อาโมส 3 เหตุใดทรงลงโทษอิสราเอล?

เราตกลงกันมาแล้วในพันธสัญญา
1 โอ อิสราเอลเอ๋ย
จงฟังสิ่งที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสต่อว่าพวกเจ้า ต่อว่าเผ่าพันธุ์ทั้งหมดที่เราได้นำออกมาจากอียิปต์  ดังนี้
2 “จากเผ่าพันธุ์ทั้งสิ้นในโลกนี้ 
เจ้าเท่านั้นที่เราได้เลือกไว้  ดังนั้น เราจะลงโทษพวกเจ้า เนื่องจากบาปทั้งสิ้นที่เจ้าได้ทำลงไป
3 คนสองคนจะเดินไปด้วยกัน
โดยไม่ตกลงกันก่อนได้หรือ?

4 สิงโตในป่าจะคำรามลั่นในเมื่อไม่มีเหยื่ออย่างนั้นหรือ?
สิงโตในถ้ำจะร้องขู่ ทั้ง ๆ ที่ยังจับเหยื่อไม่ได้อย่างนั้นหรือ?
5 นกสักตัวจะไปติดกับดักบนพื้นดิน ทั้ง ๆ ที่ไม่มีเหยื่อล่อหรือ?
แล้วกับดักจะลั่นขึ้นมาทั้ง ๆ ที่ไม่มีเหยื่อไปติดอย่างนั้นหรือ?
6 หากมีเสียงแตรดังขึ้นในเมือง  ผู้คนจะไม่ตกใจหรือ?
จะมีหายนะเกิดขึ้นกับเมืองใด ๆ ได้หรือ
หากองค์พระยาห์เวห์ไม่ได้ทรงเป็นผู้กระทำ?

7  แน่ทีเดียว พระยาห์เวห์องค์พระเจ้าจะไม่ทรงทำสิ่งใด โดยไม่ได้เปิดเผยแผนการของพระองค์ ให้แก่เหล่าผู้เผยพระดำรัส ซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ให้เขารับรู้
8 เมื่อสิงโตคำรามลั่น ใครจะไม่กลัว?  เมื่อพระยาห์เวห์ตรัส ใครจะไม่เผยพระดำรัส?

เราตกลงกันมาแล้วในพันธสัญญา
3:1-3  บางทีคนอิสราเอลและคนยูดาห์อาจคิดว่า พระเจ้าทรงนำพวกเขาออกมาจากอียิปต์ ทรงไถ่พวกเขาแล้ว ไม่มีวันที่พระองค์จะทรงทำลายเขา เขาเป็นชนชาติที่พระองค์ทรงเลือกนี่นา  เขาลึมไปว่า ยิ่งถ้าได้สิทธิพิเศษ การพิพากษาก็จะเข้มงวดขึ้นกว่าคนอื่น ๆ !
แต่พระเจ้าทรงบอกชัดเจนตรงนี้ว่า พระเจ้าจะทรงลงโทษเพราะเขาทำบาป  ถ้าเขาไม่ได้ทำผิดต่อพระองค์ อาโมสคงไม่ต้องมาพูดเรื่องนี้ 
ถ้าเราทำสิ่งใดด้วยกัน แล้วต้องมีการตกลง มีเงื่อนไขมิใช่หรือ? พวกเขาได้ยินคำที่พระเจ้าตรัสชัดว่า จากเผ่าพันธุ์ทั้งหลายในโลก พระเจ้าทรงเลือกเขา การเลือกของพระเจ้านี้มีเพื่อให้เขาสนิทกับพระองค์ รู้จักพระองค์อย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่เป็นพระเจ้าอยู่ไกล ๆ 
ในเมื่อมีพันธสัญญากันมาตั้งแต่อับราฮัมจนมาถึงโมเสสที่ได้ให้บทบัญญัติชัดเจน  เขาก็รู้แล้วว่า ควรจะใช้ชีวิตอย่างไร

3:4-6 อาโมสได้บอกพวกเขาว่า ถ้ามีเหยื่อสิงโตจะคำราม ถ้ามีเหยื่อล่อ นกจะไปติดกับดัก   ดังนั้นเมื่อพระเจ้าตรัสด้วยพระพิโรธ พวกเขาจะไม่คิดอะไรเลยหรือ?  พระเจ้าทรงยืนยันว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น พระองค์เป็นผู้กระทำ… และทรงเปิดเผยให้คนของพระองค์รู้ก่อน อาโมสยืนยันว่า พระเจ้าตรัสแล้ว .. และเขาเป็นผู้เผยพระดำรัสของพระองค์
ข้อสี่-หก เป็นบทกวีคำคม แบบฮีบรู เพื่อจะสรุปในข้อแปดว่าที่อาโมสมาเผยพระดำรัส ก็เป็นเพราะพระเจ้าตรัส ..

3:7-8 เมื่อสิงโตคำราม ก็ต้องทำให้คนหวาดหวั่น
เมื่อพระเจ้าตรัส คนที่รู้ก็ต้องทำหน้าที่ของเขา สิ่งที่ชัดเจนคือ พระเจ้ามักจะเตือนคนของพระองค์ล่วงหน้าเสมอ ก่อนที่จะมีอะไรร้าย ๆ เกิดขึ้น และเราก็เห็นภาพการเตือนของพระเจ้าในหนังสือผู้เผยพระดำรัสมาโดยตลอด พระเจ้าทรงประสงค์ให้พวกเขาได้เอาใจใส่ต่อพระดำรัสของพระองค์ แต่พวกเขากลับเฉยเมย มองข้ามพระองค์ไป

ลงโทษเพราะอิสราเอลทำบาปใหญ่ 
9 จงร้องประกาศบนป้อมปราการในอัชโดด 
และบนป้อมปราการในแผ่นดินอียิปต์ 
จงเรียกประชาชนให้มาชุมนุมกันบนภูเขาแห่งสะมาเรีย
และให้ดูความสับสนวุ่นวายในเมือง
รวมทั้งการข่มเหงในหมู่ประชาชน  10 “ประชาชนไม่รู้จักการทำสิ่งที่ถูกต้อง” พระยาห์เวห์ทรงประกาศ “แต่ได้สะสมความรุนแรง และความเสียหายไว้ในป้อมปราการของพวกเขา”

11 ดังนั้น พระยาห์เวห์องค์พระเจ้าตรัสว่า
“ศัตรูจะล้อมรอบแผ่นดิน พวกเขาจะทำลายป้อมมั่นคง และปล้นสะดมป้อมปราการของพวกเจ้า”

12 พระยาห์เวห์ตรัสว่า “เหมือนอย่างที่คนเลี้ยงแกะได้คว้าเอาขาสองข้างหรือแค่ใบหูรอดจากปากของสิงโต  คนอิสราเอลที่อาศัยในสะมาเรีย จะได้รับการช่วยกู้ให้รอดแบบเดียวกัน  คือคนเหล่านั้นที่นั่งอยู่ขอบเตียง หรือบนผ้าคลุมเตียงจากดามัสกัส 

