ฮีบรู 10 มีชีวิตโดยความเชื่อ

ฮีบรู 10:1 บทบัญญัตินั้น เป็นเพียงเงาของสิ่งดีที่จะมาในภายหลัง ไม่ใช่ตัวจริง ดังนั้นบทบัญญัติจึงไม่อาจทำให้ผู้ที่เข้ามาใกล้เพื่อนมัสการนั้น บริสุทธิ์เพียบพร้อมได้ด้วยเครื่องบูชาเดิม ๆ​ ซ้ำ ๆ ปีแล้วปีเล่า


ฮีบรู 10:2-3 เพราะหากเครื่องบูชาชำระบาปได้ เขาก็ควรหยุดถวายเครื่องบูชาไปแล้วเพราะผู้ที่มานมัสการคงได้รับการชำระครั้งเดียวจบ จะไม่รู้สึกผิดกับบาปของพวกเขาอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นว่าเครื่องบูชาเหล่านั้น เป็นการเตือนให้คิดถึงบาปอยู่ทุกปี

ฮีบรู 10:4-5 เพราะเลือดของโคผู้และแพะไม่อาจ
จะชำระบาปให้หมดสิ้นไปได้ ดังนั้น เมื่อพระคริสต์เสด็จเข้ามาในโลก พระองค์ตรัสว่า “พระองค์ไม่ทรงปรารถนาเครื่องสักการะและของถวาย แต่พระองค์ทรงเตรียมร่างหนึ่งไว้ให้ข้าพระองค์ได้ถวาย (สดุดี 40:6-8)


ฮีบรู 10:6-7 พระองค์ไม่ทรงยินดีกับเครื่องเผาบูชาและเครื่องบูชาไถ่บาป แล้วข้าพระองค์ทูลว่า ‘โอ พระเจ้า ข้าพระองค์ได้มาเพื่อทำตามพระประสงค์ของพระองค์
ตามที่มีคำเขียนถึงข้าพระองค์ในหนังสือม้วน’”

ฮีบรู 10:8 ก่อนหน้านี้ พระองค์ตรัสว่า “พระองค์มิได้ทรงพอพระทัยใน เครื่องสักการะและของถวาย เครื่องเผาบูชา และเครื่องบูชาไถ่บาปและพระองค์ก็ไม่ได้ทรงยินดีในสิ่งเหล่านั้นด้วย (แม้ว่าจะเป็นการถวายตามบทบัญญัติก็ตาม)

ฮีบรู 10:9-10พระองค์ยังตรัสต่อไปว่า “โอ พระเจ้าข้าข้าพระองค์มาเพื่อทำตามน้ำพระทัยของพระองค์” พระองค์ทรงยกเลิกแบบแรกออกไปเพื่อสร้างแบบที่สอง และด้วยพระประสงค์เช่นนี้ เราจึงได้รับการชำระให้บริสุทธิ์โดยที่พระเยซูคริสต์ถวายพระกายครั้งเดียวเป็นพอ

ฮีบรู 10:11-12 ปุโรหิตทุกคนได้ยืนปรนนิบัติรับใช้และถวายเครื่องบูชาแบบเดิม วันแล้ววันเล่า ซ้ำแล้วซ้ำอีก ซึ่งเป็นเครื่องบูชาที่ไม่อาจลบล้างบาปได้ แต่เมื่อพระองค์
ท่านนี้ได้ถวายเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวเพื่อลบบาปทั้งสิ้น ตลอดไป พระองค์ก็ทรงประทับนั่ง ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 

ฮีบรู 10:13-14 ณ ที่นั้น พระองค์ก็ทรงรอจนกว่าศัตรู
ทั้งหลายจะถูกนำมาเป็นแท่นรองพระบาท ด้วยการถวายเครื่องบูชาครั้งเดียว พระองค์ทรงทำให้คนที่รับการชำระให้บริสุทธิ์เป็นผู้ที่สมบูรณ์พร้อมเป็นนิตย์

