ฮีบรู 11:1-2 นี่แน่ะ ความเชื่อคือความมั่นใจในสิ่งที่เราหวังไว้ และเป็นความมั่นใจในสิ่งที่เรามองไม่เห็น คนสมัยโบราณได้รับการชมเชยจากพระเจ้าเพราะพวกเขามีความเชื่อ
ฮีบรู 11:3 เราเองเข้าใจโดยความเชื่อว่า เอกภพนี้
ถูกสร้างขึ้นโดยพระดำรัสของพระเจ้า
ดังนั้น สิ่งที่มองเห็น จึงเกิดจากสิ่งที่มองไม่เห็น
ฮีบรู 11:4 โดยความเชื่อ อาแบลได้ถวายเครื่องบูชาที่ดีกว่าของคาอิน โดยความเชื่อ เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นคนเที่ยงธรรม เมื่อพระเจ้าทรงชมเชยเครื่องถวายของเขา โดยความเชื่อเขาจึงยังพูดอยู่ทั้ง ๆ ที่เขาตายไปแล้ว
ฮีบรู 11:5 โดยความเชื่อ เอโนคจึงถูกรับขึ้นไป
เพื่อว่าเขาจะไม่ต้องพบความตาย “ไม่มีใครพบเขาเพราะพระเจ้าทรงรับเขาไป เพราะก่อนที่เขาจะถูกรับไปนั้น เขาได้รับการยกย่องว่า เป็นบุรุษที่พระเจ้าทรงพอพระทัย
ฮีบรู 11:6 ถ้าไม่มีความเชื่อ นั่นคือจะทำให้พระเจ้าพอพระทัยไม่ได้เลยเพราะใครก็ตามที่จะเข้ามาใกล้พระองค์
นั้น ต้องเชื่อว่า พระองค์ทรงดำรงอยู่และประทานรางวัลแก่คนที่แสวงหาพระองค์
ฮีบรู 11:7 โดยความเชื่อ โนอาห์ ได้สร้างนาวาใหญ่
เพื่อช่วยให้ครอบครัวรอดพ้น เมื่อได้รับการเตือนถึงสิ่งที่ยังมองไม่เห็น โดยความเชื่อท่านได้กล่าวโทษโลกและ
ได้มาเป็นทายาทแห่งความเที่ยงธรรมที่มีมาโดยความเชื่อ
ฮีบรู 11:8โดยความเชื่อ อับราฮัม ได้เชื่อฟัง
และเดินทางไปเมื่อได้รับการทรงเรียกให้ไป
ยังที่ซึ่งท่านจะได้รับเป็นมรดกในเวลาต่อมา
ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน
ฮีบรู 11:9-10 โดยความเชื่อ ท่านได้อาศัยอยู่ในแผ่นดิน
ที่ทรงสัญญาในฐานะคนแปลกหน้าซึ่งอาศัยในต่างแดน ท่านอาศัยในเต็นท์ทั้งอิสอัคและยาโคบซึ่งเป็นทายาทร่วม
พระสัญญาเดียวกัน ก็ใช้ชีวิตเช่นนั้นเพราะท่านตั้งตาคอยเมืองที่มีฐานรากที่พระเจ้าเป็นผู้ออกแบบและทรงสร้าง
ฮีบรู 11:11-12 โดยความเชื่อ ซาราห์ ได้รับฤทธิ์ที่จะตั้งครรภ์ แม้ว่าเธอเลยวัยเจริญพันธุ์มาแล้ว เพราะเธอเชื่อว่าพระเจ้าผู้ให้สัญญาทรงซื่อตรง ดังนั้น จากชายคนเดียวที่
เป็นดั่งบุรุษที่ตายแล้วกลับมีลูกหลานสืบเชื้อสายมากราวกับดาวบนท้องฟ้าและนับไม่ถ้วนดั่งทรายบนชายหาด
ฮีบรู 11:13-14 โดยยังไม่ได้รับสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้
แต่พวกเขาเห็นและยอมรับสิ่งนั้นแต่ไกลและพวกเขาตระหนักว่า พวกเขาเป็นคนแปลกหน้า เป็นคนต่างแดนในโลกคนที่พูดอย่างนี้ ทำให้เห็นว่าพวกเขากำลังแสวงหาบ้านเมืองของเขาเอง