13  พวกเจ้าจงฟังและเป็นพยานต่อต้านวงศ์วานยาโคบ” นี่เป็นคำประกาศของพระยาห์เวห์  พระเจ้า พระเจ้าองค์จอมทัพ 

14 “เราจะลงโทษเหล่าแท่นบูชาแห่งเบธเอล ในวันที่เราลงโทษอิสราเอลเพราะบาปทั้งหลายของพวกเขา เชิงงอนที่แท่นบูชาจะถูกเลื่อยออก และหล่นลงบนพื้นดิน 

15 เราจะพังทลายตำหนักฤดูหนาวและตำหนักฤดูร้อน คฤหาสน์ที่ตกแต่งด้วยงาช้าง จะถูกทำลาย และคฤหาสน์ทั้งหลายจะต้องพังพินาศไป” นี่เป็นคำประกาศของพระยาห์เวห์ 

ลงโทษเพราะอิสราเอลทำบาปใหญ่ 
3:9-10 หากเรียกคนในอัชโดด(ชาวฟิลิสเตีย) หรือคนที่อียิปต์ หรือประชาชนให้มาดูที่ภูเขาสะมาเรีย พวกเขาจะเป็นพยานได้ว่า
ในสะมาเรียนั้นวุ่นวาย เต็มด้วยการข่มเหงมากมายขนาดไหน
ไม่มีใครรู้ดีรู้ชั่วเลย ใช้ความโกรธ ความรุนแรงเป็นที่ตั้งในการตัดสินใจ แล้วหากเห็นว่าสะมาเรียชั่วแค่ไหน แลัวพระเจ้าจะทรงอยู่เฉยหรือ?

3:11 เป็นเพราะผู้คนทำร้ายกันเอง คนรวยข่มเหงคนจน ผู้นำกดขี่ประชาชนทั้ง ๆ ที่มีหน้าที่ปกป้องพวกเขา  พระเจ้าทรงบอกชัดว่า  จะมีคนต่างชาติมาล้อมเมืองและปล้นพวกเขา  และในปี  722 ก่อนคริสตศักราช อัสซีเรียได้มาล้อมเมือง ปล้นอย่างเมามัน ทำลายทุกอย่างที่มีค่า

3:12  แต่แล้ว  ภาพที่อาโมสบอกเอาไว้นั้น น่าเสียวไส้ว่าจะรอดได้อย่างไร จะมีใครรอดบ้างหรือ…  เป็นภาพที่บอกว่าช่วยอย่างหวุดหวิดแต่ก็คว้าชีวิตคืนมาไม่ได้ ตายแน่นอน!

3:13 แล้วพระเจ้าก็ตรัสกับคนต่างชาติอย่างอัชโดดและอียิปต์ ให้เป็นพยานถึงสิ่งที่เกิดขึ้น พระเจ้าทรงให้คนต่างชาติมาเป็นพยานถึงการลงโทษของพระเจ้าที่มีต่อคนที่พระเจ้าทรงเลือกไว้! พระเจ้าทรงทำให้พวกเขาถูกเหยียดหยาม และดูหมิ่น นอกเหนือไปจากการถูกทำลาย  

3:14 เบธเอลเป็นเมืองศูนย์กลางแห่งการไหว้รูปเคารพของอิสราเอล พระเจ้าทรงบอกล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับสิ่งที่พวกเขาหลงใหล เคารพบูชา 

3:15  พระเจ้าจะทรงให้คนต่างชาตินั้นทำลายบ้านหลังที่สองอันงดงามของพวกเขา  ไม่เหลือเลย 

พระคำเชื่อมโยง

อาโมส 3
1* เฉลยธรรมบัญญัติ 7:6; โรม 2:9
6* อิสยาห์ 45:7
7* ยอห์น 15:15
8* กิจการ 4:20
10* เยเรมีย์ 4:22
14* อาโมส 4:4
15* เยเรมีย์ 36:22; ผู้วินิจฉัย 3:20; 1 พงศ์กษัตริย์ 22:39

อาโมส 2 ยูดาห์ อิสราเอลก็ไม่พ้น

1พระยาห์เวห์ตรัสว่า ““เราจะยังไม่เปลี่ยนใจการลงโทษโมอับ เพราะเขาทำบาปครั้งแล้วครั้งเล่า
เขาได้เผากระดูกของกษัตริย์เอโดมจนกลายเป็นผงปูน

2  ดังนั้น เราจะส่งไฟลงมายังโมอับ ไฟนั้นจะเผาผลาญป้อมต่าง ๆ แห่งเคริโอท  โมอับจะตายไปท่ามกลางความวุ่นวาย พร้อมเสียงตะโกนและเสียงแตรเขาแพะผู้

3 เราจะกำจัดผู้พิพากษาจากแผ่นดิน จะประหารเหล่าข้าราชการไปพร้อมกับเขา” พระยาห์เวห์ตรัสดังนั้น 

1:1-2 แม้โมอับจะถูกทำลาย แต่มีคนหนึ่งที่มาจากโมอับและกลายมาเป็นย่าทวดของกษัตริย์ดาวิด นั่นคือนางรูธ
โมอับเป็นชนชาติที่สืบเชื้อสายจากโลทและลูกสาวคนรองของเขา (ปฐมกาล 19:37)
การเผากระดูกจนกลายเป็นผงปูนสำหรับพวกเขาเป็นเรื่องใหญ่ แทนที่จะนำศพไปฝังอย่างสมควร เขากลับแสดงถึงความเกลียดชังอย่างรุนแรงและการไม่มีความเคารพใด ๆ หลงเหลืออยู่    พระเจ้าจะทรงส่งไฟมาผลาญพวกเขา พวกเขาจะพินาศในสงครามนั่นเอง
คนที่พระเจ้าจะทรงลงโทษอย่างรุนแรงคือผู้นำ 
เคริโอทเป็นเมืองสำคัญของโมอับ เป็นที่ตั้งเทพโคโมสซึ่งเป็นเทพประจำชาติ

คำพิพากษาเหนือยูดาห์

4 พระยาห์เวห์ตรัสว่า ““เราจะยังไม่เปลี่ยนใจการลงโทษยูดาห์เพราะเขาทำบาปครั้งแล้วครั้งเล่า
เขาปฏิเสธคำสอนของพระยาห์เวห์ และไม่ได้รักษาบทบัญญัติของพระองค์  คำมุสาที่บรรพบุรุษของพวกเขาติดตามนั้น ทำให้เขาหลงทางไป
 
