มัทธิว 12 ผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่า อยู่ตรงนี้

เจ้านายเหนือวันสะบาโต

1 ครั้งนั้น พระเยซูเสด็จผ่านเข้าไปในทุ่งข้าวในวันสะบาโต และศิษย์ของพระองค์รู้สึกหิว จึงเริ่มต้นเด็ดรวงข้าวมากิน
2 เมื่อพวกฟาริสีเห็นเข้า ก็กล่าวกับพระเยซูว่า “ดูสิ พวกศิษย์ของท่านทำสิ่งที่ผิดบัญญัติในวันสะบาโต”
3 พระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านไม่ได้อ่านหรือว่า กษัตริย์ดาวิดทำอะไรเมื่อท่านและคนของท่านหิว
4 ท่านเข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้า
และพวกเขาก็กินขนมปังบริสุทธิ์  ซึ่งมีปุโรหิตเท่านั้นที่จะกินได้ 
5 และท่านไม่ได้อ่านในบัญญัติของโมเสสหรือว่า
ทุกวันสะบาโต ปุโรหิตในพระวิหารก็ต่างละเมิดกฎวันสะบาโตกันทั้งนั้น  (เพราะพวกเขาถวายเครื่องบูชาซึ่งเท่ากับกำลังทำงาน)  แต่พวกเขาก็ไม่มีความผิด
 

6  เราขอบอกท่านว่า ผู้ซึ่งยิ่งใหญ่กว่าพระวิหารก็อยู่ ณ ที่นี่ 
7  พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘เราประสงค์ความเมตตามากกว่า เครื่องถวายสัตวบูชา’ (โฮเชยา 6:6) หากท่านเข้าใจความหมายของคำนี้  ท่านก็คงจะไม่กล่าวโทษผู้ที่ไม่มีความผิด 
8 เพราะว่า บุตรมนุษย์เป็นเจ้านายเหนือวันสะบาโต!”

พระเยซูทรงรักษาชายมือลีบ

9 พระเยซูทรงออกจากที่นั่น
และทรงเข้าไปในศาลาธรรมของพวกเขา
  10 ดูสิ มีชายมือลีบคนหนึ่งอยู่ที่นั่น  พวกเขากำลังหาเหตุที่จะกล่าวหาพระเยซู ดังนั้นพวกเขาจึงถามพระองค์ว่า “ที่จะรักษาโรคให้กับคนในวันสะบาโตนั้น ผิดบัญญัติหรือไม่?”
11 พระเยซูตรัสตอบว่า “หากใครในพวกเจ้ามีแกะอยู่ตัวหนึ่ง และแกะตัวนั้นตกบ่อในวันสะบาโต  ท่านจะไม่ช่วยดึงมันขึ้นมาออกจากบ่อนั้นหรือ?
 12 มนุษย์มีค่ายิ่งกว่าแกะตัวหนึ่ง ดังนั้น การทำความดีในวันสะบาโตก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามบัญญัติ

13 แล้วพระเยซูตรัสกับชายคนนั้นว่า “จงยื่นมือออกมา” เขาก็ยื่นมือออกมา และมือนั้นก็กลับเป็นปกติดีเหมือนข้างที่ดี 
14 แต่ฟาริสีก็ออกไปวางแผนว่า จะใช้วิธีใดประหารพระเยซูดี

พระเยซูทรงเป็นผู้รับใช้ที่พระเจ้าทรงเลือก
15  พระเยซูทรงรู้ว่า พวกฟาริสีคิดทำอะไร จึงทรงออกจากที่นั่นไป คนเป็นจำนวนมากก็ตามพระองค์ไปด้วย พระองค์ทรงรักษาคนที่เจ็บป่วยทุกคน 
16 แต่ก็ทรงห้ามไม่ให้ประชาชนบอกว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ใด 17 ที่ทรงทำเช่นนี้ก็เพื่อให้คำของอิสยาห์ ผู้เผยพระดำรัส
เป็นจริงที่ว่า
18  ‘ดูสิ นี่คือผู้รับใช้ที่เราได้เลือกไว้ เรารักและชื่นชมเขา
เราจะส่งวิญญาณของเรามาเหนือเขา
และเขาจะประกาศความยุติธรรมให้กับประชาชนทุกชาติ
19 เขาจะไม่ทะเลาะวิวาท ไม่ส่งเสียงตะโกน
และไม่มีใครได้ยินเสียงของเขาตามถนน
20 เขาจะไม่หักทำลายไม้อ้อที่แตกหักแล้ว  
เขาจะไม่ดับตะเกียงที่ส่องแสงริบหรี่
จนกว่าเขาจะทำให้ความยุติธรรมได้ชัยชนะ
 21 คนต่างชาติทั้งหลายจะมีความหวังในพระองค์

อิสยาห์ 42:1-14

สิทธิอำนาจของพระเยซูมาจากพระเจ้า

22 มีบางคนนำชายเป็นใบ้ ตาบอด เพราะเขามีผีสิงมาหาพระเยซู พระองค์ทรงรักษาเขา เขาจึงพูดได้ และมองเห็น
23 คนทั้งหลายที่เห็นเหตุการณ์ต่างประหลาดใจ กล่าวว่า “ชายคนนี้เป็นลูกหลานของดาวิดอย่างนั้นหรือ?”
(มีความหมายว่าเป็นพระเมสสิยาห์ ที่สืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์ดาวิด) อ่าน 2 ซม 7:11-16
24 พอพวกฟาริสีได้ยินดังนั้น พวกเขากล่าวว่า “ชายคนนี้ใช้อำนาจของนายผี เบเอลเซบูล (อีกชื่อของซาตาน) เพื่อขับผีให้ออกจากผู้คน” 
25 พระเยซูทรงทราบว่า พวกฟาริสีคิดอย่างไร .. พระองค์ตรัสว่า “อาณาจักรใดที่แตกแยกกัน ก็จะถูกทำลาย และเมืองใด ครอบครัวใดที่แตกแยกกันก็ไม่อาจยืนอยู่ได้ 
26 และหากซาตานไล่ตัวมันเองออกไป เท่ากับมันสู้ตัวเอง  อาณาจักรของมันก็ไม่อาจยืนหยัดอยู่ได้ 
27  เจ้ากล่าวว่า เราใช้อำนาจของ เบเอลเซบูลเพื่อขับไล่ผีออกไป หากเป็นอย่างนั้นจริง คนของพวกเจ้าใช้ใครเพื่อขับผีออกเล่า?  พวกเขาจะตัดสินเจ้าเอง

28 แต่หากเราใช้ฤทธิ์แห่งพระวิญญาณของพระเจ้าขับผีออก แผ่นดินของพระเจ้าก็มาถึงท่ามกลางพวกเจ้าแล้ว
 29 “ใครก็ตามที่ต้องการเข้าไปในบ้านของคนที่มีพลังมาก และจะขโมยทรัพย์สินของเขา ก็จะต้องมัดตัวคนที่มีพลังนั้นก่อน แล้วจึงจะปล้นบ้านของเขาได้ 

บาปต่อองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์​
30 “ใครก็ตามที่ไม่ได้อยู่ฝ่ายเราก็เป็นศัตรูกับเรา ใครที่ไม่เก็บรวบรวมไว้กับเรา เท่ากับต่อต้านเรา (ทำให้กระจัดกระจายไป ยอห์น 10:21) 
31  ดังนั้น เราจึงขอบอกเจ้าว่า มนุษย์จะได้รับการอภัยบาป และคำหมิ่นประมาททุกอย่าง แต่หากใครกล่าวคำหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะไม่ได้รับการยกโทษเลย  
32ใครที่กล่าวคำต่อต้านบุตรมนุษย์ ก็จะได้รับการอภัยได้
แต่ใครที่กล่าวคำต่อต้านองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์
จะไม่ได้รับการอภัย ทั้งเวลานี้ และในอนาคต   

ระวังคำพูดไร้สาระ
33 “หากเจ้าต้องการผลดี เจ้าก็ต้องปลูกต้นไม้ดี หากต้นไม้ของเจ้าเลว ก็จะมีผลเลวออกมา เราจะรู้ว่าต้นไม้เป็นอย่างไรก็ดูจากผลของมัน 
34 เจ้างูร้าย เจ้าเป็นคนชั่ว จะพูดสิ่งดีออกมาได้อย่างไร  เพราะปากก็จะพูดสิ่งที่ล้นออกมาจากใจ 
35 คนดี ก็มีสิ่งดีในใจ เขาจึงพูดสิ่งดีออกมา แต่คนชั่วก็มีสิ่งชั่วในใจ เขาก็จะกล่าวคำชั่ว ๆ ออกมา  
36  เราบอกเจ้าว่า ในวันพิพากษาโทษนั้น มนุษย์จะต้องให้การเรื่องคำพูดของตัวเองที่กล่าวออกมาอย่างไม่ระวัง 
37 เจ้าจะพ้นจากความผิดหรือถูกลงโทษนั้น ขึ้นอยู่กับคำที่เจ้ากล่าวออกมา  

