กิจการ 7 คำอธิบายของสเทเฟน

เริ่มต้นที่อับราฮัม


แล้วมาถึงสมัยโยเซฟ

ตามด้วยโมเสส

อิสราเอลกับรูปเคารพ

สังหารสเทเฟน

คำอธิบายพระคัมภีร์ และพระคำเชื่อมโยง

กิจการ 7:1-4. เริ่มต้นที่อับราฮัม
เมื่อถูกจับกุมตัว สเทเฟนเองไม่ได้สะทกสะท้านเลย
คนแรกที่สอบสวนเขาก็คือมหาปุโรหิต ซึ่งน่าจะเป็นคายาฟาสที่อยู่ในการสอบสวนพระเยซูนั่นเอง
สเทเฟนเองพร้อมที่จะตอบคำถามทุกอย่าง
จากกิจการบทที่ 6 เราเห็นว่าท่านถูกกล่าวหาสี่ประการ และก็จะต้องแก้ข้อกล่าวหาทั้งหมดนั้นคือ คนเหล่านั้นกล่าวว่าสเทเฟน
1 หมิ่นประมาทโมเสส
2 หมิ่นประมาทพระเจ้า
3 กล่าวร้ายต่อสถานบริสุทธิ์ และบัญญัติ 4 เขาบอกว่าท่านเยซูจะทำลายที่นี้ และเปลี่ยนสิ่งที่โมเสสได้สอนไว้
ท่านจึงได้เล่าเรื่องตั้งแต่ตอนที่พระเจ้าทรงพบอับราฮัมในดินแดนห่างไกลจากเยรูซาเล็ม โดยที่ตอนนั้นเองอับราฮัมเป็นคน ๆ หนึ่งที่พระเจ้าทรงเลือกใช้ให้เป็นต้นตระกูลของชนชาติอิสราเอล
เมื่อพระเจ้าจะใช้อับราฮัม พระองค์ทรงปรากฏพระองค์ และตรัสกับท่านโดยตรง
การเดินทางครั้งแรกของอับราฮัมนั้น ไม่ใช่ว่าจะมาที่แผ่นดินคานาอันเลย แต่ท่านกลับไปอยู่ที่เมืองฮาราน รอจนพ่อของท่านเสียชีวิตก่อน รายละเอียดการเดินทางของท่านอยู่ที่ปฐมกาล 12

กิจการ 7:5-7
สเทเฟนบอกพวกเขาชัดเจนว่า อับราฮัมไม่ได้มรดกเป็นผืนดิน แต่พระองค์ทรงมีแผนการยาวไกลสำหรับลูกหลานของอับราฮัม ซึ่งก็คือ คนเหล่านั้นที่สเทเฟนกำลังพูดด้วย
ก่อนที่ลูกหลานอับราฮัมจะได้แผ่นดินอุดมสมบูรณ์พวกเขาต้องไปเป็นทาสอยู่ 400 ปี เป็นการถูกทดสอบราวกับไฟเผาชีวิต ในช่วงเวลานั้นเองลูกหลานของอับราฮัมรู้จักพระเจ้าแล้ว และพวกเขาก็เป็นเหมือนชนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งที่เข้าไปอยู่อย่างโอ่อ่าในตอนแรก ในเวลาต่อมาจึงตกต่ำกลายเป็นทาส แต่พระเจ้าจะทรงพิพากษาผู้ที่ทำให้อิสราเอลต้องเป็นทาส
กิจการ 7:8
พันธสัญญาที่พระเจ้าประทานให้อับราฮัมนั้น มีการทำสุหนัตเป็นเครื่องหมายของพันธสัญญา และยังทำสืบเนื่องกันมาจนทุกวันนี้
ความจริงแล้ว เรื่องพันธสัญญาของพระเจ้าเป็นเรื่องสำคัญมาก หากเรามองการเสด็จมาของพระเยซู เราจะพบว่า จุดเริ่มต้นนั้นอยู่ที่พันธสัญญาของพระเจ้าที่ประทานแก่อาดัม