ฮีบรู 11:15-16 หากพวกเขาได้คิดถึงเมืองที่จากมา พวก
เขาคงมีโอกาสกลับไปได้แต่พวกเขากลับปรารถนาเมืองที่ดีกว่าคือเมืองสวรรค์ ดังนั้น พระเจ้าไม่ทรงละอายที่เขาเรียกพระองค์ว่า พระเจ้าของพวกเขา เพราะทรงเตรียมเมืองหนึ่งไว้ให้พวกเขาแล้ว
ฮีบรู 11:17-18 โดยความเชื่อเมื่ออับราฮัมถูกทดสอบ
ให้ถวายอิสอัคบนแท่นบูชาท่านเป็นผู้ที่ได้รับคำสัญญา ก็พร้อมที่จะถวายลูกชายคนเดียว คนเดียวเท่านั้นแม้พระเจ้าได้ตรัสกับท่านว่า “เจ้าจะมีเชื้อสายผ่านทางอิสอัค”
ฮีบรู 11:19 แม้พระเจ้าได้ตรัสกับท่านว่า“เจ้าจะมีเชื้อสายผ่านทางอิสอัค” อับราฮัมมั่นใจว่า พระเจ้าทรงทำให้คนตายฟื้นขึ้นได้ กล่าวได้อีกอย่างก็คือท่านได้รับอิสอัคคืนมาจากความตาย
ฮีบรู 11:20-21 โดยความเชื่อ อิสอัคได้อวยพรยาโคบ
และเอซาวสำหรับอนาคตของทั้งสองโดยความเชื่อ ขณะที่ใกล้จะสิ้นชีวิตยาโคบได้อวยพรลูกชายแต่ละคนของ
โยเซฟและนมัสการพระเจ้าในขณะที่เอนตัวลงพิงไม้เท้าของท่าน
ฮีบรู 11:22 โดยความเชื่อ ขณะที่ความตายใกล้เข้ามา
โยเซฟได้กล่าวถึงการอพยพของชนอิสราเอลจากอียิปต์ และกำชับสั่งเรื่องกระดูกของท่าน
ฮีบรู 11:23 โดยความเชื่อ พ่อแม่ของโมเสสได้ซ่อนท่านไว้สามเดือนหลังจากเกิดเพราะเขาทั้งสองเห็นว่าท่านเป็นเด็กที่งดงามและไม่กลัวคำบัญชาของกษัตริย์เลย
ฮีบรู 11:24-25 โดยความเชื่อ เมื่อโมเสสเติบโตขึ้น ท่านจึงไม่ยอมให้ใครเรียกว่าเป็นโอรสของธิดาฟาโรห์
ท่านเลือกที่จะทนทุกข์กับคนของพระเจ้า แทนที่จะเพลินไปกับความสำราญจากบาปชั่ว
ฮีบรู 11:26-27 ท่านเห็นคุณค่าของการทนทุกข์เพื่อ
พระคริสต์เหนือทรัพย์สมบัติของอียิปต์ ท่านมองไปข้างหน้าเห็นรางวัลที่จะได้รับโดยความเชื่อ โมเสสละจากอียิปต์โดยไม่กลัวความโกรธของกษัตริย์อียิปต์ ท่านพากเพียร บากบั่น เพราะท่านเห็นพระองค์ผู้ที่ไม่อาจมองเห็นได้
ฮีบรู 11:28 โดยความเชื่อ ท่านรักษาพิธีปัสกา และการประพรมเลือดเพื่อว่า ผู้ที่ทำหน้าที่ประหารบุตรหัวปีจะไม่แตะต้องลูกชายหัวปีของชนอิสราเอล
ฮีบรู 11:29 โดยความเชื่อ
ประชาชนเดินผ่านทะเลแดงราวกับเดินบนพื้นแห้ง แต่เมื่อชาวอียิปต์พยายามตามพวกเขามา ก็กลับจมน้ำตาย
ฮีบรู 11:30 โดยความเชื่อ กำแพงเมืองเยรีโคพังทลายลง!หลังจากที่ประชาชนได้เดินแถวรอบ ๆ เมืองเจ็ดวัน
ฮีบรู 11:31โดยความเชื่อ ราหับ หญิงโสเภณี จึงไม่ถูกสังหารไปพร้อมกับคนที่ไม่เชื่อฟังเพราะเธอได้ต้อนรับสายสืบอิสราเอลด้วยไมตรี
ฮีบรู 11:32-33 จะให้ข้าพเจ้ากล่าวอะไรเพิ่มเติมอีกเล่า?