ฟาริสีขอการอัศจรรย์
38 มีฟาริสี และธรรมาจารย์บางคนกล่าวกับพระเยซูว่า “ท่านอาจารย์ พวกเราอยากเห็นการอัศจรรย์ซึ่งเป็นหมายสำคัญจากท่าน”
39 พระเยซูตรัสตอบว่า “เจ้าคนในยุคที่ชั่วร้ายและกบฎต่อพระเจ้า เฝ้าตามหาการอัศจรรย์ที่เป็นหมายสำคัญ แต่พวกเจ้าจะไม่ได้หมายสำคัญใด ๆ นอกจากหมายสำคัญของผู้เผยพระดำรัสโยนาห์ 
40 โยนาห์อยู่ในท้องปลาใหญ่สามวันสามคืนอย่างไร บุตรมนุษย์ก็จะอยู่ในใจกลางแผ่นดินโลกสามวันสามคืนอย่างนั้น  41 ในวันพิพากษา ประชาชนจากนีนะเวห์จะลุกขึ้นพร้อมกับคนยุคนี้ และพวกเขาจะแสดงให้เห็นว่าเจ้ามีความผิด เพราะเมื่อโยนาห์ประกาศ พวกเขาก็กลับใจ และเราขอบอกเจ้าว่า
ผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าโยนาห์ก็อยู่ที่นี่! 
42 ในวันพิพากษา ราชินีแห่งแผ่นดินทางใต้จะลุกขึ้น พร้อมกับคนในยุคนี้  พระนางจะแสดงให้เห็นว่าเจ้ามีความผิด เพราะพระนางเดินทางมาจากที่สุดปลายโลกเพื่อฟังคำสติปัญญาของกษัตริย์โซโลมอน  ( 1 พงศ์กษัตริย์ 10:1-13)  และเราบอกเจ้าว่า ผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์โซโลมอนก็อยู่ที่นี่!

คนในยุคนี้เต็มด้วยความชั่วร้าย
43 “เมื่อวิญญาณชั่วออกจากใครคนหนึ่งแล้ว มันก็ออกไปทั่วดินแดนที่แห้งแล้งเพื่อหาที่พัก แต่ก็ไม่พบ
 44 มันจึงกล่าวว่า ‘ข้าจะกลับไปยังบ้านที่ข้าละจากมา’ เมื่อมันกลับมา ก็พบว่า บ้านว่างเปล่า เก็บกวาดสะอาดตา เป็นระเบียบเรียบร้อย
 45 วิญญาณชั่วตนนี้จึงออกไป และนำวิญญาณชั่วอีกเจ็ดตนที่ร้ายกว่าเข้ามาอยู่ในบ้านนั้น  คน ๆ นั้นจึงตกอยู่ในสภาพที่เลวร้ายกว่าเดิม คนในยุคที่ชั่วร้ายก็จะเป็นเช่นนั้น”

ครอบครัวแท้จริงของพระเยซู
46 ขณะที่พระเยซูกำลังตรัสอยู่กับฝูงชนนั่นเอง ดูเถิด มารดาและน้องชาย น้องสาวก็มายืนอยู่ด้านนอก กำลังหาทางที่จะพูดกับพระองค์
47 มีคนมาทูลพระองค์ว่า “ดูเถิด มารดา และน้อง ๆ ของท่านยืนอยู่ข้างนอก และพวกเขาต้องการจะพูดกับท่าน”
48 พระองค์ตรัสตอบว่า “ใครเป็นมารดาของเรา ใครเป็นพี่น้องของเรา?” 
49 แล้วพระองค์ทรงชี้ไปที่เหล่าศิษย์ทั้งหลาย ตรัสว่า “นี่คือมารดาและพี่น้องของเรา
50     ผู้ที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์  ผู้นั้นคือ พี่น้องชายหญิงและมารดาแท้จริงของเรา”

อธิบายเพิ่มเติม

 

พระเจ้าแห่งวันสะบาโต
บทนี้ เราเริ่มเห็นความพยายามของฟาริสี ที่จะจัดการโค่นพระเยซูให้ผู้คนเลิกติดตาม เลิกฟังพระองค์และตอนนี้พวกเขาก็ใช้เรื่องของกฎเกณฑ์ที่พวกฟาริสี ธรรมาจารย์ โบราน ช่วยกันตั้งกันขึ้นมาเพิ่มเติมในช่วง  400 ปีก่อน พวกเขาจึงมีกฎการปฏิบัติตนอย่างละเอียดมาควบคุมการใช้ชีวิตของประชาชนอีกมากมาย จนพระเยซูได้ตรัสว่า บรรดาผู้ลำบากเหน็ดเหนื่อยจงมาหาเรา…
ประชาชนเหน็ดเหนื่อยกับการทำตามบทบัญญัติตั้งแต่เช้าจนค่ำ …​แทนที่ผู้นำฝ่ายวิญญาณจะนำความสุขมาให้ประชาชน กลับนำความทุกข์ใจมาโถมทับพวกเขา

12:1
เมื่อศิษย์ของพระเยซูเด็ดรวงข้าวมาขยี้กินตามทางในวันสะบาโต เป็นสิ่งที่จริง ๆ แล้ว ทำได้ เพราะพวกเขาไม่ได้ทำงานแต่ประการใด พวกเขาเข้าไปในนาของบางคนที่มีข้าวอยู่
แล้วแค่เด็ดกิน ไม่ได้ขโมยด้วย เพราะมีบทบัญญัติของโมเสสอยู่แล้วว่า เจ้าของนาจะต้องไม่เก็บข้าวจนหมดนา แต่ให้เหลือไว้เผื่อคนยากจน คนเดินทางได้กินหายหิวได้
12:2
แต่แล้ว พวกเขาถูกฟาริสีกล่าวหาว่าทำผิดบทบัญญัติสะบาโต   ซึ่งพวกเขาหมายถึงบัญญัติเพิ่มเติมในรายละเอียดเล็ก ๆ ไม่ใช่บทบัญญัติดั้งเดิม
12:3-4
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ดาวิดพาทหารเข้าไปกินขนมปังที่วางไว้เพื่อนมัสการพระเจ้า เพราะพวกเขากำลังหิวมาก  และก็ไม่ได้ถือว่าผิดจนต้องลงโทษ

12:5
และคำนี้ที่พระเยซูตรัสก็เป็นการชี้ให้เห็นว่า จริง ๆ แล้ว ปุโรหิตทุกคนก็ทำผิดในวันสะบาโต ถ้าถือว่า เขากำลังทำงานอยู่ในการรับใช้พระเจ้าและประชาชน  ตรงนี้ ทำให้เราเห็นว่า ไม่เคยมีใครคิดมาก่อน แต่พระเยซูทรงชี้ให้เห็นภาพที่พวกเขาไม่เคยคิด  ฟังแล้ว สำหรับพวกฟาริสี ก็น่าโมโหที่พระเยซูทรงพลิกความจริงให้เห็นกระจ่างได้ขนาดนี้   และพวกเขาก็ไม่สามารถโต้เถียงกลับได้
12:6
แล้วพระเยซูทรงสรุปให้ ซึ่งเป็นการจุดไฟโกรธของพวกเขาให้พลุ่งขึ้นเต็มที่เลย … พระองค์ทรงแจ้งให้พวกเขาทราบว่า พระองค์ทรงยิ่งใหญ่กว่าพระวิหาร ทรงยิ่งใหญ่กว่าเครื่องบูชาทั้งหลาย เพราะพระเจ้าทรงประสงค์ให้พวกเขามีเมตตา ไม่ใช่การรักษาบัญญัติเคร่งครัดและกล่าวหาคนที่ทำผิดอย่างไร้ความปรานี   ทรงสรุปชัดเจนว่า พระองค์ทรงอยู่เหนือวันสะบาโต … เมื่อใดที่พระเยซูตรัสว่า บุตรมนุษย์ ทุกคนเข้าใจดีว่า ทรงหมายถึงพระเจ้าที่ปรากฎในหนังสือ ดาเนียล   ตอนนี้ฟาริสีโกรธจนควันออกหูแล้ว!!


พระเยซูทรงรักษาชายมือลีบ
12:9-10
จากนั้นทรงเข้าไปในธรรมศาลา พบชายคนหนึ่งมือลีบ  เอาล่ะ ได้ทีสำหรับพวกที่รอค้านพระเยซู จึงแกล้งถามว่าผิดไหมที่จะรักษาในวันสะบาโต ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า พระเยซูทรงรักษาชายมือลีบนั้นแน่นอน
12:11-12 
พระเยซูทรงสรุปให้โดยเล่าเรื่องที่อาจจะเกิดกับพวกเขา หรือเคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้ว คำของพระองค์แตะใจทุกคนที่อยู่ตรงนั้น  แกะใคร ๆ ก็รักและห่วง คงไม่ยอมให้มันติดหล่มแล้วต้องตายในวันสะบาโต แล้วพระองค์ทรงสรุปว่า ทำความดีในวันสะบาโตนั้นเป็นสิ่งที่ถูกตามบัญญัติ
12:13-14 
จากนั้นก็ทรงรักษาชายมือลีบทันที ชายคนนั้นดีใจนักที่หายจากความพิการ แต่.. ไม่มีใครสักคนในหมู่ฟาริสีดีใจด้วย พวกเขากลับรู้สึกเสียหน้า และถึงกับพยายามวางแผนฆาตกรรม … พวกนี้เป็นคนอย่างไรกัน?