กิจการ 7:9-16 แล้วมาถึงสมัยโยเซฟ
จากนั้น สเทเฟนก็เล่าถึงชีวิตของโยเซฟ หนึ่งในพี่น้อง ลูก ๆ ของยาโคบ พระเจ้าทรงอยู่กับโยเซฟตลอดเวลา ทั้ง ๆ ที่เป็นคนที่พี่ ๆ เกลียดชัง ไม่ว่าชีวิตจะขึ้นหรือลง ท่านเต็มด้วยพระเจ้า แม้ว่าจะอยู่ในดินแดนที่เชื่อถือพระอื่น แต่โยเซฟก็ยังอยู่กับพระเจ้าทุกวินาที
แล้วในที่สุดครอบครัวของท่านก็เข้ามาอยู่ในอียิปต์ ที่ว่า 75 ในขณะที่ปฐมกาลว่า 70 ก็คือ สเทเฟนนับลูกชายหลานชายของโยเซฟที่เกิดในอียิปต์เข้าไปด้วย (จาก enduringword.com)

กิจการ 7:17-29 ตามด้วยโมเสส
ผ่านไป 400 ปี แม้จะเป็นทาส แต่คนยิวเป็นชนชาติที่ต้องทวีคูณ พวกเขามีลูกหลานเกิดขึ้นมากมาย
ฟาโรห์ในยุคใหม่นั้น ไม่รู้เรื่องว่า ที่ยิวเข้ามาทำให้พวกเขามีคนทำงาน ประเทศชาติเจริญขึ้น ท่านรู้สึกว่า คนยิวจำนวนมากขนาดนี้ เป็นภัยกับอียิปต์ แต่ก็เสียดายด้วยเพราะยิวแรงดี ทำงานแข็งขัน
ฟาโรห์ถึงกับสั่งฆ่าเด็กชาย แต่แล้ว ก็มีเด็กชายคนหนึ่งเกิดมาในบ้านที่รักพระเจ้า เด็กชายคนนี้ เป็นที่งดงามในพระเนตรพระเจ้า เขาเป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือกให้ทำการใหญ่ โดยที่พ่อแม่ไม่รู้เลย แล้วเขาก็ได้กลายไปเป็นเจ้าชายในวังของฟาโรห์อย่างมหัศจรรย์
คิดดูสิ เด็กชายชาวยิว กลับกลายเป็นลูกชายของธิดาของฟาโรห์ ในเวลาเดียวกันก็มีแม่ของตนแฝงตัวเข้าไปเป็นแม่นม เป็นผู้เลี้ยงดูเขาตั้งแต่เล็ก ดังนั้น เขาจึงรู้ว่า เขาคือใคร เชื้อสายอะไร
เขาได้กลายเป็นผู้ที่มีโอกาสเกินหน้าเด็กชายชาวยิวทั่วไป .. พระเจ้าทรงเตรียมการนี้อย่างมหัศจรรย์ แต่แล้ว เขาก็ต้องหมดโอกาสที่จะเป็นฟาโรห์คนต่อไป กลับกลายต้องระหกระเหินไปอยู่ในดินแดนห่างไกล จากเจ้าชายแห่งอียิปต์ กลายเป็นคนเลี้ยงแกะในแผ่นดินที่แห้งแล้ง มีครอบครัวเป็นคนธรรมดา ที่ไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสอะไรอีกในชีวิต แต่นี่คือแผนการของพระเจ้า ที่ไม่มีใครคาดคิด พระเจ้าทรงสัญญาอะไรไว้กับอับราฮัม พระองค์จะทรงทำตามพระสัญญา ไม่ว่าจะต้องคอยมานานกว่าสี่ร้อยปี

กิจการ 7:30-37
แล้ววันหนึ่ง พระเจ้าทรงเรียกโมเสส ด้วยการให้เขาพบกับพุ่มไม้ไฟ ที่ไม่ไหม้มอดไป พระองค์ทรงบอกว่า จะทรงส่งเขาไปเพื่อนำคนของพระองค์ออกมา แม้ว่าโมเสสจะยืนกรานว่าทำไม่ได้ แต่.. ในที่สุด เขาไม่อาจจะทัดทานพระเจ้าได้เลย
เขาได้นำคนออกมาจากอียิปต์ แต่ไม่ใช่ออกมาได้ง่าย ๆ ฟาโรห์ต้องเจอภัยพิบัติมากมาย แต่ท่านก็ไม่ยอมแพ้ และแล้ว ฟาโรห์ต้องเสียหน้ามากที่สุด เสียรถศึก และกองทัพและพ่ายแพ้ต่อพระประสงค์ของพระเจ้า
ในช่วงเวลานั้นเอง โมเสสได้ให้คำพยากรณ์ว่า พระเจ้าจะทรงให้เกิดผู้เผยพระคำเหมือนข้าที่มาจากหมู่คนยิวเอง