ฮีบรู 10:15-16 องค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นพยาน
กับเราเรื่องนี้ อย่างแรก พระองค์ตรัสว่า “นี่เป็นพันธสัญญาที่เราจะทำกับเขา หลังจากวันเหล่านั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเราจะใส่บทบัญญัติของเราไว้ในใจพวกเขา และจะจารึกคำนั้นไว้ในความคิดของพวกเขา

ฮีบรู 10:17-18 แล้วพระองค์ตรัสอีกว่า “เราจะไม่จดจำบาปและการอธรรมของเขาอีกต่อไป” และเมื่อมีการอภัยบาปแล้วก็ไม่ต้องมีการถวายเครื่องบูชาลบบาปอีกต่อไป

ฮีบรู 10:19-21 ดังนั้นพี่น้องทั้งหลาย ในเมื่อเรามีใจกล้า
ที่จะเข้าสู่ที่บริสุทธิ์ที่สุด โดยพระโลหิตของพระเยซู
โดยหนทางใหม่ที่มีชีวิต ได้เปิดให้เราผ่านม่านคือพระกายของพระองค์และในเมื่อเรามีมหาปุโรหิตผู้ทรงดูแลพระนิเวศของพระเจ้า….

ฮีบรู 10:22 พวกเราจงเข้ามาใกล้ด้วยใจจริง และมั่นใจในความเชื่อเต็มที่ โดยมีจิตใจที่ได้รับการประพรม
เพื่อชำระเราให้หมดจากจิตสำนึกผิดและร่างกายของเราก็ได้รับการชำระด้วยนำ้บริสุทธิ์

ฮีบรู 10:23-24 ให้เรายึดมั่นในความหวังที่เราเชื่ออย่าง
แน่วแน่ เพราะพระองค์ผู้ทรงสัญญานั้นทรงซื่อตรง
และให้เราพิจารณาดูว่า เราจะทำอย่างไรที่จะหนุนใจกันให้รักกันและกันและทำความดี

ฮีบรู 10:25 เราอย่าขาดการประชุมเหมือนอย่างที่บางคนทำเป็นนิสัย แต่ให้เราหนุนใจกันและกันมากขึ้น เพราะท่านก็รู้ว่าวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว

ฮีบรู 10:26-27 หากเรายังคงตั้งหน้าตั้งตาทำบาปต่อไปทั้ง ๆ ที่ได้รู้จักความจริง ก็จะไม่มีเครื่องบูชาลบบาปให้
มีแต่ความหวาดกลัวเพราะการพิพากษาที่จะมา และไฟอันร้อนแรงที่จะเผาผลาญศัตรูของพระเจ้า


ฮีบรู 10:28-29 คนที่ทำผิดบทบัญญัติโมเสสก็ยังต้อง
ตายโดยไม่ได้รับความเมตตา หากมีพยานสองสามปาก แล้วท่านคิดว่า ผู้ที่เหยียบย่ำพระบุตรของพระเจ้า ผู้ที่
หยาบคายต่อพระโลหิตและพันธสัญญาที่ชำระเขาให้บริสุทธิ์ ผู้ที่ดูหมิ่นองค์พระวิญญาณแห่งพระคุณ จะถูกลงโทษหนักกว่านั้นสักเพียงใด?

ฮีบรู 10:30-31 เพราะเรารู้จักพระองค์ผู้ตรัสว่า “การ
ตอบแทนเป็นของเรา เราเองจะตอบสนอง” และอีกครั้งว่า“องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงพิพากษาประชากรของพระองค์”การตกอยู่ในเอื้อมพระหัตถ์ของพระเจ้า
ผู้ทรงพระชนม์นั้น เป็นเหตุการณ์น่าหวาดกลัวยิ่งนัก

ฮีบรู 10:32 จงนึกถึงวันแรก ๆ ที่ท่านได้เข้ามาอยู่ในความสว่าง ในช่วงเวลาเหล่านั้น ท่านมีความทรหดอดทนอย่างมั่นคงขณะที่เผชิญความทุกข์ยาก