ไม่มีเวลาพอที่จะเล่าเรื่องของกิเดโอน บาราค แซมสัน เยฟธาห์ ดาวิด ซามูเอลและเหล่าผู้เผยพระดำรัส พวกเขาได้พิชิตอาณาจักรต่าง ๆ โดยความเชื่อ ได้ให้ความยุติธรรม และได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาไว้ ได้ปิดปากของสิงโต
ฮีบรู 11:34 ได้ดับเปลวไฟที่ไหม้เผาผลาญและหนีจากคมดาบ ได้รับกำลังแม้ว่าจะอ่อนแอ กลับกลายเป็นคนที่กล้าหาญในการสู้รบ และทำให้กองทัพชาวต่างชาติต้องแตกพ่ายหนีไป
ฮีบรู 11:35 พวกผู้หญิงได้รับคนที่ตายไปแล้วคืนมา
พวกเขาฟื้นคืนชีวิต แต่บางคนก็ถูกทรมานและไม่ยอมถูกปล่อยออกมาเพื่อว่าพวกเขาจะได้รับการฟื้นคืนชีวิต
ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีกว่า
ฮีบรู 11:36-37 ยังมีคนอื่นที่ยอมทนการเยาะเย้ย การ
โบยตี และบางคนถูกล่ามโซ่และจำจองพวกเขาถูกหินขว้าง พวกเขาถูกเลื่อยสองท่อน พวกเขาตายด้วยคมดาบ
พวกเขาสวมหนังแพะหนังแกะเร่ร่อนไปสิ้นเนื้อประดาตัว ถูกข่มเหง และถูกทารุณกรรม
ฮีบรู 11:38
โลกนี้ไม่ดีพอสำหรับพวกเขาพวกเขาเร่ร่อนไปตามแผ่นดินกันดาร ตามภูเขาและซ่อนตัวในถ้ำตามโพรงใต้ดิน
ฮีบรู 11:39-40 พวกเขาได้รับคำชื่นชมเพราะความเชื่อของพวกเขา ถึงกระนั้น พวกเขายังไม่ได้รับสิ่งที่ทรงสัญญา
พระเจ้าได้ทรงเตรียมสิ่งที่ดีกว่านั้นให้เราเพื่อว่า พวกเขาจะได้รับการทำให้สมบูรณ์เพียบพร้อมไปพร้อม ๆ กับเรา
ฮีบรู 11:1-2
ไม่ใช่คริสเตียนเท่านั้นที่มีความเชื่อ คนทุกคนที่มีความเชื่อในพระของเขา ไม่ว่าจะอยู่ในศาสนาใดต่างก็มีความเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็นทั้งสิ้น แล้ว
ความแตกต่างอยู่ตรงไหนกันล่ะ? คริสเตียนเชื่อในพระสัญญาของพระเจ้า เชื่อในสิ่งที่พระเจ้าตรัสบอกเราในพระคัมภีร์ หลายอย่างที่เชื่อ ไม่อาจพิสูจน์ได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์แต่วิธีการทางวิทยาศาสตร์นั้นก็ไม่อาจล้มล้างสิ่งที่เราเชื่อได้เช่นกัน เช่นบางคนไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า แต่ยังไม่มีใครสามารถพิสูจน์ว่า ไม่มีพระเจ้า!!
ฮีบรู 11:3
คริสเตียนเป็นผู้ที่เชื่อในสิ่งที่พระเจ้าตรัส ในสิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดเผยให้พวกเขาทราบจากพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นหนังสือที่บันทึกพระดำริ พระดำรัสของ
พระองค์ ในหนังสือเล่มนี้ ไม่ได้บอกเราทุกอย่างบางอย่างเรารู้ไม่ได้ เพราะสมองความเข้าใจของเราไปไม่ถึง แต่เราเชื่อพระองค์ได้ในทุกคำที่ตรัส
แก่เรา ผู้ที่ไม่เชื่อ มีความเชื่อในสิ่งที่เขาอยากจะเชื่อ เชื่อคำสอนต่าง ๆ ที่เขาคิดว่าให้ประโยชน์แต่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้าองค์พระผู้สร้าง
ฮีบรู 11:4
เราเห็นแล้วว่า ความเชื่ออันเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าอยู่ที่เราเชื่อในพระดำรัสของพระองค์เรื่องที่กล่าวถึงอยู่ในหนังสือปฐมกาล 4:2-16พี่ชายน้องชายเอาของมาถวายแต่พระเจ้า พี่ชายเอาพืชมา ส่วนน้องชายเอาสัตว์ที่ต้องหลั่งเลือดมาต่อพระพักตร์ และพระเจ้าทรงรับของน้องชาย เราคงสงสัยว่าทำไมหรือ? เป็นเพราะการถวายของอาเบลน้องชายนั้น กำลังสื่อถึงการที่พระเจ้าจะทรงลงมาหลั่งพระโลหิตเพื่อไถ่บาปของมนุษย์
ฮีบรู 11:5
พระคัมภีร์บันทึกว่า เมื่อเอโนคอายุ 65 ปีท่านมีลูกชาย หลังจากนั้นก็ดำเนินกับพระเจ้า 300 ปี มีลูกชายหญิงอีกหลายคน เอโนคดำเนินกับพระเจ้าแล้วหายหน้าไปเพราะพระเจ้าทรงรับเขาไป(ปฐมกาล 5:21-24) มีหลายคนในพระคัมภีร์เดินไปกับพระเจ้าอย่างที่พระองค์ทรงพอพระทัย
แต่ไม่มีใครได้ไปอยู่กับพระเจ้าเจ้าโดยไม่ผ่านความตายเหมือนเอโนค ทั้ง ๆ ที่เขาก็ไม่ได้ทิ้งชีวิตที่มีครอบครัวไปอยู่คนเดียว เขาเดินกับพระองค์
อย่างไรกัน?