พระเยซูทรงเป็นผู้รับใช้ที่พระเจ้าทรงเลือก
12:15-21 
พระเยซูทรงรู้ทันทีว่า ฟาริสีคิดอะไรอยู่  แต่พระองค์ไม่ได้ต่อต้านพวกเขาอย่างรุนแรง พระองค์กลับหันไปทรงรักษาโรคให้กับประชาชนมากมาย แต่ขณะเดียวกัน ก็ปรามไม่ให้พวกเขาไปเผยแพร่สิ่งที่เกิดขึ้น หรือบอกว่า พระองค์คือผู้ใด
เมื่อเราอ่านพระลักษณะของพระเมสสิยาห์ที่อิสยาห์ได้บรรยายไว้
เราจะเห็นว่า พระองค์ทรงสงบ  ไม่ตะโกน พระองค์ตรัสอย่างเรียบ ง่ายทรงพลังกับประชาชนทั้งหลาย  พระองค์ไม่ทรงซ้ำเติมประชาชน แตกต่างจากเหล่าฟาริสีที่พยายามเอาแต่จับผิดอย่างสิ้นเชิง พระเยซูทรงเป็นเช่นนั้นอยู่เสมอ (ยกเว้นวันที่พระองค์ทรงพิโรธเมื่อเห็นคนย่ำยีพระวิหารของพระเจ้า)

สิทธิอำนาจของพระเยซูมาจากพระเจ้า  
12:22-23
มัทธิวได้กล่าวถึงเหตุการณ์คนมีผีสิงแล้วทำให้ตาบอดเป็นใบ้มารับการรักษา แล้วเขาก็กลายเป็นพูดได้ และมองเห็น ชายคนนั้นดีใจมาก  และคนที่เห็นก็ประหลาดใจ ใช้คำถามที่ต้องการคำตอบเป็น ไม่ นั่นคือคนนี้ไม่น่าจะใช่ลูกชายของดาวิด เขาเป็นได้หรือ?  พวกเขายังคงรู้สึกไม่เชื่อแต่ก็ประหลาดใจเราต้องไม่ลืมว่า คนยิวคาดหวังว่า พระเมสสิยาห์ที่มานั้น จะเป็นนักรบที่จะช่วยพวกเขาให้พ้นจากประเทศที่ครอบครองพวกเขาอยู่  พระเมสสิยาห์น่าจะมาแบบยิ่งใหญ่
อย่างน้อยก็เป็นคล้ายดาวิดองค์กษัตริย์ผู้แกร่งกล้า  

12:24
แต่แล้ว ฟาริสีมีความคิด ทางลบ.. กล่าวร้ายว่า พระเยซูทรงใช้อำนาจนายผีให้ประชาชนคิดตามไปอย่างนั้น พระเยซูเองทรงรู้อยู่แล้วว่า เขาจะพูดอะไรจึงทรงชี้แจงให้ประชาชนที่มุงอยู่ได้เข้าใจให้ถูกต้อง
 12:25-28 
เหมือนในข้อ 15  พระเยซูทรงรู้ใจฟาริสี พระองค์ทรงสัพพัญญู ทรงรู้ความคิดของทุกคน ดังนั้น ทรงยืนยันว่า ที่อาณาจักรของมารยังมีพลัง เพราะมันช่วยกัน ไม่ได้แตกแยกกัน  การที่กล่าวหาพระองค์ว่าใช้อำนาจนายผีเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะคนฟาริสีก็ยังมีการไล่ผีออกจากผู้คนด้วย ดังนั้นหมายความว่า ฟาริสีเอง ใช้อำนาจของนายผีใช่หรือไม่ (สมัยนั้นก็มีการไล่ผีอยู่แล้ว ดู กิจการ 19:13)
ในเรื่องนี้ พระเยซูทรงบอกชัดว่า การที่พระองค์ทรงขับผีโดยฤทธิ์แห่งพระวิญญาณก็หมายความว่า แผ่นดินของพระเจ้ามาใกล้พวกเขา พวกเขาจะได้รับการปกครองจากพระเจ้า จากองค์พระเมสสิยาห์ ไม่ใช่จากบทบัญญัติอีกต่อไป
เมื่อพูดถึงพระวิญญาณ เราจะเห็นว่า พระเยซูทรงแนะนำให้ประชาชนเริ่มเห็นว่า พระองค์ทรงทำงานร่วมกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อน
12:29 
พระเยซูตรัสให้พวกเขาคิดใหดี  พระองค์ทรงเป็นคนที่มีอำนาจเหนือมารที่อยู่ในร่างกายของคนที่ถูกผีสิง (ร่างที่อยู่ใต้อำนาจมาร)  พระองค์ทรงเป็นผู้มัดมารที่อยู่ในร่างของคนก่อน แล้วทรงไล่มันออกไป  การที่พระเยซูตรัสเช่นนี้ บ่งบอกว่า พระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ด้วย  ทรงยิ่งใหญ่กว่ามาร 
บาปต่อองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์​
12:30 
จากนั้น พระเยซูชี้ให้เห็นว่า ใครก็ตามที่มีสัมพันธ์กับพระองค์นั้น จะเป็นกลางไม่ได้เป็นอันขาด  ไม่อยู่ข้างเดียวกัน ก็เท่ากับอยู่คนละข้างเลยนั่นคือ อยู่ฝ่ายมาร
ฟาริสีทั้งหลายพยายามให้ผู้คนไม่เป็นฝ่ายพระเยซู พยายามทำให้พวกเขาสับสน คอยยุแหย่ให้เป็นศัตรูกับพระองค์จนกระทั่งวันที่ทรงสิ้นพระชนม์   ฟาริสีเหล่านี้เป็นฝ่ายมารแท้ ๆ
12:31
ฝ่ายตรงข้ามที่กล่าวคำหมิ่นประมาทองค์พระวิญญาณของพระเจ้าต้องรู้ว่า มีบาปบางอย่างที่พวกเขาไม่อาจแก้ลำได้เลย ไม่สามารถแก้ไข แก้คืน หรือได้รับการยกโทษได้  การที่พวกเขากล่าวว่า พระเยซูทรงใช้อำนาจนายผีไล่ผีออกนั้น แสดงว่าพวกเขาไม่สำนึกว่า กำลังดูหมิ่นองค์พระวิญญาณ   การมองว่างานของพระเจ้าเป็นงานของมาร  
การกล่าวต่อต้านก็เป็นเหมือนการหมิ่นประมาทเช่นกัน  พระเจ้ายังทรงเมตตาที่จะยกโทษให้กับคนที่ต่อต้าน หมิ่นพระเยซู แต่เขาจะไม่ได้รับการอภัยหากไปแตะต้ององค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ !  องค์พระวิญญาณทรงเป็นอำนาจพื้นฐานที่ทำงานร่วมกับพระเยซูในขณะที่พระองค์ทรงอยู่ในโลกนี้   (ลูกา 4:14)

ระวังคำพูดไร้สาระ
12:33-35 
พระเยซูไม่ทรงปล่อยให้ฟาริสีกล่าวร้ายพระองค์โดยไม่สำนึก ทรงสอนให้ประชาชนรู้ว่า พฤติกรรมหรือผลในชีวิตทำให้รู้ว่าใจของคน ๆ นั้นเป็นอย่างไร  หากต้นไม้ถูกละเลย ไม่ให้น้ำ ไม่ให้ปุ๋ย ผลที่ได้ก็ไม่น่ากิน ไม่มีประโยชน์  พระเยซูทรงเรียกฟาริสีว่า เจ้าชาติงูร้าย เป็นคนที่มีใจชั่วจึงพูดแต่สิ่งที่ชั่วออกมา  เราจึงดูได้ว่าใครเป็นใครในโซเชียลมีเดีย เรารู้ได้เลยว่า ควรตามหรือไม่ตามใคร
12:36-37 
เป็นที่ชัดเจนว่า ในวันพิพากษาของพระเจ้า เราจะต้องให้การกับพระเจ้าสำหรับสิ่งที่กล่าวออกมา น่ากลัวมากเลย ถ้าเราได้รับคำเตือนเรื่องนี้แล้ว ก็สมควรจะระวังตัวตั้งแต่วันนี้   เพราะการตัดสินความนั้น ขึ้นอยู่กับคำพูดของเราเอง การพูดอย่างไม่ระวังนั้นคือประตูสู่ความตายได้ !! (ยากอบ 1:19; 3:1-12) พวกเขาตัดสิน กล่าวหาพระเยซูว่า ทำการด้วยนายผี แต่แล้วไม่ได้ดูตัวเองว่า กำลังพูดไม่ระวัง และนำอันตรายสู่ชีวิตตัวเอง