ฮีบรู 10:33-34 บางครั้งท่านถูกประจานต่อหน้า สาธารณชน ถูกเยาะเย้ย และถูกข่มเหง บางครั้งท่านร่วมทุกข์กับคนที่ถูกกระทำเช่นนั้นท่านเห็นใจผู้ที่ถูกขัง และยอมให้ทรัพย์สมบัติถูกยึดไปด้วยใจยินดีเพราะรู้ว่า ท่านยังมีทรัพย์สินที่ยั่งยืนและดีกว่านั้น


ฮีบรู 10: 35-36
ดังนั้น อย่าทิ้งความมั่นใจของท่านไป เพราะท่านจะได้รับรางวัลยิ่งใหญ่ท่านจำเป็นต้องพากเพียรอดทน เพื่อว่าเมื่อท่านทำตามพระทัยของพระเจ้าแล้ว ท่านก็จะได้รับสิ่งทรงสัญญาไว้

ฮีบรู 10:37-39 เพราะว่า “อีกครู่เดียว พระองค์ผู้เสด็จ
มาก็จะมาถึง พระองค์จะไม่ล่าช้า แต่คนเที่ยงธรรมของเราจะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยความเชื่อ หากเขาถอยกลับไป เราจะไม่
ยินดีในตัวเขา” แต่เราไม่ใช่เป็นคนที่จะถอยกลับสู่หายนะ แต่เป็นคนที่มีความเชื่อ และได้รักษาจิตวิญญาณให้รอด

อธิบายเพิ่มเติม

ฮีบรู 10:1
เราจะเห็นว่า บัญญัติในพันธสัญญาเดิม เป็นเพียงเงาที่มาก่อนของจริงคือพันธสัญญาใหม่ การที่มีเงามาก่อน ก็เหมือนกับการที่พระเจ้าทรงสอน
ให้รู้ว่า ลักษณะแท้จริงของพันธสัญญาที่สมบูรณ์แบบน่าจะเป็นเช่นไร เงานั้นมีโครงร่าง รูปร่างคล้ายของจริง แต่ไม่ใช่ของจริง ท่านผู้เขียน
พยายามที่จะอธิบายกับพี่น้องฮีบรูที่มาเป็นคริสเตียนว่า ที่พวกเขาเคยเข้าไปในพระวิหารและถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า ยังไม่สมบูรณ์แบบ

ฮีบรู 10:2-3
การถวายเครื่องบูชาแบบที่ต้องทำซ้ำแล้วซ้ำอีกทำให้ผู้คนระลึกถึงบาปของตนเองที่ไม่อาจหลุดไปจากตัวพวกเขาได้อย่างสิ้นเชิง พวกเขายังต้อง
รู้สึกกับความผิดไม่หยุดยั้ง ยิ่งถ้าเป็นบาปร้ายมาก ๆ คน ๆ หนึ่งก็จะเสียใจอย่างที่อาจถึงทำให้เขาต้องทำลายตัวเองไปเพราะไม่อาจลบบาปที่
ทำผิดได้ พวกเขาถูกเตือนไว้ว่า “นายยังบาปอยู่นายยังไม่อาจเข้ามาเฝ้าพระเจ้าได้ นายมันคนโสโครก ไม่มีวันดีขึ้นได้!”

ฮีบรู 10:4-5
ชัดเจนว่า เลือดของสัตว์ไม่พอที่จะชำระบาปของมนุษย์ได้จากตรงนี้ เราจะเห็นว่า มีคำพยากรณ์ถึงองค์พระเยซูคริสต์มาตั้งแต่ครั้งกษัตริย์ดาวิด ผู้เขียนได้พยายามให้คริสเตียนยิวได้เข้าใจชัดเจนว่าสิ่งที่เขาเชื่อมาก่อนหน้านั้น ไม่ได้ผิดพลาด แค่เป็นเงาของสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้จริง ๆ คือองค์พระเยซูคริสต์ ในพันธสัญญาใหม่จะไม่ต้องถวายเครื่องบูชาซ้ำ ๆ อีกต่อไป

ฮีบรู 10:6-7
ในประโยคใกล้ ๆ กัน มีการย้ำว่า พระเจ้าไม่ทรงยินดีกับเครื่องเผาบูชา ของถวายเหล่านั้น สิ่งเหล่านั้นไม่อาจช่วยมนุษย์ได้อย่างยั่งยืนไม่มีฤทธิ์ที่จะเปลี่ยนชีวิตจากมืดเป็นสว่างไม่มีความผูกพันทางจิตใจระหว่างเจ้าตัวที่สละเลือด กับคนที่ได้รับการยกโทษในวันนั้น สำหรับพระเจ้าแล้ว การยกบาปให้มนุษย์ พระองค์จะต้องทรงสละพระบุตรของพระองค์ ให้รับความอับอายอย่างที่มนุษย์ต้องเผชิญ!