ฮีบรู 11:6
นี่เป็นคำตอบหนึ่งว่าชีวิตของเอโนคเป็นเช่นไรเขาเชื่อว่าพระเจ้าทรงมีชีวิตอยู่ เขาติดสนิทกับพระองค์ เขาใกล้ชิดพระองค์ และรางวัลที่เขาได้รับนั้นก็แตกต่างจากใคร ๆ พระคัมภีร์ข้อนี้ได้ย้ำเตือนเราว่า เราไม่ได้เชื่อพระเจ้าแบบนับถือศาสนา แต่เราเชื่อมั่นว่า พระองค์ทรงพระชนม์อยู่เป็นความเชื่อในปัจจุบัน เราจึงเดินไปกับพระองค์ ทุ่มเทแสวงหาพระองค์ไม่ใช่มีชีวิตไปวัน ๆ โดยไม่มีการพัฒนาวิญญาณ
ฮีบรู 11:7
เมื่อพระเจ้าทรงสั่งให้โนอาห์สร้างเรือนั้น ยังไม่มีวี่แววว่า เรือจะลงน้ำที่ไหน เขาสร้างบนพื้นที่แห้งคำสั่งของพระองค์นั้นดูเหมือนไม่เข้าท่าเอาเลย เขาต้องสร้างเรือที่ใหญ่มาก ไม่มีทางที่จะลากไปยังทะเลเลยด้วยซ้ำ แต่การกระทำของโนอาห์กลับกลายเป็นการกล่าวโทษโลก ทำไมหรือ?
นั่นคือ เขาเชื่อฟังพระเจ้า ไม่ได้เดินตามความพอใจของสังคมที่เขาอยู่ คนที่เข้ามาเยาะเย้ยเขา ในที่สุดก็ถูกพระเจ้าทรงพิพากษา
ฮีบรู 11:8
ความเชื่อขั้นแรกของอับราฮัมคือ ท่านเริ่มรับคำบัญชาจากพระเจ้า ออกจากบ้านเกิดเมืองนอนและเดินทางไปยังแผ่นดินที่ไม่รู้จัก เป็นแผ่นดิน
ที่ทรงสัญญาที่ให้พวกเขาสร้างไม่แค่ครอบครัวแต่สร้างชนชาติหนึ่ง เขาไม่รู้ว่า ผลจะออกมาในรูปใด แต่ท่านก็เชื่อพระเจ้าทั้งที่ไม่รู้ว่า พระสัญญา
จะสำเร็จหรือไม่ แต่เขาเชื่อพระองค์ไปแล้วและพร้อมที่จะทำตามทุกอย่างที่ทรงบัญชา
ฮีบรู 11:9-10
ต่อมาอับราฮัมอาศัยในแผ่นดินโดยไม่สร้างบ้านเรือนเป็นหลักฐาน เขาอาศัยในเต็นท์ฐานะคนต่างแดน รวมทั้งอิสอัคและยาโคบ จริงแล้ว เราไม่ได้ต่างจากเขาเหล่านี้ เพราะโลกเป็นเพียงทางผ่านของเรา ไม่ใช่ที่ ๆ เราจะอยู่เป็นนิรันดร์ เรารอคอยจะอยู่ในบ้านเมืองที่พระเยซูทรงเตรียมให้ (ดู
ยอห์น 14) นี่เป็นความเชื่อของเราว่า วันหนึ่งเราจะได้ไปอยู่กับพระเจ้าตลอดไป
ฮีบรู 11:11-12
ที่เราอ่านมา เราเห็นชัดว่าความเชื่อตามมาด้วยการกระทำตามความเชื่อที่พระเจ้าทรงสำแดงที่จริง ตอนแรกซาราห์ยังหัวเราะกับคำสัญญาของ
พระเจ้าที่จะให้เธอตั้งครรภ์ และคลอดบุตรให้อับราฮัม ก็ยากที่จะเชื่อเพราะว่า เธออายุมากแล้ว อับราฮัมก็เหมือนคนตายแล้วเพราะชราขนาด
นั้นจะเป็นไปได้อย่างไร แต่แล้ว เมื่อทั้งสองเชื่อพระเจ้า เหตุการณ์ก็เป็นจริงอย่างที่พระเจ้าทรงบอกไว้ ลูกหลานมากมายเหลือเชื่อ!