กิจการ 7:38-43 อิสราเอลกับรูปเคารพ
สเทเฟนกำลังชี้แจงให้คนที่ยืนฟังอยู่ได้เห็นว่า คนยิวสมัยก่อนก็ไม่ต้องการการช่วยเหลือของพระเจ้า พวกเขาหันไปหารูปเคารพ และกราบไหว้สิ่งเหล่านั้น ตรงนี้เองที่ทำให้พวกเขาต้องได้รับโทษจากพระเจ้าโดยตรง ต่อมาพระเจ้าทรงส่งพวกเขาไปเป็นเชลยในบาบิโลน ในเปอร์เซีย
สเทเฟนทำให้พวกเขารู้ว่า โมเสสทำหน้าที่เป็นทั้งผู้ปกครอง และเป็นผู้พิพากษาตัดสินคดีของพวกเขา โมเสสทำการอัศจรรย์ ซึ่งทั้งหมดนี้เหมือนกับพระเยซู สเทเฟนพูดถึงโมเสสนานเป็นพิเศษ เพราะคนที่ฟังเขาอยู่นั้น เป็นคนถือกฎบัญญัติของโมเสสอย่างเคร่งครัด แต่แล้ว คนยิวก็ได้ปฏิเสธโมเสสไปไหว้รูปเคารพ นี่เองสเทเฟนกำลังชี้ให้เห็นว่า โมเสสเป็นผู้ที่มาก่อนพระเยซู และพระเยซูคือคนที่โมเสสกล่าวถึง
และหากพวกเขาปฏิเสธพระเยซู พวกเขาจะต้องเจอกับอะไร

กิจการ 7:44-53
ถึงอย่างนั้น พระเจ้ายังทรงอยู่ท่ามกลางพวกเขา โดยมีกระโจมแห่งพยานเป็นสัญลักษณ์ ต่อมาเมื่อครอบครองดินแดนแล้ว ก็ยังมีพระวิหารด้วย แม้จะมีการสถิตอยู่กับพระเจ้าให้เห็น คนยิวส่วนใหญ่ก็กลับหันหลังให้พระองค์ มีบางพวกที่พยายามบอกใคร ๆ ว่า พระเจ้าอยู่แค่ในพระวิหารของพวกยิวเท่านั้น แต่พระองค์กลับแจ้งให้เขารู้ว่า พวกเขาจะมาจำกัดพระองค์ให้อยู่ตามที่พวกเขาต้องการไม่ได้
คนยิวสมัยสเทเฟนเองก็เช่นกัน เขาพยายามวางรูปแบบ กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ตามใจตัวเองเพื่อบอกว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการทั้ง ๆ ที่พระองค์ไม่ได้ตรัสอย่างนั้น
แล้วในที่สุด สเทเฟนก็หวนกลับมายังตัวผู้ที่กำลังยืนฟังอยู่ว่า พวกเขาต่อต้านองค์พระวิญญาณของพระเจ้าเหมือนกับที่บรรพบุรุษได้ทำ. พวกเขาสังหารผู้รับใช้ของพระเจ้าเหมือนบรรพบุรุษของเขา และนั่นก็คือ พวกเขาได้สังหารพระเยซู พระบุตรของพระเจ้าด้วย

กิจการ 7:54-60 สังหารสเทเฟน
พอได้ยินว่า พวกเขาเองเป็นคนที่สังหารองค์บริสุทธิ์ที่พระเจ้าทรงส่งมา ..​ก็โกรธจัด กัดฟันกรอด
ทนฟังต่อไปไม่ได้แล้ว ผู้นำศาสนายิวไม่อาจฟังคำพยาน ไม่อาจฟังความจริงจากสเทเฟนได้
ขณะนั้น สเทเฟน ซึ่งกล่าวความจริงมาเนิ่นนาน เต็มด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ท่านมองเห็นพระเยซูเบื้องขวาพระหัตถ์พระเจ้า! นี่เป็นเหตุให้ท่านกล้าหาญ ไม่กลัวความตายแม้แต่นิด ที่จริง ท่านคงรู้แล้วว่า หลังจากคำกล่าวครั้งนี้ คงไม่รอดแน่ แต่ความตายไม่ทำให้ท่านกลัวเลย ยิ่งเห็นพระเจ้าบนสวรรค์ ใครจะไปสนใจที่จะอยู่ในโลกอีกต่อไป?
ในที่สุดสเทเฟนถูกขว้างด้วยหินจนเสียชีวิต .. ในวันนั้นเอง ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ได้ยินคำทั้งสิ้นของสเทเฟน และเป็นคนที่ยินยอมให้เกิดการขว้างด้วยหินครั้งนี้ คือชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ เซาโล
คำอธิษฐานสุดท้ายของสเทเฟนคือ “ขอพระเจ้าทรงรับวิญญาณของข้าพเจ้าไป” และ”ขออย่าทรงถือโทษคนทั้งปวง” ที่เป็นอย่างนี้ได้เพราะว่า พระเจ้าทรงอยู่ตรงหน้าสเทเฟน ไม่มีอะไรที่ท่านจะต้องกลัว ไม่มีสิ่งที่ค้างคาใจของท่านเลย ท่านไปจากโลกนี้อย่างมีศักดิ์ศรี และถวายพระเกียรติพระเจ้าเป็นที่สุด