ฮีบรู 10:8
พระเจ้าไม่ได้พอพระทัยทั้งสี่สิ่งนี้ พระองค์ทรงพอพระทัยที่มนุษย์จะรักและเชื่อฟังพระองค์ การถวายสิ่งของเหล่านี้ มนุษย์ทำไปทำมา ก็กลายเป็นพิธีที่ไร้ความหมาย ไร้ค่า กลายเป็นภาระของพวกเขา กลายเป็นเครื่องมือที่จะทำให้คนคิดว่า พวกเขาเป็นคนที่พระเจ้าชำระ ทั้ง ๆที่ใจไม่ได้ใสสะอาดสักนิด พระเจ้าทรงเห็นภายในที่มนุษย์พูด คิด ทำ ทรงเห็นแรงจูงใจทั้งสิ้น สดุดี 139

ฮีบรู 10:9-10
เราต้องไม่ลืมว่า ที่เราได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ก็เป็นเพราะพระเยซูทรงตั้งใจมาทำตามน้ำพระทัยขององค์พระบิดา ถ้าพระเยซูไม่ทรงเต็มพระทัย
ที่จะทำสิ่งนี้ จะไม่มีคนใดในโลกได้รับความรอดเลย! พระองค์ทรงยกเลิกพิธีกรรมแบบเดิมเพื่อว่า พระเยซูคริสต์จะทรงทำตามน้ำพระทัยที่ให้สิ้นพระชนม์บนกางเขน ครั้งเดียวเท่านั้นซึ่งเป็นคำที่ผู้เขียนฮีบรูย้ำบ่อย ๆ อย่างที่เราได้อ่านมาแล้ว

ฮีบรู 10:11-12
ดูความแตกต่างของพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ว่า แตกต่างกันมากเหลือเกิน ผู้เขียนฮีบรูต้องการให้พี่น้องยิวที่มาเชื่อพระเยซูมั่นใจ และไม่กลับไปหาพิธีกรรมแบบเดิมอีก ซึ่งเราต้องยอมรับว่า ทุกวันนี้ ยังมีคนที่เชื่อในพระเจ้าแต่ยังคงรักษารูปแบบปุโรหิตเอาไว้อย่างเหนียวแน่น พวกเขาทำให้ผู้เชื่อต้องพึ่งพาเหล่านักบวชอย่างไม่สามารถหลุดออกได้เลย พระคำตอนนี้จึงทำให้เรามั่นใจว่า พระเยซูเท่านั้นที่ทรงเป็นปุโรหิตแท้ของเรา

10:13-14
อ้างถึงสดุดี 110:1 ซึ่งเหตุการณ์ที่กล่าวไว้นี้จะสำเร็จเมื่อพระเยซูเสด็จกลับมาครั้งที่สองและเมื่อมนุษย์ทุกคนจะต้องคุกเข่ากราบลงและยอมรับว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเหนือสรรพสิ่งแม้ว่าในวันนี้ เราจะเห็นคนมากมายดูหมิ่นพระเจ้าและท้าทายพระองค์ แต่วันหนึ่งทุกคนที่โอหัง ก้าวร้าวจะพบว่าเขาเป็นผู้แพ้ ศัตรูของพระองค์จะถูกปราบจนราบคาบ