5 ดังนั้น เราจะส่งไฟมายังยูดาห์ และไฟนั้นจะเผาผลาญป้อมทั้งหลายของเยรูซาเล็ม

2:4-5
ผู้คนได้ฟังคำพิพากษาของพระเจ้าที่มีต่อชนชาติเพื่อนบ้านจาก อาโมส  แล้วในที่สุดพวกเขาก็ได้ยินเองว่า พระเจ้าจะทรงลงโทษที่พวกเขาทำผิดต่อพระองค์เช่นกัน  คำพิพากษาก็มาถึงยูดาห์ ชนชาติอิสราเอลทางใต้
พวกเขาทำอะไรที่ทำให้พระเจ้าพิโรธ? 
ที่สำคัญคือ เขาไม่ฟังคำบัญชา ไม่ทำตามบทบัญญัติโมเสส  แต่หลงไปตามคำโกหกของพวกผู้นำ  และผู้เผยพระดำรัสปลอม
(อิสยาห์ 3:12; 28:15; ,มีคาห์  3:5)  ผู้นำฝ่ายวิญญาณทำให้คนหลงทางไปจากพระเจ้า  ในเมื่อพวกเขาทำบาป นครเยรูซาเล็มที่พวกเขาเชิดชูจะถูกเผา ซึ่งเกิดขึ้นจริงในเวลาต่อมาเมื่อเนบูคัดเนสซาร์เข้ามาบุกและกวาดคนไปเป็นเชลย

คำพิพากษาเหนืออิสราเอล
6   พระยาห์เวห์ตรัสว่า “เรายังไม่เปลี่ยนใจการลงโทษอิสราเอลเพราะเขาทำบาปครั้งแล้วครั้งเล่า(สามครั้ง สี่ครั้ง) เพราะเขาได้ขายคนเที่ยงธรรมแลกกับเงิน และคนที่ขัดสนแลกกับรองเท้าเพียงคู่เดียว
 
7  เขาได้เหยียบย่ำศีรษะของคนยากจนราวกับเดินย่ำฝุ่น และขัดขวางความยุติธรรมกับคนที่ถูกข่มเหง
พ่อกับลูก เข้าหาผู้หญิงคนเดียวกัน เป็นการดูหมิ่นพระนามบริสุทธิ์ของเรา
8 พวกเขานอนลงข้างแท่นบูชาทุกแห่ง โดยยังสวมเสื้อผ้าที่ยึดมาเป็นประกัน และในวิหารเทพของเขา เขาก็ดื่มเหล้าองุ่นที่ยึดมาเป็นค่าปรับ

2:6-8 อิสราเอลกับยูดาห์แยกกันมากว่าสองร้อยปีแล้ว  และมีการรบพุ่งกันเนือง ๆ  ( 1 พงศ์กษัตริย์ 14:30; 15:7, 16-21; 2    พงศ์กษัตริย์ 14:8-14) จึงมีความรู้สึกเป็นศัตรูต่อกันทั้ง ๆ ที่เป็นชนชาติเดียวกัน พระเจ้าทรงแยกความผิดของทั้งสอง

เหตุผลที่พระเจ้าจะทรงลงโทษอิสราเอลนั้นชัดเจน อาโมสได้บรรยายความผิดของอิสราเอลอย่างชัดเจน ที่สำคัญพวกเขาทำร้ายพี่น้องของตนเอง ชนชาติของตนเอง
-พวกเขาค้ามนุษย์ ! เขาขายคนเที่ยงธรรมให้เป็นทาส คนยากจนก็เช่นกันไม่ยอมให้เวลาที่คนเหล่านั้นจะหาเงินมาไถ่ถอน
-เขาดูหมิ่นเหยียบย่ำ คนยากจน (อิสยาห์ 3:15) ราวเดินย่ำฝุ่นคือ เขาจะเอาทุกอย่างทั้งที่ดิน บ้าน ของคนยากจนที่เป็นหนี้เขา เอาแม้กระทั่งฝุ่นบนศีรษะของพวกเขา!!
-ไม่ยอมช่วยคนถูกข่มเหง
-เขาทำผิดทางเพศ เป็นการดูหมิ่นพระนามบริสุทธิ์ ทำให้ผู้คนไม่ได้มองเห็นว่าพระเจ้าทรงอยู่สูงส่ง บริสุทธิ์
-การประกันเสื้อผ้านั้น เมื่อคนเอาเงินมาคืน เขาควรจะคืนเสื้อผ้าในวันนั้น แต่กลับเอาไปสวมใส่ทำสิ่งน่าขยะแขยง แทนที่คนยากจนนั้นจะใช้คลุมตัวยามค่ำที่หนาวเหน็บ (อพยพ 22:25-27)   
-พวกเขายังดื่มเหล้าองุ่นที่ขโมยมาจากคลังซึ่งเป็นเหล้าองุ่นที่ประชาชนจ่ายเป็นภาษี เขานอนทำสิ่งน่าชังข้างแท่นบูชา ทำสิ่งน่ารังเกียจในวิหารเทพที่พระเจ้าทรงชัง
ทั้ง ๆ ที่พวกเขารู้จักพระบัญญัติของพระเจ้าแต่เขาไม่ใส่ใจที่จะรักษาเลย​

9 “เป็นเราเองที่ได้ทำลาย ชนอาโมไรต์ต่อหน้าต่อตา ขณะที่อิสราเอลบุกเข้าไปพวกเขาสูงตระหง่านดั่งต้นสนซีดาร์ และแข็งแรงราวต้นโอ๊ก  เราได้ทำลายผลซึ่งอยู่ข้างบน และรากซึ่งอยู่ด้านล่าง 
10  และเราพาพวกเจ้าออกมาจากแผ่นดินอียิปต์  นำเจ้าผ่านถิ่นกันดารตลอด 40 ปี  เพื่อเจ้าจะได้ครอบครองดินแดนของชาวอาโมไรต์ 

2:9-10 ชนอาโมไรต์เป็นคนที่อยู่ในดินแดนคานาอัน มีกษัตริย์ ที่เข้มแข็งมาก อาโมสได้บอกว่า เขาเป็นคนตัวโต ตัวใหญ่แข็งแรงมาก และพระเจ้าทรงทำลายพวกเขาอย่างสิ้นเชิง พระเจ้าทรงเอาชนะเขาโดยไม่เหลือ พระเจ้าประทานดินแดนนี้ให้อิสราเอล คนของพระองค์ที่จะต้องทำหน้าที่เป็นพระพรแก่ประชาชาติ
ข้อสิบนี้พระเจ้ากำลังตรัสว่า พระองค์ทรงไถ่เขาออกมาจากการเป็นทาส ทรงซื่อตรงต่อพวกเขาอย่างที่ทรงสัญญาไว้กับอับราฮัม พระองค์ทรงเอาเขาออกมาจากถิ่นกันดาร คือที่ ๆ ไม่มีอะไรเลยทรงนำพวกเขาสี่สิบปี จากสถานที่ซึ่งมีแต่ความว่างเปล่า มายังดินแดนที่สมบูรณ์ ที่ ๆ มั่นคง ไม่ต้องพเนจร เร่ร่อนอีกต่อไป