ฮีบรู 11:13-14
ผู้เขียนกำลังย้ำให้เรารู้จัก และเข้าใจคนที่มีความเชื่อในพระเจ้าว่า พวกเขายังคงเชื่อทั้งที่ยังมีการทดลองใจให้ไม่เชื่อ อย่างเช่นการที่ถูกผู้คนเยาะตอนที่โนอาห์สร้างเรือบนดินแห้ง การที่อับราฮัมและซาราห์ต้องรอนานมาก ก่อนจะมีลูกชายอิสอัคพวกเขายังเชื่อทั้งที่ยังไม่เห็น ทั้งที่ถูกลองใจ เป็นความเชื่อทางบวกที่ข้ามอุปสรรคทั้งปวง และเราเองก็ต้องเผชิญการทดลองที่ทำให้หมดความเชื่อ แต่เราต้องเชื่อในพระสัญญาต่อไป
ฮีบรู 11:15-16
หากเรารู้ว่า โลกนี้ไม่ใช่บ้านแท้ ๆ ของเรา เราจะไม่กังวลอะไรมากมายนัก เรารู้ว่า ไม่จำเป็นต้องตั้งถิ่นฐานแบบว่าจะไม่จากโลกนี้ไป เห็นไหมว่า
แม้ในปัจจุบัน ยังมีคนที่อยากเป็นอมตะ ไม่ต้องการสิ้นชีวิต และบางคนก็เก็บบางส่วนของตนไว้เผื่อว่าวันหนึ่งเทคโนโลยีก้าวล้ำจนสามารถเอา
เซลที่เขาเก็บไว้มาทำให้เขาเกิดมีชีวิตขึ้นมาอีกคนเหล่านั้นที่เชื่อในพระสัญญาของพระเจ้าเรื่องชีวิตนิรันดร์จึงมักไม่กลัวความตาย
ฮีบรู 11:17-18
อิสอัคเป็นคนเดียวที่ถือว่าเป็นลูกชายคนเดียวที่จะสืบเชื้อสายของอับราฮัมที่จะเป็นชนชาติยิว ซึ่งพระบุตรของพระเจ้าจะมาเกิดในวงศ์วานของเขาอิชมาเอลไม่ใช่คนที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ ดังนั้นอิสอัคจึงถูกเรียกว่า เป็นลูกชายคนเดียว…ในวันที่พระเจ้าทรงสั่งให้เขาไปถวายอิสอัคเหมือน
กับถวายแกะบูชานั้น เขาคงสับสน คงแปลกใจกับคำสั่งของพระเจ้า ถึงกระนั้น เขาก็ทำตามคำบัญชาของพระองค์
ฮีบรู 11:19
ที่อับราฮัมยอมเป็นเพราะเขาให้เหตุผลกับตัวเองว่า พระเจ้าเป็นผู้ทรงวางแผนให้อิสอัคเป็นลูกชายที่จะส่งต่อเชื้อสายของเขาจนมีลูกหลานเต็มเหมือนดาวบนท้องฟ้า ดังนั้น ถ้าพระเจ้าจะให้ถวายบูชาลูกชาย เขาก็ต้องฟื้นจากความตายโดยฤทธิ์ของพระเจ้าแน่นอน เพราะพระองค์จะทรงทำตามพระสัญญา ไม่มีวันที่พระองค์จะผิดคำสัญญา ดังนั้นเมื่อได้รับคำสั่งจากพระเจ้าที่แปลกมากเขาจึงเชื่ออย่างไม่มีใจสงสัย..
