตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลกเสียอีก (เอเฟซัส 1:4) พอเรารู้อย่างนี้ ก็ต้องขอบคุณพระเจ้ามาก เพราะว่าทรงเลือกอิสราเอลเพื่อให้เขาเป็นพระพร แต่สถานการณ์กลับเป็นว่า ชาติต่าง ๆ จะกลายเป็นพระพรต่ออิสราเอล 

พระคำเชื่อมโยง

โรม 10
2* กิจการ 21:20
3* โรม  1:17; ฟีลิปปี 3:9
4* กาลาเทีย 3:24; 4:5
5* เลวีนิติ 18:5
6* เฉลยธรรมบัญญัติ 30:12-14
7* เฉลยธรรมบัญญัติ 30:13


8* เฉลยธรรมบัญญัติ 30:14
9* ลูกา 12:8
11* อิสยาห์ 28:16
12* โรม 3:22,29  ; กิจการ 10:36;
เอเฟซัส 1:7
13* โยเอล 2:32 ;กิจการ 9:14
14* ทิตัส 1:3

15* อิสยาห์ 52:7; นาฮูม 1:15
16* อิสยาห์ 53:1; ยอห์น  12:38
18* สดุดี 19:4
19* เฉลยธรรมบัญญัติ 32:21; ทิตัส 3:3
20* อิสยาห์ 65:1
21* อิสยาห์ 65:2

มีคาห์ 5 จากเมืองเล็ก ๆ ของเผ่ายูดาห์ 

สองเมืองเปรียบเทียบ
พระเจ้าทรงใช้เมืองที่ต่ำต้อยอย่างเบธเลเฮม
จะเป็นทางที่พระบุตรพระเจ้าเข้ามาบังเกิด
เพื่อทำงานในโลกนี้

1 บัดนี้ นครแห่งป้อมปราการเอ๋ย
จงเสริมกำลังของเจ้าเถิด 
เพราะศัตรูได้มาล้อมเมืองแล้ว
 พวกเขาใช้ไม้เท้าฟาด
ไปที่ใบหน้าของผู้พิพากษาแห่งอิสราเอล
2 “เบธเลเฮม เอฟราธาห์เอ๋ย
แม้ว่าเจ้าเล็กน้อยท่ามกลางเผ่ายูดาห์ 
แต่จะมีผู้หนึ่งออกมาจากเจ้า
เพื่อที่จะปกครองอิสราเอลเพื่อเรา
ท่านนั้นมาจากอดีตกาล  มาจากนิรันดร์กาล

 3  ดังนั้น ท่านจะทิ้งพวกเขาไป
จนถึงเวลาที่ผู้หญิงซึ่งกำลังเจ็บครรภ์
ได้คลอดบุตรออกมา
และพี่น้องคนอื่น ๆ ที่เหลือ
จะกลับมาสมทบกับประชากรอิสราเอล 
4 ท่านจะยืนหยัด และเลี้ยงดูฝูงแกะของท่าน
ด้วยพลังจากพระยาห์เวห์ 
ในความยิ่งใหญ่แห่งพระนามของพระยาห์เวห์
พระเจ้าของท่าน  
พวกเขาจะอยู่อย่างปลอดภัย
เพราะเวลานั้น ความยิ่งใหญ่ของท่าน
จะขยายเขตออกไปจนสุดปลายแผ่นดินโลก
5 (a)พระองค์จะทรงเป็นสันติสุขของพวกเขา

ชัยชนะสองด้าน
พระเมสสิยาห์จะทรงมีชัยเหนือศัตรู
และทรงชนะใจผู้คนของพระองค์ด้วย
จะทรงชำระบาปของพวกเขา ทุกสิ่ง
ที่เป็นรูปเคารพ เครื่องรางต่าง ๆ จะถูก
ทิ้งไป และพวกเขาจะมีชีวิตในสันติสุข