11  เราได้ตั้งลูกชายของบางคนให้เป็นผู้เผยพระดำรัส และชายหนุ่มบางคนให้เป็นนาศีร์  โอ อิสราเอลเอ๋ย  นี่คือเรื่องจริงใช่ไหม?”  องค์พระยาห์เวห์ทรงประกาศ 
12 “แต่เจ้ากลับบังคับให้นาศีร์ดื่มเหล้าองุ่น
และยังสั่งผู้เผยพระดำรัสว่า “อย่าเผยพระดำรัส”
13 ดูเถิด เรากำลังจะขยี้เจ้าในที่ของเจ้า
เหมือนเกวียนที่บรรทุกข้าวเต็มบดขยี้ข้าว”
14 แม้แต่คนที่ว่องไวก็จะหนีไม่ทัน
คนที่แข็งแกร่งไม่อาจสู้ได้ด้วยกำลังของตน
คนที่กล้าหาญไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้ 
15 นักแม่นธนูไม่อาจยืนหยัดได้
คนที่ขาว่องไวรวดเร็วไม่อาจรักษาตัวเองไว้ได้
และคนที่ขี่ม้าจะเอาชีวิตไม่รอด 
16 แม้นักรบที่กล้าหาญที่สุด
ยังต้องเปลือยกายหนีออกไปในวันนั้น”
พระยาห์เวห์ทรงประกาศ

 2:11-13 พระเจ้าจะทรงนำให้บางคนเป็นผู้เผยพระดำรัสของพระเจ้า และบางคนเป็นนาศีร์ ซึ่งเป็นคนที่จะไม่ตัดผม ไม่ดื่มเหล้าองุ่น จะใช้ชีวิตอุทิศแด่พระเจ้า  ไม่ยอมรับสิ่งใดที่ต่อต้านพระทัยของพระเจ้า และจะเชื่อฟังพระองค์ แต่อิสราเอลกลับไม่ยอมฟังคนเหล่านี้ ไม่ยอมฟังพระดำรัสของพระเจ้าที่ผ่านคนเหล่านี้  บังคับให้นาศีร์ทำผิดต่อพระเจ้า บังคับให้ผู้เผยพระดำรัสปิดปาก  การลงโทษที่จะลงมานั้น จะทำให้พวกเขาพังพินาศ เหมือนข้าวที่ถูกขยี้จนแหลกละเอียด 

2:14-16 ในวันที่พระเจ้าทรงพิพากษา  ไม่มีใครจะหนีพ้นไปได้ คนที่เก่งที่สุดในแต่ละด้าน  กองทัพที่แข็งแกร่งยังหนีไม่รอด แล้วคนที่เหลือจะเป็นอย่างไร 

พระคำเชื่อมโยง

อาโมส 2
1* เศฟันยาห์ 2:8-11; 2 พงศ์กษัตริย์ 3:26-27
2* เยเรมีย์ 48:24, 41
3* กันดารวิถี 24:17
4* โฮเชยา 12:2; เลวีนิติ 26:14; เยเรมีย์ 16:9; เอเสเคียล 20:13, 16, 18
5* โฮเชยา 8:14

6* 2 พงศ์กษัตริย์ 17:7-18; 18:2; อิสยาห์ 29:21; อาโมส 4:1; 5:11; 8:6
7* อาโมส 5:12; เอเสเคียล 22:11; เลวีนิติ 20:3
8* 1โครินธ์ 8:10; อพยพ 22:26
9* กันดารวิถี  2:25; เอเสเคียล 11:3; มาลาคี 4:1

10* อพยพ 12:51; เฉลยธรรมบัญญัติ 2:7
11* กันดารวิถี 12:6; 6:2-3
12* อิสยาห์ 30:10
13* อิสยาห์ 1:14
14* เยเรมีย์ 46:6; สดุดี 33:16

อาโมส 1 พิพากษาเมืองต่าง ๆ

1 ถ้อยคำของอาโมสผู้เป็นหนึ่งในผู้เลี้ยงแกะ
จากเมืองเทโคอา  เป็นสิ่งที่เขาเห็น ซึ่งเกี่ยวข้องกับอิสราเอลสองปีก่อนที่จะเกิดแผ่นดินไหว
ในรัชกาลอุสซียาห์ กษัตริย์แห่งยูดาห์
และเยโรโบอัม บุตรเยโฮอาช เป็นกษัตริย์แห่งอิสราเอล

 2 เขากล่าวว่า“องค์พระยาห์เวห์ ทรงเปล่งพระสุรเสียงดั่งสิงห์คำรามจากศิโยน ทรงเปล่งพระสุรเสียงจากเยรูซาเล็ม  ทุ่งหญ้าของคนเลี้ยงแกะทั้งหลายก็แห้งไป และยอดเขาคารเมลก็แห้งไปด้วย”

1:1. อาโมสเป็นคนเลี้ยงแกะและดูแลสวนมะเดื่อ(7:14-15)จากเมืองโทโคอาซึ่งอยู่ทางใต้ของประเทศ อยู่ทางใต้ของเยรูซาเล็มไป 16 กิโลเมตร แต่พระเจ้าทรงส่งเขาไปทางเหนือเพื่อเตือนให้ผู้นำอิสราเอล และประชาชนกลับใจใหม่   จากที่เขาบอกว่า เขากล่าวพระดำรัสของพระเจ้าสองปีก่อนที่จะเกิดแผ่นดินไหว

เขาเป็นคนในรัชกาลอุสซียาห์ (792-740 ปีก่อนคริสตศักราช) ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ปกครองดี และนำความเจริญมาให้ยูดาห์ทางใต้เป็นอย่างมาก ส่วนกษัตริย์ที่ปกครองทางเหนือนั้นคือเยโรโบอัม (793-753 ปีก่อนคริสตศักราช) เป็นกษัตริย์ที่ส่งเสริมการไหว้รูปเคารพในหมู่ผู้นำและประชาชน  ในรัชกาลนี้ มีความมั่งคั่งมาก สะมาเรียเป็นเมืองหลวง  แต่ถึงอย่างนั้นชาวนาก็ยากจน และยากลำบากมาก  คนชั้นสูง ผู้นำต่างให้ยืมเงิน เมื่อพวกเขาไม่มีจะคืน ก็จับคนยากจนเหล่านี้มาเป็นทาส ยึดที่ดินของพวกเขาไปด้วย 

อาโมสเป็นผู้เผยพระดำรัสรุ่นเดียวกับ โฮเชยา อิสยาห์ มีคาห์ 

1:2 เมื่อพระเจ้าตรัส พระองค์ไม่ได้ตรัสเบา ๆ เตือนเล็กน้อย แต่พระองค์ทรงตรัสด้วยพระพิโรธ  ใครก็ตามที่ได้ยินเสียงของพระองค์จะเป็น เหมือนอย่างทุ่งหญ้า และต้นไม้เขียวขจีบนภูเขา คือจะเหี่ยวแห้งไป