ฟาริสีขอการอัศจรรย์
12:38-39  
แล้วก็มีฟาริสี ธรรมาจารย์แกล้งขอให้พระเยซูทำการอัศจรรย์ที่เป็นหมายสำคัญ (เพื่อพิสูจน์ว่าทรงเป็นพระเมสสิยาห์ ) นี่ไม่ได้เป็นคำขอเพื่อจะเชื่อ แต่เป็นคำขอที่บอกว่า ฉันไม่รับท่านเป็นพระเมสสิยาห์   อย่างไรท่านก็เป็นลูกน้องมารอยู่ดี จึงไล่ผีได้ 
(ดูมัทธิว 27:27-31 ทหารก็เยาะพระองค์ในฐานะที่เป็นกษัตริย์ )
ก่อนหน้านี้พระองค์ก็ทรงทำการอัศจรรย์มากมาย แต่พวกเขาก็ไม่เชื่อ แต่บิดเบือนราชกิจของพระองค์เป็นอย่างอื่น เหตุใดพระเยซูทรงกล่าวถึงหมายสำคัญของโยนาห์?
12:40-41
แม้โยนาห์เป็นผู้เผยพระดำรัสเพื่อชาวนีนะเวห์ แต่ชีวิตการทำงานของเขาก็ยังเป็นการพยากรณ์ถึงการสิ้นพระชนม์ และการคืนพระชนม์ของพระเยซู
ชีวิตของโยนาห์นั้น บ่งว่า เขาได้ยอมตายเพื่อให้ชาวเรือได้รอดจากพระพิโรธ ลมพายุ จากนั้น ก็อยู่ในท้องปลาสามวัน โดยที่ความตายไม่สามารถยึดเขาไว้ได้  เขาออกจากท้องปลา เหมือนกับพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย  ที่สำคัญ ชาวนีนะเวห์เชื่อคำกล่าวของเขา และกลับใจ
พระเยซูทรงบอกเขาว่า พระองค์ทรงใหญ่กว่าโยนาห์ ทรงอยู่ตรงนี้ แต่พวกเขาก็ไม่กลับใจ  เป็นคนที่กบฏต่อพระเจ้า ดังนั้นคนนีนะเวห์ที่กลับใจจะกล่าวโทษพวกเขา
 12:42
นอกจากนั้น พระเยซูทรงกล่าวถึงราชินีจากแดนไกลที่เดินทางมาฟังคำของโซโลมอน และกลับใจ.. แต่แล้วพวกเขากำลังฟังพระเมสสิยาห์ตรัสแต่ใจแข็งเหลือเกิน 

คนในยุคนี้เต็มด้วยความชั่วร้าย
12:43-45
การที่พระเยซูทรงกล่าวถึงวิญญาณชั่วที่เคยอยู่ในคน ๆ หนึ่ง  แต่ต้องออกไปซึ่งน่าจะเกิดจาการขับออกไป  คำตรัสของพระองค์ทำให้เรารู้ชัดว่า เรื่องของผีสิงคนนั้น เป็นเรื่องจริง คนไทยไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องนี้ เพราะพวกเราเห็นชัดว่า มี ส่วนคนตะวันตกนั้นไม่ค่อยเชื่อเท่าไร
เมื่อวิญญาณชั่วออกไป มันก็ต้องไปหาที่อยู่ มันต้องการที่ ๆ จะสิง ต้องการใจที่ว่าง ใจที่ไม่มีฤทธิ์ของพระเจ้า เป็นใจที่พร้อมจะยอมรับวิญญาณร้ายแต่เมื่อไม่มีที่ ก็เลยลองกลับมาที่เดิม ปรากฏว่า ใจเดิมนั้นไม่มีพระเจ้าว่างเปล่า เรียบร้อย อาจหมายความถึงใจที่มีศีลธรรม ไม่ได้หมกมุ่นในความชั่ว ตราบใดที่ใจนั้นไม่มีพระเจ้า มันก็พร้อมที่จะเข้ามาสิงอยู่ 
บางครั้งคนที่ป่วยทางจิต คนที่สุขภาพไม่แข็งแรง ก็จะเป็นเหยื่อของวิญญาณเหล่านี้ง่าย  และมารก็จะใช้ชีวิตของเขาทำตามใจของมันเองทำให้ชีวิตนั้นย่ำแย่ลงกว่าเดิม
ดังนั้น สิ่งที่เราต้องระวังคือ เราต้องมีพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่ในชีวิต แล้วมารตัวไหนก็จะเข้ามาไม่ได้ และต้องไม่ทำบาป ซึ่งบาปเหล่านั้นเป็นประตูเปิดรอพวกมันอยู่  แม้มันพยายามจะเข้ามากัดกิน เหมือนสิงโตคำราม แต่ก็จะทำอะไรเราไม่ได้ 

ครอบครัวแท้จริงของพระเยซู
12:46-47 
ขณะที่พระเยซูกำลังอยู่กับฝูงชน มารีย์ ลูกชาย ลูกสาว ซึ่งเป็นลูกที่เกิดจากโยเซฟหลังจากที่เธอได้ประสูติพระเยซูมา  แสดงว่า พระเยซูยังทรงมีน้อง ๆ ในครอบครัวอีกหลายคน ซึ่งพวกเขาก็ไม่ได้วางใจในพระองค์นัก 

12:48-50 
คำตรัสที่ว่า ใครเป็นแม่และพี่น้องของเรา? นั้น พระองค์ไม่ได้ดูหมิ่นมารดาและครอบครัวของพระองค์ แต่ พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับพี่น้องฝ่ายวิญญาณ ให้ความสำคัญกับคนที่ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าว่า เป็นครอบครัวแท้จริงของพระองค์ อย่างที่พระเจ้าได้ตรัสไว้ในยอห์น 1:12 ว่า คนที่เชื่อในพระนามจะได้มีสิทธิเป็นลูกของพระเจ้า! 

พระคำเชื่อมโยง

มัทธิว12
1* ลูกา 6:1-5; เฉลยธรรมบัญญัติ 23:25
3* 1 ซามูเอล  21:6
4* เลวีนิติ 24:5; อพยพ 29:32
5* กันดารวิถี 28:9
6* อิสยาห์ 66:1-2
7* โฮเชยา 6:6
9* มาระโก 3:1-6
10* ยอห์น 9:16
14* มาระโก 3:6
15* มาระโก 3:7; มัทธิว 19:2
16* มัทธิว 8:4; 9:30; 17:9

18* อิสยาห์ 42:1-4; 49:3;
มัทธิว 3:17; 17:5
22* ลูกา 11:14-15
23* มัทธิว 9:27; 21:9
24* มัทธิว 9:34
25* มัทธิว 9:4
28* ดาเนียล 2:44; 7:14
29* อิสยาห์ 49:24
31* มาระโก 3:28-30; กิจการ 7:51
32* ยอห์น 7:12, 52; 1 ทิโมธี 1:13
33* มัทธิว 7:16-18
34* มัทธิว 3:7; 23:33; ลูกา 6:45













38* มาระโก 8:11
39* มัทธิว 16:4
40* โยนาห์ 1:17
41* ลูกา 11:32; เยเรมีย์ 3:11; โยนาห์ 3:5
42* 1 พงศ์กษัตริย์ 10:1-13
43* ลูกา 11:24-26; 1 เปโตร 5:8
45* 2 เปโตร 2:20-22
46* ลูกา 8:19-21 ; ยอห์น 2:12; 7:3,5
47* มัทธิว 13:55-56
49* ยอห์น 20:17
50* ยอห์น 15:14













เศฟันยาห์ 2 จงกลับมา ก่อนที่จะสายไป!

จงแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด
เหล่าคนที่ถ่อมตนแห่งแผ่นดิน

พระเจ้าทรงเรียกให้กลับใจ
1จงรวมตัวกัน รวมตัวกันเถิด
  ชาติต่าง ๆ ที่น่าอับอายทั้งหลาย
 2 ก่อนที่กำหนดเวลาจะมาถึง
 และวันเวลาที่ล่วงเลยไปราวกับแกลบ
ก่อนที่พระพิโรธอันร้อนแรงของพระยาห์เวห์
จะพลุ่งขึ้นเหนือเจ้า
ก่อนที่วันแห่งพระพิโรธของพระยาห์เวห์จะมาถึงเจ้า 
3 จงแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด
เหล่าคนที่ถ่อมตนแห่งแผ่นดิน
คนที่เชื่อฟังทำตามคำบัญชาของพระองค์
จงตามหาความเที่ยงธรรม
และแสวงหาความถ่อมใจ
เผื่อว่าเจ้าจะได้มีที่พักพิง
ในวันแห่งพระพิโรธของพระยาห์เวห์  

คำพิพากษาโทษฟิลิสเตีย (เยเรมีย์  47:1-7)
4  เพราะเมืองกาซาจะถูกทำลาย
และเมืองอัชเคโลนจะกลายเป็นทะเลทราย
เมืองอัชโดดจะถูกกวาดล้างในเวลาเที่ยงวัน
และเมืองเอโครนจะถูกถอนรากของเมืองออกไป
5 วิบัติแก่เจ้าที่อาศัยริมฝั่งทะเล 
โอ ชนชาวเคเรธเอ๋ย   
มีพระดำรัสของพระยาห์เวห์มาถึงเจ้า 
โอ คานาอัน เอ๋ย
โอแผ่นดินของชาวฟิลิสเตีย 
“เราจะทำลายเจ้าไม่ให้เหลือแม้สักคนเดียว”

6 ส่วนของแผ่นดินริมทะเล(ที่ชาวเคเรธอาศัยอยู่)
จะเป็นที่สำหรับเหล่าคนเลี้ยงแกะ สำหรับฝูงแกะ 
7 และแผ่นดินนั้นจะเป็นของผู้ที่เหลืออยู่จากวงศ์วานของยูดาห์ 
พวกเขาจะพบทุ่งหญ้าที่นั่น
เวลาเย็น เขาจะพักผ่อน   (ในบ้านเรือนของเมืองอัชเคโลน)
เพราะพระยาห์เวห์ พระเจ้าของพวกเขาจะทรงดูแลพวกเขา และรื้อฟื้นให้เขากลับมาสู่ความอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง 
7 และแผ่นดินนั้นจะเป็นของผู้ที่เหลืออยู่
จากวงศ์วานของยูดาห์ 
พวกเขาจะพบทุ่งหญ้าที่นั่น
เวลาเย็น เขาจะพักผ่อน
เพราะพระยาห์เวห์ พระเจ้าของพวกเขา
จะทรงดูแลพวกเขา
และรื้อฟื้นให้เขากลับมาสู่ความอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง 

พิพากษาโทษโมอับและอัมโมน
8  “เราได้ยินคำดูแคลนจากโมอับ และได้ยินคำเหยียดหยามของชาวอัมโมน พวกเขาสบประมาทประชากรของเราและยังคุยโอ่ ที่จะยึดแผ่นดินของพวกเขา”
 9  ดังนั้น พระยาห์เวห์องค์จอมทัพ พระเจ้าแห่งอิสราเอลทรงประกาศว่า
“เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด 
โมอับจะเป็นเหมือนโสโดม
และชาวอัมโมนจะเป็นเหมือนโกโมราห์ 
แผ่นดินของพวกเขาจะมีแต่วัชพืชและบ่อเกลือ
เป็นที่ทิ้งรกร้างตลอดไป
ประชากรที่เหลือของเราจะปล้นเขาและชนชาติของเราที่รอดชีวิตจะครองแผ่นดินของพวกเขา  (ปฐมกาล 19:24)
10 นี่เป็นการตอบสนองต่อความอหังการของพวกเขา
ตอบสนองที่พวกเขาได้สบประมาทและเยาะหยัน
ประชากรของพระยาห์เวห์องค์จอมทัพ

พิพากษาโทษคูช
11 สำหรับพวกเขาแล้ว พระยาห์เวห์จะทรงเป็นองค์ที่น่ากลัวมาก เพราะพระองค์จะทรงทำลายเทพทั้งหลายของโลก และชาติต่าง ๆ ริมฝั่งทะเลทุกแห่ง ก็จะนมัสการพระองค์จากแผ่นดินที่พวกเขาอาศัยอยู่
 12  และเจ้าชาวคูชทั้งหลาย 
เจ้าเองจะถูกประหารด้วยดาบของเรา

พิพากษาโทษอัสซีเรีย
13 และพระองค์จะทรงเหยียดพระหัตถ์ออกต่อต้านแผ่นดินทางเหนือและทรงทำลายอัสซีเรีย  พระองค์จะทรงทำให้นครนีนะเวห์กลายเป็นเมืองทิ้งร้าง แห้งแล้งดั่งทะเลทราย 
 14 ฝูงแพะแกะ และฝูงสัตว์ใหญ่จะพักที่นั่น รวมทั้งสัตว์ป่าจากทุกชาติ นกกระทุง นกเค้าแมว จะทำรังตามเสาของเมือง จะได้ยินเสียงร้องของมันผ่านมาทางหน้าตา ซากปรักหักพังจะกองที่ธรณีประตู  พระองค์จะทรงเปิดเผยให้เห็นคานไม้ซีดาร์

 
15  นี่เป็นเมืองที่รุ่งเรืองซึ่งอยู่กันมาอย่างปลอดภัย สุขสบาย  โดยนึกในใจของตนว่า
“เรานี่ไง ไม่มีใครนอกจากพวกเรา”
แล้วมันกลับกลายเป็นที่รกร้าง เป็นที่พักพิงของสัตว์ป่า คนที่ผ่านไปมาก็กระซิบเย้ยหยันและยกกำปั้นขึ้นมา
 (นีนะเวห์ล่มสลาย 612 กคศ.)

คำอธิบายเพิ่มเติม


พระเจ้าทรงเรียกให้กลับใจ
2:1-2  เมื่อพระเจ้าทรงเตือนถึงวันแห่งพระยาห์เวห์ที่น่าสะพรึงแล้ว พระเจ้าก็ทรงเรียกร้องให้พวกเขากลับใจใหม่สิ่งที่ทรงบอกให้ทำก็เป็นขั้นตอนที่ไม่ต้องไปค้นหาที่ไหนให้ผู้คนทั้งหลาย  แสวงหาพระเจ้า เชื่อฟังคำ ตามหาความเที่ยงธรรมและถ่อมใจ  เพื่อว่าพระเจ้าจะเปลี่ยนพระทัย 
พระเจ้าทรงเรียกชาติที่น่าอับอาย  เพราะยูดาห์เองไม่ได้ยินเสียงของพระเจ้าเลย   

2:3 พระเจ้าทรงสั่งให้คนที่ถ่อมตนในแผ่นดิน ซึ่งหมายถึงคนที่ฟังพระดำรัสของพระเจ้า   คนถ่อมตนเป็นคนที่ยอมต่อพระเจ้า  คนเหล่านี้ยังมีโอกาส เพราะว่า วันที่พระเจ้าพิโรธพวกเขาจะมีที่พักพิง
การทำสิ่งที่ถูกต้องต่าง ๆ เหล่านี้ สมควรที่พวกเราจะเริ่มเลย ไม่ต้องไปรอ ไม่ต้องไปคิดว่า พระเจ้ากำลังตรัสกับยูดาห์โบราณ เพราะพระดำรัสนี้มาถึงเราทุกคนในปัจจุบันด้วย เรามีที่พักพิงได้ด้วยความเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เป็นทางเดียวที่เราจะพ้นจากพระพิโรธของพระเจ้าได้

ต่อไปนี้ พระเจ้าทรงใช้ประเทศต่าง ๆ มาลงโทษคนของพระองค์ แต่ประเทศเหล่านั้นก็จะต้องถูกลงโทษด้วย สี่ชาติล้อมรอบอิสราเอล
พิพากษาโทษฟิลิสเตีย
2:4-5 พระเจ้าทรงพิพากษาอิสราเอล และทรงพิพากษาลงโทษชาติที่อยู่ล้อมรอบอิสราเอลด้วย  พระเจ้าทรงสัญญาว่า จะทำลายเมืองต่าง ๆ ของฟิลีสเตีย และมอบดินแดนนั้นให้กับคนที่เหลืออยู่ของวงศ์วานยูดาห์  ฟิลิสเตียอยู่ทางตะวันตก เป็นคู่ต่อสู้ของอิสราเอลมานานแสนนาน  เมืองทั้งสี่นี้ อยู่ริมฝั่งทะเล ที่จริงยังมีเมืองกาดอีกด้วย แต่เมืองนี้ถูกทำลายไปก่อนหน้าแล้ว (2 พงศาวดาร 26:6) 

2:6 ส่วน เคเรธี มีความหมายว่า ตัดออก เหมือนกับเป็นส่วนหนึ่งของชาวเกาะครีต แยกออกมา  เอเสเคียลพูดถึงคนพวกนี้ใน เอเสเคียล 25:16

2:7 แต่แล้วจากการถูกทำลาย แผ่นดินนี้จะกลายเป็นทุ่งหญ้าที่อิสราเอลจะมาพัก และได้รับการรื้อฟื้น  ภาพที่เห็นจากข้อนี้คือ คนที่หลงเหลืออยู่ในยูดาห์ จะครอบครองแผ่นดินที่รกร้าง จะไม่มีสงครามต่อไป  ความเป็นศัตรูระหว่างฟิลิสเตียและยูดาห์จบลง   ยุคที่จะเห็นต่อไปคือ คนของ
พระเจ้าจะอาศัยในแผ่นดินโดยที่ไม่ต้องกลัวสงครามอีก
หมายเหตุ .. ที่น่าสนใจคือ มีผู้ให้ความเห็นว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดในปัจจุบัน ปี 2025 นี้เอง ตามไปฟังที่ https://www.youtube.com/watch?v=8yEJlDfTr_o ฟังแล้วพิจารณาดูว่า สิ่งที่ไม่น่าเกิดขึ้นอย่างที่เราเห็นกับกาซาได้เกิดขึ้นแล้วบางส่วน