10:15-16
พันธสัญญาใหม่มาหลังจากวันเหล่านั้น เท่ากับพันธสัญญาใหม่นั้นใหม่จริง ๆ ไม่ใช่ของเดิมอีกต่อไป เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงภายในใจของ
ผู้คน นี่เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะไม่ใช่เป็นการเปลี่ยนแค่รูปแบบภายนอก พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้พระดำรัสของพระองค์เป็นสิ่งที่อยู่ในใจ
ในความคิดของผู้เชื่อ ไม่ได้อยู่ที่แผ่นศิลา หรือหนังสือม้วนอีกต่อไป (ดูเยเรมีย์ 31:33-34,โคโลสี 3:16) พระเจ้าทรงทำให้ เราตอบสนอง

ฮีบรู 10:17-18
เราโล่งใจเมื่อได้ยินคำแบบนี้ ความบาปใด ๆ ที่ได้ทำมานั้น พระเจ้าจะไม่ทรงถือโทษ ยิ่งกว่านั้น จะไม่ทรงจำบาปเหล่านั้นอีกต่อไป ไม่มีการบันทึกไว้ในที่จะสืบค้นได้อีก นี่ไง พันธสัญญาใหม่ด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ..ทรงยกโทษให้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีการเรียกกลับคืนมาให้รับโทษอีก และพระองค์ยังทรงให้ชีวิตเปลี่ยนเพื่อเราจะไม่กลับไปสู่ชีวิตเก่าอีก

ฮีบรู 10:19-21
พระคำตอนนี้บอกว่า เรามีใจกล้าที่จะเข้าเฝ้าพระเจ้า ไม่เหมือนตอนที่ปุโรหิตเข้าเฝ้าพระองค์ด้วยความกลัวลาน ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่า พระเยซู
ทรงมาเป็นทางนั้น ที่ทำให้เราเข้าหาพระเจ้าได้โดยตรงโดยไม่มีม่านใด ๆ มากั้นไว้ พระเยซูทรงเป็นองค์ปุโรหิตที่ดูแลพระนิเวศของพระเจ้า ทำให้
ผู้เชื่อพระเยซูทุกคนสามารถเข้าหาพระเจ้าได้ ในอดีตแตกต่างจากนี้มาก พวกเรามักต้องเห็นคุณค่า สิทธิพิเศษของการเข้าเฝ้าโดยตรงเช่นนี้

ฮีบรู 10:22
เราเข้ามาเข้าเฝ้าพระเจ้าได้ด้วยความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ ผู้เขียนได้ชวนให้เราเข้ามาใกล้องค์พระเจ้า ไม่ใช่มีชีวิตที่อยู่ห่างพระองค์ ตรงนี้
ที่เป็นปัญหาของพวกเราเอง พระเจ้าทรงเตรียมทุกอย่างให้แล้ว แต่พวกเราไม่สนใจ กลับไปสนใจเรื่องต่าง ๆ รอบตัวในชีวิตจนเหนื่อย หมดกำลังก่อนที่จะเข้ามาหาพระเจ้า สิ่งสำคัญของเราคือการที่จะอยู่ใกล้ชิดพระเจ้า แสวงหาพระองค์ก่อน แล้วจะเห็นว่า ชีวิตจะแตกต่างจากวันที่ห่างพระองค์!

ฮีบรู 10:23-24
ให้เรายึดมั่นอย่างไม่ลังเลใจ หรือพูดง่าย ๆ คือให้เรามีความแน่วแน่ในความหวังที่มีในพระเจ้าโดยไม่ให้อะไรมาทำให้เราไขว่้เขวได้เลย การยึด
มั่นในพระเจ้าคือการไว้ใจในพระสัญญาของพระองค์ว่าที่ทรงสัญญาไว้ จะทรงทำให้แน่นอนสิ่งนี้อยู่ในใจเรา เป็นส่วนตัว แต่สิ่งที่เราต้องใส่ใจทำต่อมา คือรักกัน และทำดีให้กันและกัน ตรงนี้ เราจะเห็นว่า เป็นเรื่องไม่ส่วนตัวอีกต่อไป แต่เราต้องมีคนที่รักและทำดีให้