พระคำเชื่อมโยง
2* กิจการ 22:1, สดุดี 29:3, ปฐมกาล 11:31-32
3* ปฐมกาล 12:14* ปฐมกาล 11:31-32; 15:754* กิจการ 5:33; 2:37; โยบ 16:9; สดุดี 35:16; 37:12
5* ปฐมกาล 12:7; 13:15; 15:3,18; 17:8; 26:3
6* ปฐมกาล 15:13,14,16; 47:11,12 อพยพ 1:18-14; 12:40,41
7* ปฐมกาล 15:14 อพยพ 14:13-31; 3:12
8* ปฐมกาล 17:9-12; 21:2-4; ลูกา 1:59; ปฐมกาล 25:26; 29:31-35, 30:5-24, 35:18,23-26
9* ปฐมกาล 37:4,11,28
11* ปฐมกาล 41:54; 42:5
12* ปฐมกาล 42:1-2
13* ปฐมกาล 45:4, 16
14* ปฐมกาล 45:9, 27; เฉลยธรรมบัญญัติ 10:22
15* ปฐมกาล 46:1-7; 49:33
16* โยชูวา 24:32; ปฐมกาล 23:16
17*ปฐมกาล 15:13; อพยพ 1:7-9
18* อพยพ 1:8
19* อพยพ 1:22
20* อพยพ 2:1-2; ฮีบรู 11:23
21* อพยพ 2:3-4; 5-10
22* ลูกา 24:19
23* อพยพ 2:11-12
27* อพยพ 2:14
29* ฮีบรู 11:27; อพยพ 2:15, 21, 22; 4:20; 18:3
30* อพยพ 3:1-10
32* อพยพ 3:6, 15
33* อพยพ 3:5, 7 , 8, 10
34* อพยพ 2:24, 25; สดุดี 105:26
35* อพยพ 2:14; อพยพ 14:21
36* อพยพ 12:41; 33:1; 14:21; 16:1, 35
37* เฉลยธรรมบัญญัติ 18:15, 18, 19; มัทธิว 17:5
38* อพยพ 19:3; กาลาเทีย 9:12; เฉลยธรรมบัญญัติ 5:27; ฮีบรู 5:12
39* สดุดี 95:8-11
40* อพยพ 32:1, 23
41*เฉลยธรรมบัญญัติ 9:16; อพยพ 32:6, 18, 19
42* 2 เธสะโลนิกา 2:11; 2 พงศ์กษัตริย์ 21:3; อาโมส 5:25-27
43* เยเรมีย์ 25:9-12
44* ฮีบรู 8:5
45* โยชูวา 3:14; 18:1; 29:3; สดุดี 44:2; 2 ซามูเอล 6:2-15
46* 2 ซามูเอล 7:1-13
52* กิจการ 3:14; 22:14
53* อพยพ 20:1
54* กิจการ 5:33
55* กิจการ 6:5; อพยพ 24:17
56* มัทธิว 3:16; ดาเนียล 7:13
58* เลวีนิติ 24:14-16; กันดารวิถี 15:35
59* กิจการ 9:14; สดุดี 31:5; ลูกา 23:46
60* กิจการ 9:40; 20:36; 21:5; ลูกา 22:41; เอเฟซัส 3:14; มัทธิว 5:44; 27:52

ยอห์น 18 มอบชีวิตให้ด้วยพระองค์เอง

** พระคำตอนนี้ ได้ทำออกมาเป็นภาพประกอบ บางครั้งคำจึงหายไปกลายเป็นภาพที่ต้องสังเกต ดังนั้น ควรกลับไปอ่านพระคัมภีร์เพื่อจะได้คำครบ และอ่านคำอธิบายเพิ่มเติม