พิพากษาโทษโมอับและอัมโมน
 2:8-10  ชาวโมอับและอัมโมนทั้งดูหมิ่น เหยียดหยาม สบประมาทคนอิสราเอล และตั้งใจจะยึดแผ่นดินอิสราเอลด้วย  พระเจ้าจึงทรงบอกล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา
(ทางตะวันตก เป็นกาซา แต่ทางตะวันออกเป็นชาวโมอับ อัมโมน ซึ่งเป็นญาติพี่น้องของอิสราเอล ทางสายของ……
โลท ซึ่งมีลูกกับลูกสาวของตัวเองตอนที่เขาถูกมอมเหล้าเขาเข้าไปอยู่ในเมืองโสโดม และต้องหนีออกมาเมื่อพระเจ้าทรงส่งไฟลงมาผลาญเมือง)
พระเจ้าตรัสผ่านเศฟันยาห์ว่า คนของพระองค์จะเป็นผู้ครอบครองแผ่นดินนั้นแทน ทรงบอกชัดเจนว่า ความหายนะของพวกเขาเกิดขึ้นเพราะพวกเขาอหังการ สบประมาทคนของพระองค์ ซึ่งหมายถึงสบประมาทพระองค์ด้วย
เมื่อมองเหตุการณ์ปัจจุบัน เราจะเห็นกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่ตั้งตนเป็นใหญ่ตามส่วนต่าง ๆ ของโลก และฆ่าล้างผู้ที่เชื่อในพระเจ้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตะวันออกกลาง และอัฟริกา พวกเขาพยายามฆ่าคนของพระเจ้าประจำวัน พวกเขาพูดจาโอหัง โอ้อวด คิดว่าตนเองเก่งที่สุด ทั้ง ๆ ที่เป็นผู้มีอาวุธ เข้าไปทำร้าย เด็ก ผู้หญิง ที่ไม่สามารถต่อสู้ได้ …

พิพากษาโทษคูช
2:11-12 หลายท่านให้ความเห็นว่า ภาพที่เกิดขึ้นข้อ 11-12 เป็นภาพที่จะเกิดในอนาคต ในช่วงที่พระเยซูคริสต์ทรงครองหนึ่งพันปี  ในช่วงเวลานั้น พระทั้งหลาย เทพทั้งปวง จะถูกจัดให้เป็นศูนยภาพ  มนุษย์ทั้งโลกจะนมัสการพระเจ้าองค์เที่ยงแท้เท่านั้น (อิสยาห์ 66:18–21)  คูชคือ ประเทศเอธิโอเปีย ทางใต้ของอิสราเอล  ดาบของพระเจ้ามาในการบุกของเนบูคัดเนสซาร์ตอนที่บุกอียิปต์  ดูเอเสเคียล 30:20–25  ซึ่งคูชเองน่าจะโดนด้วย

พิพากษาโทษอัสซีเรีย
2:13  อัสซีเรียนั้นอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอิสราเอล เมืองสำคัญคือ นีนะเวห์ พระเจ้าจะทรงลงโทษพวกเขาที่ได้ทำร้ายอิสราเอลมาก โหดเหี้ยมเกินไป 
เศฟันยาห์รับใช้ในการกล่าวพระดำรัสระหว่างปี 640-612 ปีก่อนคริสตศักราช  ก่อนเหตุการณ์จริงจะเกิดขึ้นในปี 612 ปีก่อนคริสตศักราช  บาบิโลนได้เข้ามาบุก และจากเมืองที่มีชื่อเสียงในด้านการชลประทาน กลับกลายเป็นเมืองร้างที่แห้งผาก
ความคิดที่ว่าตัวเองปลอดภัยเสมอเป็นแค่ความคิดที่หลอกให้ตัวเองตายใจ

 เยเรมีย์  นาฮูม ฮาบากุก เป็นผู้เผยพระดำรัสรุ่นเดียวกัน  (เยเรมีย์รับใช้ไปจนถึง 586 ปีก่อนคริสตศักราช เมื่อบาบิโลนเข้ามากวาดต้อนเชลยไป) 
เราจะเห็นภาพการล่มสลายของนีนะเวห์ชัดเจนขึ้นจากหนังสือนาฮูม 

พระคำเชื่อมโยง

เศฟันยาห์ 2
1* โยเอล 1:14; 2:16
3* อาโมส 5:6; สดุดี 76:9;
อาโมส 5:14-15
4* เศคาริยาห์ 9:5;  เยเรมีย์ 6:4
5* เอเสเคียล 25:15-17; โยชูวา 13:3
6* อิสยาห์ 17:2

7* มีคาห์ 5:7-8; ลูกา 1:68; เยเรมีย์ 29:14
8* เยเรมีย์ 48:27; เอเสเคียล25:3 ;
เยเรมีย์ 49:1
9* อิสยาห์ 15:1-9; อาโมส  1:13;
เฉลยธรรมบัญญัติ 29:23
10* อิสยาห์ 16:6

11* มาลาคี 1:11; ปฐมกาล 10:5
12* อิสยาห์ 18:1-7; สดุดี 17:13
13* อิสยาห์ 10:5-27; 14:24-27
14* อิสยาห์ 13:21; 14:23; 34:11;
เยเรมีย์ 22:14
15* อิสยาห์ 47:8; วิวรณ์ 18:7;
เพลงคร่ำครวญ 2:15; นาฮูม 3:19

เศฟันยาห์ 1 ประกาศการกวาดล้าง

ในเวลานั้น เราจะถือตะเกียงส่องหาไปทั่วนครเยรูซาเล็ม

คำประกาศจากพระยาห์เวห์
1 พระดำรัสของพระยาห์เวห์มาถึงเศฟันยาห์ ลูกชายคูชีซึ่งเป็นลูกชายเกดาลิยาห์ ซึ่งเป็นลูกชายอามาริยาห์ ซึ่งเป็นโอรสของเฮเซคียาห์ ในรัชกาลโยสิยาห์ โอรสกษัตริย์อาโมนแห่งยูดาห์ดังนี้ 
2 องค์พระยาห์เวห์ทรงประกาศว่า
“เราจะรวบรวมกวาดล้างทุกสิ่งออกไปจากแผ่นดินโลก”
3 พระยาห์เวห์ทรงประกาศ  “เราจะกวาดทั้งมนุษย์และสัตว์ ทั้งนกในอากาศ และปลาในทะเล รวมไปถึงรูปเคารพพร้อมกับคนที่กราบไหว้มัน  เราจะตัดขาดมนุษย์ออกไปจากแผ่นดินโลก”
4 และเราจะยื่นมือของเราออกไปสู้ยูดาห์ และคนที่อาศัยในนครเยรูซาเล็ม เราจะตัดคนที่ยังเหลือ ที่กราบไหว้เทพบาอัล  เราจะกำจัดทั้งตัวและชื่อของเหล่าปุโรหิตไร้พระเจ้าที่กราบไหว้รูปเคารพออกไป 
5 เหล่าคนที่ก้มลงกราบบนหลังคาเพื่อบูชาดาวบนท้องฟ้า เหล่าคนที่ก้มลงกราบและสาบานต่อพระยาห์เวห์ และต่อเทพโมเลคด้วย(บางครั้งเรียกมัลคัม)
6 เหล่าคนที่เลิกติดตามพระยาห์เวห์ โดยไม่แสวงหาพระองค์ ไม่ทูลขอคำปรึกษาจากพระองค์ 

วันขององค์พระยาห์เวห์
(มาลาคี 4:1-6; 1 ธส. 5:1-11; 2 เปโตร 3:8-13) 

7 จงนิ่ง เงียบสงบต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ องค์พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ เพราะวันขององค์พระผู้เป็นเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว  พระยาห์เวห์ทรงเตรียมเครื่องบูชา และทรงชำระเหล่าแขกผู้รับเชิญของพระองค์ให้บริสุทธิ์ 
8 ในวันถวายเครื่องบูชาขององค์พระยาห์เวห์นั้น เราจะลงโทษเหล่าเจ้านายและโอรสทั้งหลายของกษัตริย์ และทุกคนที่สวมเสื้อผ้าตามแบบอย่างของคนต่างชาติ
 9 ในวันนั้น เราจะลงโทษคนทั้งหลายที่ย่างก้าวข้ามธรณีประตู (เย่อหยิ่ง 1 ซามูเอล 5:5) ซึ่งทำให้วิหารของเจ้านายของพวกเขาเต็มไปด้วยความโหดร้าย และกลโกง  