คำพิพากษามายังเพื่อนบ้านของอิสราเอล  1:3-2:16
3 พระยาห์เวห์ตรัสว่า “เราจะยังไม่เปลี่ยนใจการลงโทษดามัสกัส เพราะเขาได้เหยียบย่ำกิเลอาดด้วยเลื่อนคราดเหล็กสามครั้ง สี่ครั้งแล้ว 
4 ดังนั้น เราจะส่งไฟมาเผาผลาญราชวังของฮาซาเอล  และจะเผาไหม้ป้อมทั้งหลายของเบนฮาดัด 
5  เราจะทำลายประตูเมืองดามัสกัส
และกำจัดผู้ปกครองซึ่งอยู่ในหุบเขาอาเวน
รวมทั้งผู้ที่ถือคทาในเบทเอเดน 
ประชาชนในอารัมจะถูกกวาดไปเป็นเชลยที่เมืองคีร์”
พระยาห์เวห์ตรัสดังนั้น 

1:3-5 เมืองแรกที่พระเจ้ากล่าวถึงคือดามัสกัสซึ่งอยู่ในซีเรีย พวกเขาเข้ามาบุกเมืองกิเลอาดทางตะวันออกของทะเลกาลิลี  พวกเขาใช้วิธีการใช้เลื่อนเหล็กเข้ามา ซึ่งมีความหมายว่า ถอนรากถอนโคนกิเลอาดเลย  
ฮาซาเอล และเบนฮาดัดนั้นเป็นชื่อของกษัตริย์เมืองดามัสกัส 
คำว่าทำผิดสามครั้ง สี่ครั้ง คือเป็นการทำผิดต่อพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงต้องรับโทษ

หุบเขาอาเวน คือหุบเขาแห่งความชั่วร้าย
เบทเอเดน คือบ้านแห่งความหรรษา อาโมสพูดสองแห่งนี้ให้คล้องจองกัน
ประชาชนในอารัม คือในซีเรีย
เมืองที่ทิกลัท ปีเลเสอร์ ที่ 3กษัตริย์อัสซีเรียได้จับคนชาวซีเรีย (หรืออารัม)ส่งไปเป็นเชลยคือเมืองคีร์ (ไม่ทราบแน่ว่าอยู่ที่ใด แค่ว่าเป็นเมืองในซีเรีย ดู 2 พงศ์กษัตริย์ 16:7-9)

6 พระยาห์เวห์ตรัสว่า
“เราจะยังไม่เปลี่ยนใจการลงโทษกาซา เพราะเขาทำบาปครั้งแล้วครั้งเล่า(สามครั้ง สี่ครั้งแล้ว  ) เพราะพวกเขากวาดต้อนคนทั้งชุมชนออกไปมอบให้แก่เอโดม  
7 ดังนั้นเราจะส่งไฟลงมาเผากำแพงเมืองกาซา และไฟนั้นจะเผาผลาญป้อมทั้งหลายของเมือง

8 เราจะกำจัดผู้ปกครองของอัชโดด
และคนที่ถือคทาจากอัชเคโลน
เราจะหันมือของเรามาสู้กับเอโครน
และคนที่เหลือของฟีลิสเตียจะพินาศไป”
พระยาห์เวห์ตรัสดังนั้น   


1:6-7  เมืองกาซา เป็นเมืองหนึ่งของชาวฟีลิสเตีย (อัชโดด อัชเคโลน และเอโครน)ไปกวาดต้อนคนตามหมู่บ้านต่าง ๆ ส่งต่อให้เอโดม เอาไปเป็นทาส   พระเจ้าจะทรงเผาเมืองกาซาและปัอมแข็งแรงทั้งหมดของเขา 

1:8 เมืองอัชโดด อัชเคโลน และเอโครน เป็นเมืองของพวกฟีลิสเตียเช่นเดียวกัน  พระเจ้าจะไม่ให้มีคนเหลืออยู่ 


9 พระยาห์เวห์ตรัสว่า “ “เราจะยังไม่เปลี่ยนใจการลงโทษไทระ เพราะเขาทำบาปครั้งแล้วครั้งเล่า (สามครั้ง สี่ครั้งแล้ว  ) เพราะเขาได้มอบคนทั้งชุมชนซึ่งเป็นเชลยให้กับเอโดม โดยไม่คำนึงถึงสัญญาไมตรีอย่างพี่น้องที่มีต่อกัน
 
10  ดังนั้น เราจะส่งไฟลงมาเผากำแพงเมืองไทระ  และไฟนั้นจะเผาผลาญป้อมเมืองทั้งหลาย”

1:9-10 ไทระซึ่งอยู่ทางเหนือ ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เป็นของชาวฟีนิเชีย เคยทำสัญญาพี่น้องกับอิสราเอลเพื่อทำการค้าร่วมกัน  แต่แล้ว พวกเขาก็ได้ขายคนอิสราเอลเหล่านี้ไปเป็นทาสยังเอโดม  พวกเขายังปล้นสะดมเมืองต่าง ๆ โดยไม่สนใจว่าตนเองได้ทำสัญญาไว้แล้ว 

11 พระยาห์เวห์ตรัสว่า ““เราจะยังไม่เปลี่ยนใจการลงโทษเอโดม เพราะเขาทำบาปครั้งแล้วครั้งเล่า (สามครั้ง สี่ครั้งแล้ว)
เพราะเขาได้ไล่ล่าพี่น้องของเขาด้วยดาบ ไม่มีความเมตตาในใจของเขา  ใจของเขามีแต่ความโกรธพลุ่งพล่านไม่หยุดหย่อน และเขาเก็บโทสะไว้อย่างไม่จบสิ้น
12 ดังนั้นเราจะส่งไฟลงมาเผาเทมาน และจะเผาผลาญป้อมแห่งโบสราห์”

1:11-12 เราจะรู้จักเอโดมได้ดีขึ้น โดยไปอ่านจากโอบาดีย์ว่าพวกเขาเป็นคนอย่างไร ในข้อนี้ พระเจ้าจะทรงลงโทษเขาเพราะพวกเขาไม่เมตตาใคร มีแต่ความโกรธ โหดเหี้ยมต่อผู้อื่น  พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะเผาเทมาน และจะเผาผลาญป้อมแห่งโบสราห์ซึ่งเป็นเมืองสำคัญของเอโดม”
เราจำเทมานได้ไหม เขาเป็นหลานของเอซาว (ปฐมกาล 36:11) เมืองเทมานตั้งชื่อตามเขาคนนี้ ส่วนเมืองโบสราห์อยู่ทางเหนือขึ้นไป
เอโดมเป็นเหมือนพี่น้องกับอิสราเอลเพราะเขาเป็นลูกหลานของเอซาว ส่วนอิสราเอลและยูดาห์เป็นลูกหลานของยาโคบ 

13 องค์พระยาห์เวห์ตรัสว่า “เราจะไม่เปลี่ยนใจการลงโทษอัมโมนเพราะเขาทำบาปครั้งแล้วครั้งเล่า
เขาได้ผ่าท้องพวกผู้หญิงที่หญิงมีครรภ์ในกิเลอาด เพื่อขยายเขตแดนของตน 