การจับกุมในสวน

ต่อหน้าอันนาส

เปโตรกับคำทำนายของพระเยซู

พระเยซูถูกส่งไปพบคายาฟาส

ส่งต่อไปหาผู้ว่าราชการจากโรม

ก่อนอื่นใด เราต้องรู้ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพระเยซูในคืนนั้น เป็นเหตุการณ์ที่ถูกกำหนดไว้ก่อน พระเยซูตรัสว่าเวลาของพระองค์มาถึงแล้ว พระองค์เป็นผู้ที่ยอมสละชีวิตของพระองค์เอง ไม่มีใครทำอะไรพระองค์ได้ หากพระองค์ไม่ยอม ในคืนนั้น พระเยซูทรงทำตามที่ตั้งพระทัยไว้


คำอธิบายเพิ่มเติม

ยอห์น 18:1-2
ยูดาสรู้ดีว่า พระเยซูกับพวกศิษย์ชอบมาที่สวนนี้ อธิษฐาน และสนทนากันเรื่องของพระเจ้า เขาเดาว่า อย่างไรคืนนี้ พระองค์คงต้องมาที่นี่แน่นอน และเขาเป็นผู้ที่พาทหารมาจับพระเยซู โดยได้รับค่าจ้างก่อนหน้านี้ น่าแปลกที่ยูดาสอยู่กับพระเยซูมานาน แต่กลับกลายเป็นผู้ที่หลงหาย สามารถทรยศพระอาจารย์เพื่อเห็นแก่เงินได้ เขาได้เรียนรู้จักพระเจ้ามาตั้งแต่ต้น เสียดายเหลือเกินที่เขาไม่ได้เปลี่ยนจิตใจ เปลี่ยนชีวิตเลย .. เขาเป็นต้นแบบที่ทำให้เรารู้ว่า ต่อให้รู้มากแค่ไหน อยู่ในทางพระเจ้ามานาน แต่หากไม่ยอม หากรักเงินมากกว่าพระเจ้า ชีวิตน่าเป็นห่วงนัก
ยอห์น 18:3-5
เราจะเห็นจากเหตุการณ์นี้ว่า พระเยซูไม่ได้กลัวทหารที่มากันเป็นจำนวนมาก พระองค์ทรงยืนเผชิญหน้ากับพวกเขา ที่ต้องพากันมามากแบบนี้เพราะเหล่าปุโรหิตเองกลัวว่าจะเกิดการต่อสู้กันขึ้น พวกเขาคิดว่า พระเยซูจะไม่ยอม อาจจะจับพระองค์ไม่ได้ เพราะว่า พวกเขาพยายามหลายครั้งมาก่อนหน้านี้ แต่ไม่เคยจับกุมพระองค์ได้เลย
สิ่งที่น่าสังเกตคือ ยอห์นเป็นคนเดียวที่บันทึกว่า มีทหารโรมเข้ามาด้วย รวมกับทหารที่ดูแลพระวิหาร (ยอห์น 18:3) แสดงว่า พวกผู้นำศาสนาต้องไปขอความร่วมมือจากปีลาตมาก่อนแล้ว
ยอห์น 18:6-8
ครั้งนี้ แค่พระเยซูตรัส พวกเขาก็ล้มลงทันที นี่แสดงว่า พระเยซูทรงมีฤทธิ์ที่จะเปลี่ยนสถานการณ์ได้ เหตุการณ์นี้ทำให้เรารู้ว่า ถ้าพระเยซูทรงประสงค์อะไร พระองค์ก็จะได้สิ่งนั้น แต่คืนนี้ เป็นคืนที่พระองค์ทรงประสงค์ที่จะทำตามพระบิดา และจะให้ทุกอย่างสำเร็จตามที่ทรงบอกกับศิษย์ล่วงหน้า และตามที่ได้มีการพยากรณ์ถึงพระองค์ไว้ก่อนหน้านี้หลายร้อยปี
พระเยซูทรงสั่งให้ทหารปล่อยศิษย์ทุกคนไป พระองค์ไม่ได้ให้เขาสักคนต้องถูกทำร้าย พวกเขายังมีพันธกิจที่จะต้องทำต่ออีก และพระองค์ได้ทูลต่อพระบิดาแล้วว่า พระองค์ไม่ได้ให้พวกเขาหายไปสักคนเดียว (ในบทที่ 17)
ยอห์น 18:9-11