10  องค์พระยาห์เวห์ทรงประกาศว่า “ในวันนั้น จะมีเสียงร้องดังขึ้นมาจากประตูปลา มีการร้องตะโกนคร่ำครวญจากเขตที่สอง และมีเสียงชนโครมครามดังลั่นจากเนินเขาต่าง ๆ 
11 จงร้องครวญโหยหวน เหล่าคนที่อาศัยในเขตตลาด พ่อค้าทั้งหลายกำลังจะถูกกวาดล้าง  คนที่ค้าขายเครื่องเงินจะถูกตัดออกไป 
12 ในเวลานั้น เราจะถือตะเกียงส่องหาไปทั่วนครเยรูซาเล็ม และเราจะลงโทษทุกคนที่ชะล่าใจ เหมือนเหล้าองุ่นที่ตกตะกอน โดยคิดในใจว่า
‘องค์พระยาห์เวห์จะไม่ทรงทำสิ่งใด ไม่ว่าดีหรือร้าย’
 13 พวกเขาจะถูกปล้นความมั่งคั่งไป
บ้านเรือนของพวกเขาก็จะกลายเป็นที่ร้างเปล่า 
พวกเขาจะสร้างบ้าน
แต่ไม่ได้อยู่อาศัยในบ้านเหล่านั้น
พวกเขาจะปลูกสวนองุ่น
แต่จะไม่ได้ดื่มเหล้าองุ่นจากสวนเหล่านั้น”

วันยิ่งใหญ่ขององค์พระยาห์เวห์ 
14 วันยิ่งใหญ่ขององค์พระยาห์เวห์ใกล้เข้ามาแล้ว ใกล้เข้ามาและจะมาอย่างรวดเร็ว  จงฟังเถิด เสียงร้องในวันขององค์พระยาห์เวห์ จะขมขื่นนัก! ที่นั่น คนที่เข้มแข็งจะส่งเสียงร้องออกมา 
15  วันนั้น เป็นวันแห่งพระพิโรธ
วันแห่งความทุกข์ลำเค็ญ
และความเจ็บปวดรวดร้าว
วันแห่งหายนะและวันที่ถูกทิ้งร้าง 
วันแห่งความมืดทมึนและ
ความหมองหม่น
วันที่เต็มด้วยเมฆหมอกและความดำมืดมิด 
16 วันแห่งเสียงแตร
และเสียงเตือนถึงสงคราม ซึ่งต่อสู้กับเมืองที่มีการคุ้มกันแข็งแกร่ง ต่อสู้กับหอสูงตามมุมกำแพงเมือง
17 เราจะนำความลำบากมายังผู้คน พวกเขาจะเดินอย่างคนตาบอดเพราะพวกเขาได้ทำบาปต่อองค์พระยาห์เวห์
และเลือดของพวกเขาจะไหลออกมาท่วมแผ่นดิน 
เนื้อหนังของเขาจะเป็นเหมือนมูลสัตว์ 
18 เงิน และทองของพวกเขาไม่อาจจะช่วยเขา
จากภัยพิบัติในวันแห่งพระพิโรธของพระเจ้าได้
ไฟแห่งความหวงแหนของพระองค์
จะเผาผลาญทั่วทั้งแผ่นดินโลก
เพราะพระองค์จะทำให้ทุกคนที่อาศัยในแผ่นดินโลก
ถึงจุดจบอย่างกระทันหัน!” 

อธิบายเพิ่มเติม


ชื่อเศฟันยาห์ (צְפַנְיָה֙) มีความหมายตามตัวอักษรว่า พระยาห์เวห์ทรงซ่อน หรือ พระยาห์เวห์ทรงรักษาไว้
พระเจ้าตรัสกับเขาในช่วงรัชกาลของโยสิยาห์ (640-609 ปีก่อนคริสตศักราช)
เศฟันยาห์เผยพระดำรัสสมัยกษัตริย์โยสิยาห์ ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ครองราชย์ตั้งแต่เด็ก โดยที่ครองไปแล้ว 10 ปีจึงเกิดการฟื้นฟูฝ่ายวิญญาณในประเทศอิสราเอลทางใต้ มีความเห็นกันว่า เศฟันยาห์คงเขียนพระดำรัสนี้ออกมาก่อนการฟื้นฟูฝ่ายวิญญาณ
หลังจากสิ้นพระชนม์ไม่นาน แค่สี่ปี บาบิโลนก็เข้ามาโจมตี ทำลายพระวิหาร ยึดทรัพย์สินไป และกวาดคนยากจนพร้อมกับข้าราชการและทหารจำนวนมากไปเป็นเชลย
ปี 586 มีการก่อหวอดขึ้นมา ทำให้บาบิโลนมาอีกครั้ง และทำลายเยรูซาเล็มอย่างสิ้นเชิง ทิ้งคนยากจนที่สุดไว้ในแผ่นดินร้าง
เศฟันยาห์ยังเตือนให้คนอิสราเอลแสวงหาพระเจ้า และยังเห็นถึงการที่คนต่างชาติจะได้เข้ามาอยู่ในการคุ้มครองของพระเจ้า ซึ่งหมายถึงพวกเราที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ (3:9-10; วิวรณ์ 7:9-17) พระเจ้าจะทรงกวาดล้างคนในโลก
แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีความหวังที่จะได้รับการช่วยเหลือจากพระเจ้า เพราะพระเจ้าทรงฤทธิ์ที่จะช่วยได้ (3:17)


คำประกาศจากพระยาห์เวห์
1:1 เราจะเห็นว่า คนที่พระเจ้าทรงส่งมานั้น เป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือก และตรัสกับเขาโดยตรง พวกเขาที่เป็นผู้เผยพระดำรัสแท้นั้น ไม่ได้เป็นคนที่เลือกตัวเอง หรือพยายามจะเป็น หรือตั้งใจจะมีอาชีพอย่างนี้  คนเราในสมัยใหม่นี้ก็เหมือนกับสมัยก่อน  มีหลายแบบทั้งแบบที่พระเจ้าทรงเรียก และแบบที่ตั้งตัวเองขึ้นมา
เศฟันยาห์ผู้นี้ เป็นญาติกับกษัตริย์โยสิยาห์ด้วย
……..ลำดับเปรียบเทียบชีวิตเศคาริยาห์ กับก.โยสิยาห์

1:2 เราจะเห็นจากพระดำรัสว่า พระองค์ทรงโกรธมาก เพราะทรงตั้งพระทัยที่จะกวาดล้าง ทุกอย่างออกจากโลก
ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ ..​พร้อมกับรูปเคารพทั้งปวง
เป็นการทำลายล้างทั้งหมด ไม่เว้น ไม่ว่าจะกับคนยูดาห์ คือคนที่พระองค์ทรงเลือก และยังหมายถึงคนทั่วโลกด้วย (อ่านวิวรณ์  19)
เศฟันยาห์กล่าวว่า พระยาห์เวห์ทรงประกาศ .. ไม่ใช่คำที่มาจากตัวเขา แต่มาจากพระเจ้า 

1:4 พระเจ้าทรงเลือกอิสราเอลไว้เพื่อว่าเขาจะเป็นคนของพระองค์  ทรงยื่นพระหัตถ์มาเพื่อทำลาย(เป็นสำนวนที่บอกถึงการกระทำที่เป็นศัตรูอย่างรุนแรง))คนที่กราบไว้รูปเคารพออกไปให้หมด  การไหว้รูปเคารพเป็นการทำลายพันธสัญญาที่มีต่อกันอย่างโจ่งแจ้ง  สิ่งที่เห็นคือ การกราบไหว้รูปเคารพทั้งส่วนตัว ทั้งในที่สาธารณะ  เอารูปเคารพเข้ามาในพระวิหาร   มีการเอาคนที่ไม่ใช่วงศ์วานอาโรนมาเป็นปุโรหิต  เลิกติดตามพระเจ้า  สมัยของกษัตริย์มานัสเสห์ 
เหตุใดพระเจ้าจึงทรงกริ้วยิ่งนัก  ในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้าง ไม่มีใครเทียบพระองค์ได้ (อิสยาห์ 40:25) แต่มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้าง ทรงสอนให้รู้จักพระองค์ กลับเลือกที่จะกราบไหว้สิ่งที่ทำขึ้นมาจากน้ำมือของตัวเอง เป็นการดูหมิ่นพระองค์เป็นที่สุด 

1:5-6  โมเลค เป็นเทพของชาวอัมโมนที่จะมีการเอาเด็กเผา เป็นเครื่องบูชา (1 พงศ์กษัตริย์ 11:5, 33; 2 พงศ์กษัตริย์  23:10; เยเรมีย์ 32:35)  พวกผู้นำ ปุโรหิตยังได้ก้มกราบเหล่าเทพต่าง ๆ ที่คนอัสซีเรียนับถือ อย่างเช่นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวต่าง  ( 2 พงศ์กษัตริย์  23:11; เยเรมีย์ 19:13; 32:29 )  เศฟันยาห์กล่าวชัดเจนว่า พวกเขาทำอะไรบ้าง และกำลังกล่าวโทษพวกเขา 