ฮีบรู 10:25
เราเห็นพี่น้องจำนวนมากไปประชุม เจอเพื่อนได้หนุนใจกันอย่างต่อเนื่อง เราเห็นคนที่ขาดการประชุมเนื่องด้วยเหตุผลใดก็ตาม ในระยะยาว มัน
ส่งผลร้ายต่อผู้เชื่อไม่ว่าใครก็ตาม การหลงทางไปจากพระเจ้า การไม่ได้ยินเสียงของพระเจ้าอีกต่อไปเกิดขึ้นได้ง่ายมากเมื่อเราไม่มีพี่น้องที่คอย
ช่วยเหลือกันแม้ว่าคนหนึ่งอาจอ้างว่า เฝ้าพระเจ้าคนเดียวก็ได้ แต่นั่นไม่ใช่สุขภาพจิตที่แข็งแรง แม้คริสตจักรจะมีข้อเสียบ้างแต่เราอย่าขาดประชุมเลย

ฮีบรู 10:26-27
เรื่องของคริสเตียนยิวที่ผู้เขียนเป็นห่วงคือการที่เขาจะหันกลับไปหาศาสนายิว กลับไปสู่กฎบัญญัติพิธีการลบบาปแบบเดิม หันหลังให้กับไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ ที่เราคิดว่าเป็นแบบนั้นเพราะในข้อต่อไปได้พูดถึง แต่สำหรับพวกเขาก็ชัดเจนว่า ถ้าเราทำผิดทั้งที่รู้ความจริงเราจะเจอกับอะไร หากเราปฏิเสธพระเจ้า ก็จะไม่มีเครื่องบูชาลบบาปอีกต่อไปนั่นเอง สิ่งที่จะเพิ่มมาคือการพิพากษาของพระเจ้าต่อคนที่มาเชื่อแล้วก็เลิกไป


ฮีบรู 10:28-29
นี่คือความบาปที่ทำซ้ำ ๆ ซึ่งผู้เขียนได้พูดในก่อนหน้านี้ หากใครคนหนึ่งดูหมิ่นพระบุตรพระเจ้าผู้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเขาด้วยการปฏิเสธพระองค์
ทั้ง ๆ ที่รู้ ผู้เขียนอธิบายว่า การทำเช่นนั้น เป็น 1 การเหยียบย่ำพระเยซู 2หยาบคายต่อพระโลหิตและพันธสัญญา 3 ดูหมิ่นองค์พระวิญญาณผู้
ทรงสอนให้เรารู้จักพระเยซูคริสต์ ผู้เขียนเตือนไม่ให้คนที่เชื่อกลับไปสู่พิธีกรรมแบบเดิมที่เคยทำและเตือนเราเช่นกันด้วย

ฮีบรู 10:30-31
การตกอยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ของพระเจ้า คือการที่ต้องเผชิญกับพระเจ้าในวันที่พระองค์ทรงพิพากษา ไม่มีใครจะหนีพ้นวันนั้นไปได้ ตอนที่
ไม่เอาใจใส่ เดินหนีพระองค์ไป ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทันที เพราะพระเจ้าทรงให้เราทุกคนมีโอกาสที่จะเลือกทำให้ถูกต้องที่สุดคือ การ
ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงไถ่ชีวิตของเราให้รอด พวกเราไม่ควรที่จะท้าทายพระองค์เลย เพราะผลนั้นน่ากลัวมาก

ฮีบรู 10:32
ตอนแรกที่พวกยิวมาเชื่อใหม่ ๆ นั้น พวกเขามีรักแรกให้กับพระเจ้า เป็นรักที่แนบสนิท รักมากจากคนที่เคยอยู่ในความมืดมาพบความสว่างของ
พระเจ้า ทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดช่วงนั้นเป็นเวลาฮันนีมูน ที่พวกเขาเจออะไรก็ทนได้หมด สามารถทนทุกข์เพื่อพระคริสต์อย่างเต็ม
ใจ สุดใจ สุดกำลัง พวกเขาถูกยิวในศาสนายิวขับไล่จากชุมชน ถูกกดขี่ข่มเหงหนักมาก