ฮีบรู 11:20-21
อิสอัคได้อวยพรแก่เอซาวและยาโคบสลับตัวกันแทนที่พี่ชายจะได้รับพรของลูกชายคนโต กลับกลายเป็นของน้องชาย แต่สิ่งที่ผู้เขียนต้องการ
กล่าวในเวลานี้คือ อิสอัคมองเห็นอนาคตข้างหน้าว่าครอบครัวของเขาจะใหญ่โตเพียงไร เขาเชื่อตามที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ และพอมาถึงรุ่น
หลาน ยาโคบอวยพรอีก แม้ว่าจะแก่เฒ่ามากในเวลานั้น แต่ยาโคบก็ไม่ได้ขาดความเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงจัดการอนาคตให้หลาน ๆ ของเขา
ฮีบรู 11:22
เมื่ออายุหนึ่งร้อยสิบปี โยเซฟสั่งให้คนที่จะกลับไปยังแผ่นดินคานาอันที่ครอบครัวจากมา ไม่ว่าจะเป็นเมื่อไรในอนาคต ก็ขอเอาศพเขากลับไปด้วย
ปฐมกาล 50 โยเซฟเชื่อว่า พระเจ้าจะทรงนำอิสราเอลกลับไปอีก ทั้ง ๆ ที่เขาไม่รู้ว่าจะเป็นเวลานานแค่ไหน แต่โยเซฟมีความเชื่อ แน่นอนที่ความเชื่อของทั้งปู่ทวดอับราฮัมปู่อิสอัค และพ่อยาโคบ ได้ส่งต่อลงมายังโยเซฟและความเชื่อนั้นก็ส่งต่อมาจนทุกวันนี้
ฮีบรู 11:23
พ่อ แม่ของโมเสสต้องเผชิญกับคำสั่งของผู้มีอำนาจให้กำจัดชีวิตของลูกชาย แต่ทั้งสองกลับไม่กลัวคำสั่งนั้น หาวิธีที่จะให้ลูกชายมีชีวิตอยู่
ผู้เขียนได้กล่าวชื่อของโมเสสหลายครั้ง ความเชื่อของพ่อแม่โมเสสในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่เชื่อว่าลูกจะรอดชีวิต แต่เชื่อว่า พระเจ้าจะส่งให้เขาและลูก
ผ่านการกดขี่ของฟาโรห์ไปได้ด้วย เป็นความเชื่อที่ต้องต่อสู้กับอุปสรรคที่ยากเย็น และพระเจ้าก็ทรงพลิกชีวิตของโมเสสให้ไปอยู่ในวังฟาโรห์!
ฮีบรู 11:24-25
โมเสสเติบโตขึ้นมาโดยรู้ภูมิหลังของตนเองเป็นอย่างดี เพราะคนที่เลี้ยงดูเขามาในวังของฟาโรห์คือแม่ของเขาเอง เป็นแม่ที่จะส่งต่อความเชื่อใน
พระเจ้าให้กับเขา ส่งต่อความรักในชนชาติของตนให้กับเขาด้วย ตอนที่เขากำลังเป็นหนุ่มแน่น โมเสสได้เลือกที่จะอยู่ฝ่ายคนอิสราเอล แทนที่จะ
เสวยสุขสบาย ๆ ในวัง แทนที่จะกลายเป็นผู้ปกครองในฐานะเจ้าชายแห่งอียิปต์ เขาเข้าไปคลุกคลีกับพี่น้อง… และรับผลร้ายที่ต้องยอมรับ
ฮีบรู 11:26-27
โมเสสต้องหนีจากราชวังของฟาโรห์ ไปอยู่ในถิ่นกันดารมีเดียน นี่เป็นการพลิกชีวิตอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ ในขณะที่เกิดเรื่องขึ้น โมเสสจะต้อง
วางใจพระเจ้าให้ปกป้องชีวิตของเขาให้ปลอดภัยจากเงื้อมมือฟาโรห์ น่าแปลกที่ผู้เขียนได้ย้ำชัดว่าโมเสสได้เห็นพระเจ้าผู้ไม่อาจมองเห็น เราเข้าใจว่าท่านได้สัมผัสกับพระเจ้าแห่งอิสราเอลตั้งแต่ยังเล็กจนกระทั่งเจอปัญหาใหญ่ในวัยหนุ่มกับกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ของอียิปต์
ฮีบรู 11:28
ต่อมาเมื่อโมเสสต้องนำประชากรอิสราเอลออกจากแผ่นดินอียิปต์ ท่านก็ได้ทำตามขั้นตอนทุกอย่างที่พระเจ้าทรงบัญชา ท่านช่วยให้คนอิสราเอล