วันขององค์พระยาห์เวห์
1:7  ในขณะที่ผู้คนกำลังร่ายรำ กำลังทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อสนองความพอใจของตัวเองนั้น เศคาริยาห์สั่งให้พวกเขาสงบ หยุดทุกอย่าง  พวกเขาต้องเตรียมตัวที่จะพบเจอกับพระพิโรธของพระเจ้า  ต้องเตรียมพบวันที่พระเจ้าจะทรงตอบแทนสิ่งที่พวกเขาได้ดูหมิ่นพระองค์อย่างร้ายแรง 
ฮาบากุกเองก็สั่งให้คนของพระเจ้านิ่งสงบต่อพระองค์เช่นกัน  (ฮาบากุก 2:20)
การนิ่งสงบ ประกอบด้วย หยุดพฤติกรรมทั้งสิ้นที่ต่อต้านพระเจ้า ก้มลงรับฟังพระองค์ด้วยใจที่สยบต่อพระองค์
พวกเขาจะต้องพิจารณาเห็นความแตกต่างระหว่างพระผู้สร้างกับสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา  มนุษย์ไม่อาจแก้ตัวต่อพระเจ้าผู้ทรงเป็นเจ้านายเหนือจักรวาลได้   

1:8 การสวมเสื้อผ้าตามแบบคนต่างชาติที่เหล่าเจ้านาย เจ้าชายทั้งหลายสวมนั้น ทำให้รู้ว่า พวกเขากำลังเข้าไปรับความเชื่อ ประเพณีของคนต่างชาติที่ไม่ได้เชื่อพระเจ้าเข้ามา แสดงว่า พวกเขารักและพอใจกับค่านิยมชาวต่างชติ ทำให้เร้าพระพิโรธของพระเจ้าขึ้นมา (เฉลยธรรมบัญญัติ   22:11-12)
พระองค์ทรงเตือนว่าจะลงโทษเจ้านาย เจ้าชายทั้งหลาย ซึ่งต่อมานั้นพวกเขาก็โดนตามนั้นจริง ๆ 
โอรสชื่อเยโฮอาหาสไปเป็นเชลยในอียิปต์ (2 พงศ์กษัตริย์ 24:34)
โอรสชื่อ เยโฮยาคิม พ่ายแพ้เนบูคัดเนสซาร์ ตายในเยรูซาเล็ม   (2 พงศ์กษัตริย์ 24:1-6)
หลานของกษัตริย์โยสิยาห์คือ เยโฮยาคีน ถูกกวาดไปเป็นเชลยในบาบิโลน (2 พงศ์กษัตริย์ 24:8-16 )
เศเดคียาห์โอรสองค์สุดท้ายของกษัตริย์โยสิยาห์ ถูกควักดวงตา และไปเป็นเชลยในบาบิโลน  (2 พงศ์กษัตริย์ 24:18-25:7)

1:9 การก้าวข้ามธรณีประตูอาจมีความหมายได้หลายอย่าง
ตัวอย่างคนชาวอัชโดดที่ไม่ให้เท้าเหยียบธรณีประตู เพราะรูปปั้นของพวกเขาล้มลงฟาดธรณีประตู (อ่าน 1 ซามูเอล 5:1-5)  การที่คนยูดาห์ทำเช่นนั้น ทำให้รู้ว่า พวกเขานับถือกฎเกณฑ์ของความเชื่ออื่นอย่างเคร่งครัด 

1:10-11 สองข้อนี้ ทำให้เรารู้ว่า เศฟันยาห์รู้จักกรุงเยรูซาเล็มเป็นอย่างดี  และดูเหมือนว่า แทบทุกส่วนของเมืองจะถูกพระเจ้าลงโทษ วันที่ผู้เขียนกำลังเขียนเรื่องนี้ (สัปดาห์ที่สามของเดือนกรกฎาคม 2025) มีเหตุการณ์ที่ชนกลุ่มน้อยชาวดรูซและคริสเตียนในซีเรีย ถูกกลุ่มอิสลามหลายกลุ่มเข้ามาและฆ่าล้างพวกเขาในทางใต้ของซีเรีย เรายังได้ยินเสียงร้องที่น่ากลัวของพวกเขาอยู่ในความทรงจำเลย.. พวกเขาได้หนีเข้ามาอยู่ในเขตอิสราเอลเป็นแสน ๆ คน   แต่ในวันของพระเจ้า เราจะหนีไปไม่พ้น.

1:12 คนที่ทำชั่วไม่ว่าในสมัยใด มักจะคิดกันอย่างนี้คือ พระเจ้าจะไม่สนพระทัยว่า พวกเขาทำดีหรือทำร้าย  ศาสนาบางอย่างยังเชื่อด้วยว่า พระของเขาสนับสนุนการฆ่าล้างคนที่ไม่เชื่อเหมือนเขา
1:13 สิ่งที่พระเจ้าทรงเตือนชัดเจนคือ ทุกสิ่งที่สร้าง ที่ปลูกเพื่อจะได้มีชีวิตที่สบายจะถูกทั้งทำลาย และเอาไปจากพวกเขา ดังนั้นที่คิดว่า พระเจ้าไม่สนพระทัย ไม่ทำสิ่งใดนั้น เป็นความเข้าใจผิด เป็นการหมิ่นน้ำพระทัยของพระองค์อย่างยิ่ง

วันยิ่งใหญ่ขององค์พระยาห์เวห์ 
1:14-16  สามข้อนี้ เป็นคำแบบเดียวกับ โยเอล  2:1-11
เน้นย้ำถึงความรวดเร็วที่พระยาห์เวห์เสด็จมาต่อต้านประชากรของพระองค์ วันอันน่าสะพรึงกลัวของพระยาห์เวห์นั้น  ใกล้เข้ามาและมาอย่างรวดเร็ว
ไม่มีใครหนีออกไปได้ แม้คนเข้มแข็งก็รู้ว่าตัวเองถึงจุดจบแน่แล้ว  ครั้งนี้เป็นวันแห่งความมืด ไม่มีความหวังหลงเหลืออยู่เลย  หากเราเจอวันที่มืด มืดมิดอย่างหนามาก ๆ เราจะทำอะไรได้?  คนที่เคยอยู่ในคุกมืดจะบอกได้ว่ามันคืออะไร และเราไม่น่าจะต้องไปสัมผัสเหตุการณ์อย่างนั้นในเมื่อพระเจ้าทรงเตือนเราแล้วในเวลานี้
อ่านซ้ำ ๆ อ่านให้เข้าไปในความรู้สึก ในใจ ในความคิด ของเรา และให้เราช่วยตัวเองและเพื่อนรอบข้างให้ไม่ต้องเจอสภาพนี้  
คนที่พบกับสงครามในเวลานี้จะรู้สึกได้ไปถึงกระดูก เมื่อพระเจ้าทรงเตือน ขอเราฟังให้ดี  เขียนออกมาว่า ในวันแห่งพระพิโรธ เราจะพบกับอะไรบ้าง …​สงครามเป็นตัวบ่งบอกชัดเจนว่า พระเจ้าทรงนำมาให้เพื่อนำให้พวกเขากลับใจ
แม้เมืองที่มีการคุ้มกันอย่างดี ก็ไม่อาจหนีพ้นได้

ผลที่เกิดขึ้นจากการพิพากษาของพระเจ้า
1:17  สภาพของคนที่ทรยศพระเจ้าทั้ง  ที่พระองค์ทรงเตือนพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็เป็นแบบนี้ น่าสยดสยองจริง ๆ
นี่คือผลที่ได้จากการที่พระเจ้าทรงยื่นพระหัตถ์เข้ามาต่อต้านมนุษย์

1:18 วันของพระเจ้ามาอย่างรวดเร็ว  ไม่ทันตั้งตัว พวกเขาจะถึงจุดจบอย่างทันควัน
พระเจ้าทรงแสดงออกถึงความหวงแหนของพระองค์ พระองค์ทรงได้รับบาดแผลและทรงเรียกร้องการแก้แค้น
คนที่ทำให้พระเจ้าพิโรธได้ขนาดนี้ ต้องทำอย่างสุดขั้วเช่นกัน เพราะพระเจ้าทรงพิโรธช้า 
พวกเขาเข้าใจบ้างแล้วหรือยังว่า ทำอะไรลงไป? 

พระคำเชื่อมโยง

เศฟันยาห์ 1
1* 2 พงศ์กษัตริย์ 22:1-2
3* โฮเชยา 4:3
4* โฮเชยา 10:5
5* 2 พงศ์กษัตริย์ 23:12; โยชูวา 23:7
6* อิสยาห์ 1:4; โฮเชยา 7:7

7* เศคาริยาห์ 2:13; อิสยาห์ 13:6;
เยเรมีย์ 46:10
8* เยเรมีย์ 39:6
9* 1 ซามูเอล 5:5
10* 2 พงศาวดาร 33:14
11* ยากอบ 5:1
12* เยเรมีย์ 48:11; สดุดี 94:7

13* เฉลยธรรมบัญญัติ 28:39
14* โยเอล 2:1,11
15* อิสยาห์ 22:5
16* เยเรมีย์ 4:19
17* เฉลยธรรมบัญญัติ  28:29
18* เอเสเคียล 7:19