14  ดังนั้นเราจะส่งไฟมายังกำแพงเมืองรับบาห์ และมันจะเผาผลาญป้อมต่าง ๆ ของเมือง
จะมีเสียงร้องตะโกนในวันสงคราม และจะมีลมพัดอย่างรุนแรงในวันที่มีพายุจัด

15  เหล่ากษัตริย์และเจ้าชายทั้งหลายจะตกไปเป็นเชลยพร้อม ๆ กัน”  พระยาห์เวห์ตรัสดังนั้น 

1:13-15  อัมโมนซึ่งอยู่ทางตะวันออกก็ไม่ได้พ้นจากการพิพากษาลงโทษของพระเจ้า พวกเขาทำสิ่งที่ร้ายกาจในสงคราม เขาไม่ให้เด็กมีโอกาสเกิด  ผ่าท้องหญิงมีครรภ์อย่างโหดเหี้ยม  พวกเขาทำเพื่อจะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อิสราเอล
พระเจ้าจะทรงส่งไฟมาเผาพวกเขา  และวันนั้นจะมีลมกระพือขึ้นเพื่อส่งให้ไฟแรงขึ้น โดยที่พวกผู้นำจะกลายเป็นเชลยไปพร้อมกัน
รับบาห์เป็นเมืองหลวงของอัมโมน 

พระคำเชื่อมโยง

อาโมส 1
1* 2 พงศ์กษัตริย์ 3:4; อาโมส 7:14; 2 ซามูเอล 14:2; 2 พงศาวดาร 26:1-23; อาโมส 7:10; เศคาริยาห์ 14:5
2* โยเอล 3:16; 1 ซามูเอล 25:2
3* อิสยาห์ 8:4; 17:1-3; 2 พงศ์กษัตริย์ 10:32-33

4* เยเรมีย์ 49:27; 51:30; 2 พงศ์กษัตริย์ 6:24
5* เยเรมีย์ 51:30
6* เยเรมีย์ 47: 1,5
7* เยเรมีย์ 47:1
8* เศฟันยาห์ 2:4; สดุดี 81:14; เอเสเคียล 25:16

9* อิสยาห์ 23:1-18
11* อิสยาห์ 21:11; โอบาดีย์ 10-12
12* โอบาดีย์ 9_10
13* เอเสเคียล 25:2
14* เฉลยธรรมบัญญัติ 3:11; อาโมส 2:2
15* เยเรมีย์ 49:3




บรรณานุกรม ของอาโมส
HCSB Study Bible: God’s word for life; Nashville , Tennessee
The ESV Macarthur Study Bible, Crossway, Wheaton, Illinois, 2010
Net Bible.org
The Nelson Study Bible

โรม 6 เป็นอิสระจากบาปแล้ว!

โรม 6:1-2
ดังนั้น  ท่านคิดว่าเราควรทำบาปต่อไป
เพื่อว่าพระเจ้าจะประทานพระคุณ
มากขึ้นอย่างนั้นหรือ? จะไม่เป็นเช่นนั้น!
ในเมื่อเราตายต่อบาปแล้ว
เราจะใช้ชีวิตในบาปได้อย่างไร?

โรม 6:3
ท่านไม่รู้หรือว่า
เราทุกคนที่ได้รับบัพติศมา
ในพระเยซูคริสต์
เท่ากับเราบัพติศมาเข้าไปใน
ความตายของพระองค์?

โรม 6:4-5
เมื่อเราได้รับบัพติศมาในความตายนั้น เราก็ถูกฝังกับพระคริสต์ และมีส่วนร่วมในความตายของพระองค์ ดังนั้น เมื่อ
พระคริสต์ทรงฟื้นจากความตายโดยพระสิริของพระบิดา เราเองก็จะดำเนินตามชีวิตใหม่ เพราะหากเราได้เป็นหนึ่งเดียวในการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ เราก็จะเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในการคืนพระชนม์เช่นกัน

โรม 6:6-7
เรารู้ว่า ชีวิตเก่าของเราถูกตรึงตายไปกับพระคริสต์บนไม้กางเขน เพื่อว่าตัวบาปในเราจะไม่มีอำนาจเหนือเรา
และเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป คนที่ตายไป ก็เป็นอิสระจาก
การครอบงำของบาป 

โรม 6:8-9
หากเราตายกับพระคริสต์ เราเชื่อว่า
เราก็จะได้มีชีวิตกับพระองค์ด้วยพระคริสต์ทรงถูกทำให้คืนพระชนม์จากความตาย พระองค์จะไม่สิ้นพระชนม์อีก
ความตายไม่มีอำนาจเหนือพระองค์อีกต่อไป


โรม 6:10-11
เมื่อพระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์นั้นก็เพื่อทำลายอำนาจของบาป ครั้งเดียวเป็นพอ พระองค์ทรงมีชีวิตก็เพื่อพระเจ้า เช่นเดียวกัน  ท่านควรจะถือว่า ท่านเองตายต่อบาป และมีชีวิตเพื่อพระเจ้า
ในองค์พระเยซูคริสต์

โรม 6:12-13
ดังนั้น อย่าปล่อยให้บาปครอบงำร่างกายที่ไม่ยั่งยืนของท่าน ซึ่งทำให้ท่านยอมตอบสนองความต้องการของบาป อย่ามอบส่วนใด ๆ ของร่างกายให้แก่อำนาจบาปเป็นเครื่องมือทำความชั่ว แต่ให้ถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า ดั่งเหล่าคนที่ฟื้นจากความตายและถวายร่างกายของท่านแด่พระองค์ให้เป็น
เครื่องมือแห่งความเที่ยงธรรม 

โรม 6:14-15
เพราะบาปจะไม่มีอำนาจเหนือท่านต่อไปเนื่องจากท่านไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณ  ถ้าอย่างนั้นเราควรทำอะไร? เราควรทำบาปเพราะว่าเราอยู่ใต้พระคุณไม่ใช่อยู่ใต้บทบัญญัติใช่ไหม? จะไม่เป็นเช่นนั้น!