5 (b)เมื่ออัสซีเรียบุกรุกแผ่นดินของเรา
เหยียบย่ำป้อมปราการของเรา
เราจะตั้งผู้เลี้ยงแกะ  7 คน ผู้นำ 8 คน
ที่จะมาต่อสู้กับพวกเขา 
6  พวกเขาจะเลี้ยงดูแผ่นดินอัสซีเรียด้วยดาบ
ปกครองแผ่นดินของนิมโรดด้วยดาบที่ชักออก
เพื่อว่าเขาจะช่วยกู้เราจากอัสซีเรีย
เมื่อพวกเขาเข้ามาบุกแผ่นดินของเรา 
เมื่อพวกเขายกทัพเข้ามาบุกรุกเขตแดนของเรา
7 คนที่หลงเหลือของยาโคบจะอยู่ท่ามกลางชาติต่าง ๆ
จำนวนมากเหมือนกับน้ำค้างจากพระยาห์เวห์
เหมือนกับฝนที่โปรยลงมาบนใบหญ้า
ซึ่งไม่ต้องมีการรอคอยใคร
ไม่ต้องหวังพึ่งมนุษย์
8 แล้วคนที่หลงเหลือของยาโคบ
จะอยู่ท่ามกลางชาติต่าง ๆ ท่ามกลางผู้คนมากมาย
เหมือนกับสิงโตอยู่ท่ามกลางสัตว์ป่า 
เหมือนกับสิงโตหนุ่มท่ามกลางฝูงแกะ
ซึ่งมันจะเหยียบย่ำ และฉีกเนื้อ
ในขณะที่มันย่างไป และไม่มีใครจะช่วยได้
9  มือของท่านจะยกชูขึ้นต่อต้านฝ่ายตรงข้าม
และศัตรูทั้งหลายของท่านจะต้องพินาศไป

พระเจ้าจะทรงชำระคนของพระองค์
10 นี่เป็นการประกาศขององค์พระยาห์เวห์ ..
ในวันนั้น เราจะกำจัดม้าออกไปจากพวกเจ้า
และทำลายรถศึกของพวกเจ้า
11 เราจะทำลายเมืองต่าง ๆ ในแผ่นดินของเจ้า
และพังทลายป้อมปราการที่แข็งแกร่งของพวกเจ้า 
12 เราจะกำจัดเหล่าแม่มดจากเงื้อมมือของเจ้า
และเจ้าจะไม่มีพวกหมอดูอีกต่อไป 


13  เราจะทำลายรูปปั้นสลักของพวกเจ้า
รวมทั้งเสาหินศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
เพื่อว่าเจ้าจะไม่หมอบกราบสิ่งที่มือของเจ้าทำขึ้นอีกต่อไป 
14 เราจะถอนเสาเทพีอาเชราห์
ที่อยู่ท่ามกลางพวกเจ้าออกไป
และทำลายเมืองต่าง ๆ ของเจ้า 
15  เราจะแก้แค้นด้วยความกริ้ว และเกรี้ยวกราด
ต่อชาติต่าง ๆ ที่ไม่ยอมเชื่อฟังเรา 

อธิบายเพิ่มเติม

สองเมืองเปรียบเทียบ
5:1 ผู้พิพากษาของอิสราเอลโดนฟาดหน้า เป็นการหมิ่นเกียรติอย่างยิ่ง พวกเขาถูกศัตรูล้อมเมือง มีคาห์บอกให้เสริมกำลัง

5:2 ในทันใดนั้น ความรู้สึกพ่ายแพ้ก็เปลี่ยน เป็นความหวัง เพราะว่า มีคำสัญญาเกิดขึ้นว่า พระเจ้าจะทรงส่งผู้หนึ่งเพื่อปกครองอิสราเอล ท่านผู้นี้มาจากนิรันดร์กาล และจะมาเกิดที่เบธเลเฮม เมืองเล็ก ๆ ที่เคยเป็นเมืองของดาวิด ดูเหมือนว่า พระเจ้ากำลังจะส่งผู้ปกครองเชื้อสายดาวิดมาให้อิสราเอล
กลับไปอ่าน 2 ซามูเอล 7: 16 เราจะพบพันธสัญญาของพระเจ้าที่มีต่อดาวิด ว่าบัลลังก์ของท่านจะดำรงตลอดไปเป็นนิตย์ 

5:3 ท่านจะทิ้งพวกเขาไป.. เป็นช่วงเวลาที่พระองค์จากเขาไป มีผู้ให้ความเห็นว่า นี่เป็นช่วงเวลาของคนต่างชาติ อิสราเอลจะทุกข์ทรมานมาก ขณะเดียวกันอิสราเอลก็ปฏิเสธพระเยซูคริสต์ ภายใต้การครองของศัตรู (MacArthur Study Bible) การรวบรวมคนที่หลงเหลือเข้ามาด้วยกันนั้น จะเกิดขึ้นหลังจากที่พระเยซูเสด็จกลับมาครั้งที่สอง (อิสยาห์ 10:20-22 ในวันนั้นชนหยิบมือที่เหลือของอิสราเอล คือวงศ์วานของยาโคบซึ่งรอดชีวิตพึ่งพิงพระยาห์เวห์ องค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอลอย่างแท้จริง ) ในข้อนี้ เหมาะเจาะกับการเสด็จมาครั้งสอง ดังนั้น หญิงที่คลอดบุตรจึงหมายถึงการเกิดขึ้นของประเทศอิสราเอลอีกครั้ง (2:12, 4:6-7) )(1948 คนที่กระจัดกระจายไปกลับมารวมกันที่อิสราเอลและประกาศความเป็นประเทศ 14 พฤษภาคม 1948)