ฮีบรู 10:33-34
ผู้เขียนได้อธิบายชัดเจนว่า พี่น้องเหล่านี้ต้องเผชิญกับสิ่งใดบ้าง พวกเขามาเชื่อ และถูกกระทำอย่างไม่ยุติธรรมจากคนที่เคยเป็นเพื่อน เคยอยู่
ในชุมชนเดียวกัน ในศาลาธรรมเดียวกัน บัดนี้กลายเป็นถูกเกลียดชังอย่างรุนแรง แต่เวลานั้นพวกเขามีความหวังในพระเจ้าอย่างมั่นคง ไม่คิด
ที่จะหันกลับไป มั่นใจและยังร่วมทุกข์กับคนที่ถูกข่มเหงด้วย การที่พวกเขาเผชิญได้ถึงขนาดนี้ไม่น่าจะมีคนที่เปลี่ยนใจกลับสู่โลกเดิมเลย

ฮีบรู 10: 35-36
ตรงนี้ทั้งคริสเตียนยิวและเรารับการเตือนว่าอย่าให้เราทิ้งความมั่นใจในพระเจ้าเด็ดขาด! อาจมีสถานการณ์ร้ายเกิดขึ้น แต่เรายังต้องวางใจ
เราจะไม่กลับไปดำเนินชีวิตแบบเก่าที่ทำตามใจตัวเอง ไม่ใช้วิธีของตนเองในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เราจะวางใจพระเจ้าแค่ไหนขึ้นอยู่กับตัวเรา รู้ไหมว่าความวางใจพระเจ้านั้นเป็นอาวุธที่จะต่อสู้กับสิ่งต่าง ๆ ที่โถมเข้ามาในชีวิตได้ และต้องมีความอดทนอย่างสูงที่จะไม่ลังเลใจ

ฮีบรู 10:37-39
พระคัมภีร์หลายตอนได้บอกเราว่า คนเที่ยงธรรมจะมีชีวิตอยู่โดยความเชื่อ พวกเขาไม่ได้มีชีวิตอย่างล่องลอย เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง พวกเขามั่นคง
ในพระเจ้า หวังใจในพระองค์เต็มร้อย ไม่ลังเลไม่รีรอที่จะเดินตามพระองค์​ และตอนนี้บอกเราชัดว่า พระเจ้าจะไม่ทรงพอพระทัยหากเราหันกลับไป
สู่ชีวิตเดิม ซึ่งจะนำสู่ความตาย จะเห็นว่า เราเองเป็นผู้ที่จะต้องร่วมมือกับพระเจ้าในการรักษาจิตวิญญาณให้ถึงความรอด

พระคำเชื่อมโยง

1* ฮีบรู 8:5; 7:19; 9:9
4* มีคาห์ 6:6-7
5* สดุดี 40:6-8
10* ยอห์น 17:19; ฮีบรู 9:12
11* กันดารวิถี 28:3
12* โคโลสี 3:1; สดุดี 110:1
13* สดุดี 110:1
16* เยเรมีย์ 31:33-34
17* เยเรมีย์ 31:34
19* เอเฟซัส 2:18; ฮีบรู 9:8,12



20* ยอห์น 14:6
21* สดุดี 110:4
22* ฮีบรู 7:19; 10:1; เอเฟซัส 3:12
23* 1โครินธ์ 1:9; 10:13
25* กิจการ 2:42; โรม 13:11; ฟีลิปปี 4:5
26* กันดารวิถี 15:30; 2 เปโตร 2:20; ฮีบรู 6:6
27* เศฟันยาห์ 1:18
28* เฉลยธรรมบัญญัติ 17:2-6; 19:15
29* ฮีบรู 2:3; 1โครินธ์ 11:29; มัทธิว 12:31


30* เฉลยธรรมบัญญัติ 32:35-36
31* ลูกา 12:5
32* กาลาเทีย 3:4
33* 1โครินธ์ 4:9; ฟีลิปปี 1:7
34* 2 ทิโมธี 1:16; มัทธิว 5:12; 6:20
35* มัทธิว 5:12
36* ลูกา 21:19; โคโลสี 3:24
37* ลูกา 18:8; ฮาบากุก 2:3-4
38* โรม 1:17
39* 2 เปโตร 2:20; โรม 3:22