โรม 6:16
ท่านไม่รู้หรือว่า เมื่อท่านยอมตัวเองให้เป็นทาสที่เชื่อฟังของใครก็ตาม ท่านก็เป็นทาสของผู้ที่ท่านเชื่อฟัง  ไม่ว่าจะเป็นทาสบาปซึ่งนำไปสู่ความตายหรือเป็นทาสการเชื่อฟัง ซึ่งนำสู่ความเที่ยงธรรม

โรม 6:17-18
ในอดีต ท่านเคยเป็นทาสบาปแต่ขอบคุณพระเจ้าที่ท่านได้เชื่อฟังคำสอนที่ท่านได้รับอย่างสุดใจ (อย่างเต็มใจ)ท่านเป็นอิสระจากบาปแล้ว บัดนี้ท่านเป็นทาสของความเที่ยงธรรม

โรม 6:19
ข้าพเจ้าใช้ตัวอย่างแบบมนุษย์นี้ เพราะเป็นเรื่องยากที่ท่านจะเข้าใจ ในอดีตท่านเคยมอบอวัยวะส่วนต่าง ๆ ให้เป็นทาสบาปและความชั่วช้าที่เพิ่มมากขึ้น  บัดนี้ จงมอบอวัยวะของท่านให้เป็นทาสแห่งความเที่ยงธรรม ซึ่งนำไปสู่การชำระให้บริสุทธิ์

โรม 6:20-21
ในเวลาที่ท่านเป็นทาสบาป ความเที่ยงธรรมไม่ได้ครอบครองเหนือชีวิตของท่าน  ท่านได้รับผลอะไร จากการทำสิ่งต่าง ๆ ซึ่งตอนนี้ท่านกลับรู้สึกละอาย?ผลของสิ่งเหล่านั้นคือความตาย

 


โรม 6:22-23
แต่บัดนี้ ท่านพ้นการเป็นทาสบาปและมาเป็น
ทาสของพระเจ้าแล้ว  ผลที่ได้รับนำไปสู่การ
ชำระให้บริสุทธิ์ ผลสุดท้ายคือทำให้ท่านได้
รับชีวิตนิรันดร์ เพราะค่าจ้างของความบาป
คือความตาย แต่ของประทานที่พระเจ้า
ประทานให้ คือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์
องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

โรม 6:1-2
ไม่ว่าเราจะมีอดีตอย่างไร  คนที่เชื่อและพระเจ้าทรงประกาศว่าพ้นผิด จะมีประสบการณ์ชีวิตใหม่(ท่านเป็นพยานจากชีวิตของท่านเองด้วยใน 1 ทิโมธี 2:12-17 เรียกว่า justification ซึ่งหมายถึงการที่พระเจ้าทรงประกาศเองว่าคนหนึ่งเป็นคนที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระองค์  คนนั้นจะไม่ห่วงทำบาปเหมือนในอดีต แต่ตั้งต้นใช้ชีวิตถูกต้องกับพระเจ้า คำว่า ตายต่อบาปคือเลิกชีวิตในอดีตที่ทำบาปอย่างคุ้นเคย 

โรม 6:3
คำว่าบัพติศมาตรงนี้เป็นการเปรียบเทียบว่า เมื่อคนหนึ่งมารับเชื่อพระเยซู เขาได้รับการบัพติศมาเข้าไปในพระกายนั่นคือ “เมื่อฉันเชื่อวางใจพระเยซู
คริสต์เท่ากับฉันได้
ผูกพัน เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์  ความตายของพระองค์คือความตายของฉันด้วย” ตายต่อตัวเก่าที่ฉันเคยมี  บทนี้ท่านเปาโลกำลังเริ่มสอนเรื่องการแยกชีวิตของคน ๆหนึ่งให้เป็นคนบริสุทธิ์ เพื่อทำตามพระประสงค์ ของพระเจ้าที่มีต่อเขา เราเรียกว่า sanctification คือการชำระชีวิตให้บริสุทธิ์

โรม 6:4-5
การตายไปกับพระคริสต์ และถูกฝังนั่นคือจบชีวิตเก่า แต่เมื่อพระคริสต์ทรงคืนพระชนม์ ก็เท่ากับเรามีส่วนในการฟื้นจากตายด้วย พระเจ้าประทานชีวิตใหม่ให้ คนจำนวนมากที่กลับมาหาพระเจ้ามีประสบการณ์นี้ชัดเจน ชีวิตกับบาปเก่า ก็ตายไปไม่มีชีวิตอย่างนั้นอีก  แล้วเขากลายเป็นคนใหม่ที่ดำเนินชีวิตตามพระเจ้าอย่างไม่คาดคิดว่าจะมีการพลิกชีวิตแบบนี้ได้  ชีวิตแบบอาดัมไม่เหลือกลายเป็นชีวิตอย่างพระคริสต์ 

โรม 6:6-7
ย้อนกลับไปเรื่องการตายในพระคริสต์ คนที่ตายไปคือ คนที่อยู่ใต้อำนาจบาป ใต้อาดัม  ชีวิตบาปเดิมนั้น ถูกตรึงบนไม้กางเขนกับพระเยซูไปแล้ว ท่านเปาโลพยายามอธิบายความจริงยากจะเข้าใจให้ชัดเจน  พอมาเชื่อพระเยซู บาปไม่มีอิทธิพลครอบงำต่อไป คนเก่าตายไป บาปก็ไม่มีฤทธิ์เหนือคนเก่านั้น เพราะตายไปแล้ว ถูกตรึง ตายสนิทคำว่าเป็นอิสระ ในข้อ7 ภาษากรีกมาจากคำว่า δικαιόω ไดคาโยโอ คือเที่ยงธรรม ไม่ผิด ถูกประกาศว่าพ้นผิดแล้ว

โรม 6:8-9
ตัวบาปในเราตายไปแล้ว เราก็เชื่อ ความเชื่อนี้สำคัญ เราเชื่อที่พระเจ้าทรงบอกเราว่าสถานภาพของเราหลังจากตายและฟื้นในพระคริสต์คือพ้นผิดได้รับการชำระ ก็คืออย่างนั้น  ท่านเปาโลเน้นย้ำว่าพระเยซูไม่ต้องสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่บาปมนุษย์อีก ครั้งเดียวพอ โคโลสี 1:13 แจ้งชัดเจนว่า พระเยซูทรงนำเราออกจากอาณาจักรมืด มาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์ นี่คือความจริง… เรารับการไถ่บาป และชำระให้บริสุทธิ์แล้ว! 

โรม 6:10-11
มหัศจรรย์!การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูมีฤทธิ์ในการทำลายอำนาจของบาปในชีวิตของผู้ที่เชื่อวางใจ  ในวันนี้ พระเยซูทรงพระชนม์อยู่เคียงข้างพระบิดาในแผ่นดินสวรรค์  ท่านเปาโลให้เราถือว่า เราเองก็ตายต่อบาปและมีชีวิตเพื่อพระเจ้า นี่เป็นสิ่งที่คริสเตียนควรตระหนักคริสเตียนจำนวนมากยังคงคิดแค่ว่าพระเจ้าทรงรักพระเจ้าทรงดี เราต้องถือว่า/ตัดสินใจว่า/สรุปว่า/คิดว่า ตัวเองตายต่อบาปและมีชีวิตเพื่อพระเจ้า!