5:4 มีคาห์กล่าวถึงการปกครองพันปีของพระเยซู (อิสยาห์ 6:13 ) พระผู้ไถ่จะทรงเลี้ยงดูคนของพระองค์ดุจเลี้ยงแกะ (เป็นภาพของกษัตริย์ในสมัยโบราณที่เลี้ยงดูประชากรดุจเลี้ยงแกะ)ด้วยพลังของพระยาห์เวห์ ด้วยความยิ่งใหญ่ของพระองค์ (2:12; เศคาริยาห์ 10:3)
แตกต่างจากผู้ปกครองในสมัยมีคาห์อย่างชัดเจน
คนอิสราเอลจะปลอดภัยภายใต้การคุ้มครองของพระองค์ และคนทั้งโลกจะรับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ (มาลาคี 1:11)

5:5 อัสซีเรียเป็นประเทศที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อสั่งสอนอิสราเอลทางเหนือว่า พระองค์ทรงโกรธเพียงใดกับการที่พวกเขาเฝ้ากราบไหว้รูปเคารพและทำตัวเลวร้ายกับเพื่อนบ้านของตน ทั้ง ๆ ที่พระองค์ทรงเตือนแล้วเตือนอีก (เราจะเห็นการเตือนของพระเจ้าไม่หยุดหย่อนในโฮเชยา อาโมส และหนังสือผู้เผยพระดำรัสท่านอื่น ๆ ) พวกเขาไปเป็นเชลย 722 ปีก่อนคริสตศักราช
คำว่าผู้เลี้ยง 7 คน ผู้นำ 8 คน เป็นสำนวนหมายถึงว่าจะมีมากพอที่จะต่อสู้กับศัตรู

ชัยชนะสองด้าน
5:5b- 6 ในสมัยโบราณนั้น อัสซีเรียเป็นผู้บุกรุก และกวาดคนอิสราเอลไป แต่ ตรงนี้ มีคาห์กลับกล่าวว่าอิสราเอลจะชนะอัสซีเรีย ดังนั้นเรื่องราวนี้น่าจะเป็นในอนาคตข้ามปัจจุบันไปอีก (อาจจะต่อจาก 4:1-5:5a; อิสยาห์ 11:11) เมื่ออัสซีเรียเข้ามาโจมตีอิสราเอลอีกครั้ง พวกเขาจะต่อสู้ คำว่า 7 คน 8 คนมีความหมายว่าจะมีผู้นำของอิสราเอลมากพอที่จะมาสู้กับศัตรู (คำว่านิมโรดนี้คือ อัสซีเรียนั่นเอง ซึ่งอาจหมายรวมถึงบาบิโลน)
(อ่านเศคาริยาห์ 10:10 พระเจ้าจะทรงนำคนของพระองค์กลับมา)

5:7 การที่อิสราเอลกระจัดกระจายเข้าไปอยู่ในประเทศต่าง ๆ นั้น พระเจ้าตรัสว่า จะเป็นพระพรของชาติเหล่านั้น ซึ่งถ้าเรามองย้อนไปจะเห็นว่า เป็นอย่างนั้นจริง เพราะพวกเขาได้สร้างความเจริญทางเศรษฐกิจขึ้นมา และมียิวไม่น้อยที่เป็นนักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการด้านต่าง ๆ ที่สร้างประเทศเหล่านั้นขึ้นมาพร้อมไปกับคนเก่งในชาตินั้น ๆ (แต่พวกเขาต่อมาก็ถูกมองว่าเลวร้าย เพราะเก่งเกิน)