ไม่ต้องเผชิญกับความทุกข์ใจเมื่อเผชิญกับวิบัติครั้งสุดท้ายของอียิปต์ ท่านปกป้องลูกชายคนโตของคนอิสราเอลโดยสั่งให้ทุกคนทาเลือดแกะไว้
ที่ประตู เป็นการแจ้งให้ทูตสวรรค์ได้รู้ว่า พวกเขาเป็นคนของพระเจ้า ไม่ใช่คนอียิปต์ และจะผ่านครอบครัวนั้น ๆ ไม่แตะต้องชีวิตลูกชายคนโต
ฮีบรู 11:29
ต่อมาเราได้เห็นความเชื่อที่เป็นความเชื่อชุมชนไม่ใช่เป็นคน ๆ เดียวต่อไป เมื่อคนอิสราเอลเห็นการปกป้องชีวิตจากวิบัติสุดท้าย พวกเขาก็มี
ความเชื่อมากขึ้น ในขณะที่หนีออกจากอียิปต์นั้นเอง ข้างหน้าของพวกเขาคือทะเล แต่พระเจ้าทรงเปิดทะเลให้พวกเขาเดินไปได้ ในวันนั้น จะมีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ จะมีคนบ่นกลัว แต่แล้ว พวกเขาก็ยอมที่จะเชื่อพระเจ้าแล้วเดินลงไปในก้นทะเลที่แห้งแข็งพอที่จะเดินผ่านไปได้
ฮีบรู 11:30
เมื่อคนอิสราเอลพร้อมใจกันที่จะเชื่อและเชื่อฟังพระเจ้า พวกเขาก็พบว่า สามารถที่จะเอาชนะศัตรูได้ พวกเขาจำเป็นต้องมีทั้งความเชื่อและ
ส่งผลออกมาเป็นความเชื่อฟังลงมือทำตามที่เชื่อนั้น ที่อิสราเอลยังคงมีชาติอยู่ในทุกวันนี้ถึงแม้มีความพยายามกำจัดเผ่าพันธุ์ยิวให้สิ้นซาก
ก็เพราะพระสัญญาของพระเจ้าและเป็นเพราะเพราะมีคนส่วนหนึ่งที่เชื่อในพระสัญญานิรันดร์ที่มีต่อชนชาติของเขา จึงลงมือทำและได้ผล
ฮีบรู 11:31
ความเชื่อของราหับ หญิงต่างชาติที่เป็นหญิงโสเภณี ยังได้รับการตอบรับจากพระเจ้าอย่างที่ไม่มีใครจะคาดได้เลย พระองค์ทรงไว้ชีวิตของ
เธอในขณะที่คนอื่นถูกสังหาร ที่พระเจ้าทรงไว้ชีวิตคนเหล่านี้ ไม่ใช่เพราะพวกเขาเป็นคนดีเพียบพร้อม แต่เป็นเพราะพวกเขามีความเชื่อมั่น
ในพระองค์ แม้ว่าราหับไม่ได้เป็นคนที่อยู่ในพันธสัญญา แต่เธอกลับเชื่อพระเจ้าแห่งอิสราเอลว่าจะปกป้องเธอไว้
ฮีบรู 11:32-33
จะเห็นได้เลยว่า เหล่าคนที่ผู้เขียนฮีบรูได้เรียงรายชื่อมาเหล่านี้ ต่างสำเร็จในความเชื่อในสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างเช่นกิเดโอน (ผู้วินิจฉัย 6-8)ได้มีชัยชนะในสงครามแม้ตัวเองมีทหารน้อยกว่าฝ่ายตรงข้ามแบบไม่น่าเชื่อ คนที่ปิดปากสิงโตก็มีทั้งดาเนียล (ดาเนียล 6:16-28) แซมสัน (ผู้วินิจฉัย 14:5-6) รวมทั้งดาวิดด้วย (1ซามูเอล 17:34-37) ทั้งหมดนี้ เขาชนะในสถานการณ์ลำบากเพราะเขาเชื่อพระเจ้า
ฮีบรู 11:34
วีรบุรุษของพระเจ้าเหล่านี้กล้าหาญได้เพราะเขามีพระเจ้าเป็นผู้นำทางชีวิต ผู้ที่ยุ่งเกี่ยวกับไฟทั้งที่ไม่อยากจะยุ่ง แต่พวกเขาก็เชื่อจนกระทั่งกษัตริย์ ที่ส่งเขาเข้ากองไฟ กลับได้เห็นพระบุตรของพระเจ้าในกองไฟนั้น คือ เพื่อนของดาเนียลทั้งสามคน (ดาเนียล 2:49-3:30) ส่วนผู้ที่หนีจากคมดาบ ด้วยความเชื่อนั้นก็อย่างเอลียาห์ ( 1 พงศ์กษัตริย์ 19:2) เป็นต้น คนที่ตัวเล็ก แต่สามารถโค่นโกลิอัทลงได้ก็คือดาวิดนั่นเอง (1 ซามูเอล 17)