โรม 6:12-13
แต่ถึงอย่างนั้น ในชีวิตจริงของคริสเตียน บาปยังเป็นปัญหาอยู่ เพราะว่าเราอยู่ในโลกที่มีความบาประบาดทั่วไปหมด เราไม่ได้ฝึกฝนตอบโต้ต่อบาป
เหมือนอย่างทหารที่ฝึกฝนเพื่อต่อสู้กับศัตรู  เรามักเฉย ๆ ต่อบาปรอบข้างเรา มันจึงยังมีผลต่อชีวิต ท่านเปาโลเน้นที่ร่างกายของเราคืออวัยวะต่าง ๆ ทั้งความคิด จิตใจ เราต้องไม่ยอมให้บาปครอบงำ ไม่ยอมฟัง ดู คิดตามอย่างที่โลกเสนอให้คิด  ไม่ยอมตอบสนองความต้องการของบาป 

โรม 6:14-15
โรม3:31 กล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นเท่ากับเราล้มเลิกบทบัญญัติด้วยการใช้ความเชื่ออย่างนั้นหรือ? เปล่าเลย..จะไม่เป็นเช่นนั้น..ความเชื่อต่างหากที่ช่วยให้เราใช้ชีวิตได้อย่างที่บทบัญญัติต้องการ   บทบัญญัติทำให้เราเห็นว่า ในใจของมนุษย์นั้นมีอะไรที่เบี่ยงเบนไปจากมาตรฐานของพระเจ้า ด้วยความเชื่อ…พระคุณของพระเยซูคริสต์ทำให้ผู้เชื่อได้อยู่ในพระคริสต์ ทำให้พวกเขามีใจอย่างพระองค์จึงต่อต้านความบาปและทำสิ่งที่ถูกต้อง 

โรม 6:16
ท่านเปาโลขอให้พี่น้องเป็นทาสของสิ่งที่ถูกต้องคือทาสการเชื่อฟังพระเจ้า ไม่ใช่ทาสบาป เราต้องไม่เชื่อฟังบาปเหมือนอย่างในอดีต บางทีผู้เชื่อมองเรื่องบาปเป็นเรื่องเล็ก ทำไป แล้วก็ขอพระเจ้ายกโทษทีหลัง เพราะอยากทำบาปนั้นมาก  บาปอยู่ตรงหน้า และดูว่าทำแล้วมีความสุขกว่าที่จะไม่ทำ  ตรงนี้เท่ากับเขากลับไปเป็นทาสบาปอีก ท่านเปาโลจึงเตือนให้อย่ายอมเป็นทาสบาป เพราะนั่นเป็นหนทางไปสู่ความตาย 

โรม 6:17-18
พี่น้องชาวโรมและพวกเราทุกคนเคยเป็นทาสบาป … แต่จะพ้นจากการเป็นทาสบาปได้ก็โดยการเชื่อ และเชื่อฟังคำสอนที่ท่านเปาโลพยายามสอนอยู่อย่างสุดใจ ไม่ใช่แค่รับไว้แบบหูทวนลมในโลกโบราณ การเป็นทาสคือนายทาสจะมีสิทธิ เหนือชีวิตของทาสคนนั้น เมื่อเราเป็นทาส ความเที่ยงธรรมคือ เป็นคนถูกต้องกับพระเจ้า เราก็ลาจากนายทาสเดิมคือบาปร้ายสารพัดแบบที่คอยกัดกินชีวิตทุกวัน

โรม 6:19
พี่น้องชาวโรมและเราต่างเคยตามใจความต้องการของตนเอง อยากทำอะไรก็ทำ เช่นพูดให้ร้าย นินทาหรือผิดเรื่องเพศ โดยไม่รู้สึกผิดต่อ ตนเอง คนอื่น
หรือพระเจ้าเลย บางคนมีคติว่า “ฉันจะทำอะไรก็ได้ที่ไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อน” แต่ความจริงคือ ทุกสิ่งที่เราทำลงไป ต่างส่งผลให้คนอื่นเสมอท่านเปาโลให้เราชนะบาปที่เคยเป็นนายทาสเราด้วยการมอบชีวิต จิตใจ ร่างกาย ให้เป็นทาสพระเจ้าเพื่อพระเจ้าจะทรงชำระ แยกเราไว้ให้บริสุทธิ์

โรม 6:20-21
ตอนที่คน ๆ หนึ่งเชื่อฟังบาปนั้น เขาไม่มีความอายในสิ่งที่ทำไป มีคนไม่น้อยที่กลับมาหาพระเจ้าแล้วจะรู้สึกอับอายกับสิ่งที่เคยชอบ สิ่งที่เคยอวด อาย
กับคำพูดใส่ร้ายผู้อื่นที่เคยมีแค่ความสะใจ อายกับการข่มเหงคนที่ต่ำต้อยกว่า การยกตัวข่มท่าน ซึ่งแต่ก่อนสิ่งเหล่านี้เป็นความภูมิใจที่ได้ทำ ด้วย
พระคุณ พระเจ้าทรงนำคนที่เคยหลงตัวกลับมาหาพระองค์ เขานี่แหละ จะเป็นคนที่เข้าใจดีว่า สิ่งที่น่าละอายเหล่านั้นนำสู่ความตายอย่างไร 

โรม 6:22-23
การจบการเป็นทาสบาป มาเป็นทาสของพระเจ้า ทำให้เราได้รับการประกาศว่าพ้นผิด และพระเจ้าทรงเพิ่มการชำระชีวิตให้บริสุทธิ์ด้วย ทั้งสองขั้น
ตอนนี้ นำให้เรามีชีวิตใหม่ เป็นของพระเจ้าผู้เดียว
ส่วนความตายที่ท่านเปาโลกล่าวถึงคือ การแยกจากพระเจ้าเป็นนิตย์   ชีวิตนิรันดร์คือการที่อยู่กับ
พระเจ้าตลอดไป ซึ่งเริ่มตั้งแต่ที่เราอยู่ในโลกนี้ ติดสนิทกับพระเยซูทุกวัน เรื่อยไปจนกระทั่ง แม้จากโลกนี้ ก็จะยังอยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ ไม่จากกันเลย

พระคำเชื่อมโยง

โรม 6
1* โรม 3:8; 6:15
2* กาลาเทีย 2:19
3* กาลาเทีย 3:27
4* โคโลสี 2:12; 1โครินธ์ 6:14 ;ยอห์น 2:11; กาลาเทีย 6:15
5* ฟีลิปปี 3:10
6* กาลาเทีย 2:20; 5:24; 6:14; โคโลสี 2:11


7* 1 เปโตร 4:1
8* 2 ทิโมธี 2:11
9* วิวรณ์ 1:18
10*  ฮีบรู 9:27; ลูกา 20:38
11* โรม 6:2; 7:4,6; กาลาเทีย 2:19
12* สดุดี 19:13
13* โคโลสี 3:5; 1 เปโตร 2:24; 4:2
14* กาลาเทีย 5:18

15* 1 โครินธ์  9:21
16* 2 เปโตร 2:19
17* 2 ทิโมธี 1:13
18* ยอห์น 8:32
20* ยอห์น 8:34
21* โรม 7:5; 1:32
22* โรม 6:18; 8:2
23* ปฐมกาล 2:17;1 เปโตร 1:4