5:8-9 พวกเขาจะกลายเป็นเหมือนสิงโต ที่ทั้งคนทั้งหลายกลัว ( แล้วจะมีวันที่พระเจ้าทรงเรียกพวกเขากลับคืนสู่ดินแดนที่พระองค์ประทานให้กับเขา อิสยาห์ 11:12 แต่ก็ด้วยความยากเย็นแสนสาหัส ถ้าดูในประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สอง จะเห็นว่า ยิวถูกตามล้างผลาญทำให้พวกเขาไม่มีที่ไป และต้องหาทางกลับมายังถิ่นฐานเดิม )
อิสราเอลจะกลายเป็นประเทศที่โดดเด่น มีอำนาจทางทหาร เศรษฐกิจ เทคโนโลยีเหนือชาติต่าง ๆ ในโลก มือเหนือกว่าศัตรู แม้ว่าศัตรูจะมีมากมาย ล้อมรอบแผ่นดินอิสราเอล ขณะนี้ เราก็จะเห็น ความยิ่งใหญ่ของพวกเขาทั้ง ๆ ที่โดยถล่มรอบด้าน (2025)

5:10 ในวันนั้น มีความหมายถึงอาณาจักรในอนาคต ในเฉลยธรรมบัญญัติ 17:16 พระเจ้าตรัสสั่งอิสราเอลว่า ต้องไม่ใช้รถม้า เพราะหากพึ่งรถศึกเหล่านี้ พวกเขาก็จะลืมพระเจ้าผู้ประทานชัยชนะให้พวกเขา พวกเขาจะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากมนุษย์เพื่อเขาจะได้รู้ว่า การช่วยเหลือ ชัยชนะของพวกเขามาจากพระเจ้า (ดูในสงครามตั้งแต่ 7 ตค. 2023 เป็นต้นมา อิสราเอลต้องพึ่งพระเจ้ามากแค่ไหนในเมื่อทั้งโลกหันหลังให้)

5:11-14 พระเจ้าจะทรงทำลายเมือง แม่มด หมอดู รูปปั้น เสาหิน เสาเทพีเอเชราห์ (ที่เชื่อว่าให้ความอุดมสมบูรณ์และเทพีแห่งสงคราม ) ให้หมดไปจากแผ่นดิน เราคงสงสัยว่าทำไมพระเจ้าทำลายเมือง เป็นเพราะ เมืองเหล่านั้นถูกสร้างขึ้นมาเป็นเมืองป้อมเพื่อป้องกันศัตรู ผู้คนจึงวางใจสิ่งเหล่านั้นแทนที่จะวางใจพระเจ้า (โฮเชยา 10:13 13 เจ้าได้ปลูกความชั่วช้าและเก็บเกี่ยวความอธรรมเจ้าได้กินผลของความมุสา เพราะเจ้าเชื่อวางใจทางของตนเอง และทหารจำนวนมากของเจ้า 14 เสียงกระหึ่มของสงครามดังขึ้นต่อสู้ประชากรของเจ้า และป้อมปราการทั้งสิ้นของเจ้าจะถูกทลายลงในวันแห่งสงคราม)

5:10-14 หากพระเจ้าจะเอาอะไรออกไปจากชีวิตเรา บางทีก็ต้องพิจารณาให้ดีว่า สิ่งเหล่านั้น มาแทนที่พระเจ้าหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้น เราก็ต้องดีใจที่พระเจ้าทรงจัดการกับชีวิตของเรา ขอบคุณพระองค์ที่ทรงเตือนไม่ให้เราวางใจสิ่งใดไปนอกจากพระองค์ผู้เดียว

5:15 แล้วพระเจ้าทรงสัญญาจะแก้แค้นให้กับชาติต่าง ๆ ที่ไม่เชื่อฟังพระองค์ ชาติที่ไม่รับในการปกครองสูงสุดของพระองค์ (สดุดี 2:9 ด้วคทาเหล็กจนพวกเขาแตกละเอียด ดูวิวรณ์ 12:5, 19:5)

พระคำเชื่อมโยง

มีคาห์ 5
1* เพลงคร่ำครวญ 3:30; มาระโก 15:19
2* ลูกา 2:4-7; ยอห์น 7:42; ปฐมกาล 35:19; 48:7; 1 ซามูเอล  23:23; อพยพ 18:25; อิสยาห์ 9:6
3* มีคาห์ 4:10; 4:7; 7:18
4* อิสยาห์ 4:11; 49:9; สดุดี 72:8
5* อิสยาห์ 9:6

6* ปฐมกาล 10:8-11; อิสยาห์ 14:25
7* มีคาห์ 5:3; เฉลยธรรมบัญญัติ   32:2
8*  นาฮูม 24:9
10*เศคาริยาห์ 9:10 ; เฉลยธรรมบัญญัติ  17:16; อิสยาห์ 2:7; 22:18
12*  อิสยาห์ 2:6
13* เศคาริยาห์  13:2;  อิสยาห์ 2:8
15* 2 เธสะโลนิกา 1:8

บรรณานุกรม
https://netbible.org/bible/Micah+5