ฮีบรู 11:35 ผู้หญิงที่ได้รับคนตายคืนมานั้น ก็มีตัวอย่างอยู่ในชีวิตของเอลียาห์ที่ช่วยทำให้ลูกชายของหญิงม่ายเมืองเศราฟัทฟื้นขึ้นมา ( 1 พงศ์กษัตริย์ 17:17-24 ) และเอลีชาที่ทำให้ลูกชายของหญิงชาวเมืองชูนัม… ฟื้นคืนมา ( 2 พงศ์กษัตริย์ 4:18-37)บางคนก็เสียชีวิตของเขาไปเพื่อวันหนึ่งด้วยความเชื่อ เขาจะได้คืนชีวิตขึ้นมากับพระเยซูคริสต์
ฮีบรู 11:36-37
คนที่เป็นยิวแล้วกลับมาเชื่อพระเยซูถูกเยาะเย้ยถูกปฏิเสธจากครอบครัว ถูกเจ้าหน้าที่จับตัวไปเพราะเชื่อพระเยซูนั้นก็มีมากจนแม้กระทั่งทุกวันนี้
ตัวอย่างในพระคัมภีร์ของผู้เชื่อที่ถูกหินขว้างนั้นอย่างเช่น สเทเฟน คนที่ถูกเลื่อยสองท่อนนั้นก็อย่างเช่นอิสยาห์ และเยเรมีย์ (ตามประวัติศาสตร์นอกพระคัมภีร์ มีการเล่าต่อกันมาว่าท่านทั้งสองตายจากการสั่งประหารด้วยให้เลื่อยตัวขาดสองท่อน)
ฮีบรู 11:38
ผู้เผยพระดำรัสของพระเจ้าในสมัยโบราณอย่างเอลียาห์ เอลีชา พวกเขาไม่ได้อยู่อย่างสบาย แต่กลับต้องเผชิญกับชีวิตที่หลบ ๆ ซ่อน ๆ เพื่อเอาชีวิตรอด ถึงกระนั้น พวกเขาก็ยังเชื่อต่อไป ถ้าจะคิดถึงคนที่ซ่อนตัวตามภูเขา ซ่อนตามถ้ำ เราก็นึกถึงดาวิดที่ต้องหนีจากซาอูลในช่วงแรกของชีวิตดาวิดต้องหลบหนีกษัตริย์ซาอูลอย่างเสียเปรียบเพราะดาวิดจะไม่ทำร้ายซาอูลเลย และในที่สุดท่านก็ได้รับตามสัญญา
ฮีบรู 11:39-40
ความยากลำบากที่ผู้เขียนได้บรรยายมานั้น ก็เพื่อหนุนใจให้พี่น้องผู้เชื่อในพระเจ้าได้ยึดมั่นในความเชื่อเมื่อต้องเจอกับความทุกข์ยากไม่ว่าใน
รูปแบบใดก็ตาม เพราะว่า พระเจ้าทรงเตรียมสิ่งดีกว่าไว้ให้ ตอนที่เราต้องเผชิญกับสิ่งที่ไม่คาดฝันนั้น เราอาจตกใจ เป็นทุกข์ รู้สึกจนมุมจนแทบไปต่อไม่ได้ แต่.. พระสัญญาของพระเจ้า พระวิญญาณของพระเจ้าจะช่วยให้เรายืนขึ้นมาได้อีกครั้ง
พระคำเชื่อมโยง
1* โรม 8:24
3* สดุดี 33:6
4* ปฐมกาล 4:3-5; ฮีบรู 12:24
5* ปฐมกาล 5:21-24
7* ปฐมกาล 6:13-22; 1เปโตร 3:20; โรม 3:22
8* ปฐมกาล 12:1-4
9* ปฐมกาล 12:8; 13:3, 18; 18:1, 9; ฮีบรู 6:17
10* ฮีบรู 12:22; 13:14
11* ปฐมกาล 17:19; ฮีบรู 10:23
12* โรม 4:19; ปฐมกาล 15:5; 22:17; 32:12
13* ฮีบรู 11:39; ปฐมกาล 12:7; ยอห์น 8:56; สดุดี 39:12
14* ฮีบรู 13:14
15* ปฐมกาล 11:31
16* อพยพ 3:6, 15; 4:5; วิวรณ์ 21:2
17* ยากอบ 2:21
18* ปฐมกาล 21:12
19* โรม 4:17
20* ปฐมกาล 27:26-40
21* ปฐมกาล 48:1,5,16,20
22* ปฐมกาล 50:24-25
23* อพยพ 2:1-3; 1:16,22
24* อพยพ 2:11-15
26* ฮีบรู 13:13; โรม 8:18
27* อพยพ 10:28
28* อพยพ 12:21
29* อพยพ 14:22-29
30* โยชูวา 6:20
31* โยชูวา 2:9; 6:23; 2:1
32* วินิจฉัย 6:11; 7:1-25; 4:6-24; 13:24-16:31; 11:1-29;12:1-7; 1ซามูเอล 16; 17; 1 ซามูเอล 7:9-14
33* ดาเนียล 6:22
34* ดาเนียล 3:23-28
35* 1 พงศ์กษัตริย์ 17:22; กิจการ 22:25
36* ปฐมกาล 39:20
37* 1 พงศ์กษัตริย์ 21:13; 2 1 พงศ์กษัตริย์ 1:8; เศคาริยาห์ 13:4
38* 1 พงศ์กษัตริย์ 18:4, 13; 19:9
39* ฮีบรู 11:2,13
40* ฮีบรู 5:9