แต่แล้วด้วยความใจร้อน ความโมโหสุดขีด เปโตรก็ได้เอาดาบที่เขามักจะพกไปด้วยนั้น ออกมาฟันหูทานคนหนึ่งขาดไปเลย … แทนที่พระเยซูจะชม กลับทรงตำหนิเขาและบอกว่า เหตุการณ์นี้มาจากพระบิดา เป็นถ้วยความตายที่พระองค์ต้องดื่ม ในบันทึกเล่มอื่นบอกว่า พระองค์ทรงหยิบหูของเขามาติดให้
ยอห์น 18:12-14
คายาฟาสเป็นปุโรหิตใหญ่ขณะนั้น แต่คนที่เป็นผู้กุมอำนาจของศาสนายิวในตอนนั้นจริง ๆ คืออันนาส ซึ่งเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์จากการถวายเครื่องบูชาในพระวิหาร เขาโกรธพระเยซูที่ทรงไปทำลายร้านค้า ร้านแลกเปลี่ยนเงินที่ทำธุรกิจในพระวิหาร ถึงสองครั้ง จริง ๆ เขาพยายามจับกุมพระองค์มาก่อนหน้านี้ แต่ไม่เคยทำสำเร็จ อันนาสเป็นพ่อตาของคายาฟาสอีกที เขามีลูกชายคนอื่น ๆ ที่ทำงานในพระวิหารอีกด้วย
ยอห์น 18:15-16
เปโตรกับศิษย์อีกคน ซึ่งคุ้นเคยกับคนในบ้านของปุโรหิตได้เข้าไปในบ้านนั้น ศิษย์อีกคนผู้นี้ไม่ได้กล่าวว่าชื่ออะไร แต่เราพอจะประเมินได้ว่าคือยอห์น ซึ่งเป็นผู้เขียนหนังสือเล่มนี้นั่นเอง ตอนแรกเปโตรก็แอบอยู่ริมประตู แต่แล้ว เพื่อนคนนี้ก็ได้พาเขาเข้าไปในลานบ้าน
ยอห์น 18:17-18
สาวใช้ในบ้านรู้ว่า อีกคนที่มากับเปโตรเป็นคนของพระเยซู เธอจึงถามเขาโดยที่จากภาษาที่ใช้ทำให้เรารู้สึกว่า เธอต้องการคำตอบว่า ไม่… ด้วยความกลัว เปโตรตอบว่า เขาไม่ได้เป็นศิษย์ของพระองค์ และตอนนั้นเองก็ทำให้เขากล้าเข้าไปผิงไฟกับคนในบ้าน
ยอห์น 18:19-20
มีรายละเอียดเรื่องการสอบสวนในบ้านของอันนาส ซึ่งเป็นคนใหญ่โตที่ไม่ได้มีอำนาจเป็นทางการ แต่อำนาจของเขาก็ยังมีอยู่ไม่น้อย เขาถามพระองค์เรื่องศิษย์ และคำสอน เขาต้องการได้หลักฐานที่บอกว่า พระองค์กำลังจะทำการลุกฮือต่อต้านโรม เพราะเป็นประเด็นที่เขาใช้เพื่อทำลายพระองค์
พระเยซูทรงตอบตรง ๆ ว่า ทรงสอนอะไรอย่างเปิดเผย ไม่ได้แอบสอน ไม่ได้แอบก่อตั้งกลุ่มศิษย์เพื่อต้านโรม
ยอห์น 18:21
ดูเหมือนว่าการสอบสวนพระเยซูไม่ได้คืบหน้าไปเท่าไร ในเมื่อพระเยซูก็ทรงสอนในที่สาธารณะอย่างตรงไปตรงมา ใคร ๆ ก็รู้ว่า พระองค์กล่าวถึงราชอาณาจักรของพระเจ้า กล่าวถึงการกลับใจใหม่ ทรงเทศนาหลายครั้ง ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการที่จะต่อต้านโรม (ซึ่งพวกเขาต้องการให้เป็นเช่นนั้น จะได้เอามาเป็นข้อกล่าวหาว่า พระองคกบฎ) พระองค์ทรงบอกให้เขาไปถามคนที่เคยได้ยินพระองค์สอน ซึ่งพวกเขาจะเป็นพยานได้ แต่พวกเขาไม่พอใจกับคำตอบ
ยอห์น 18:22-23
แล้วแทนที่พระองค์จะทรงตอบตรง ๆ กลับทรงบอกให้ไปถามคนที่ฟังว่า พระองค์ตรัสอะไร เป็นเหตุให้คนหนึ่งในที่นั้น เดือดขึ้นมาทันควันและตบพระพักตร์พระองค์ คนที่ตบพระพักตร์คงรู้สึกว่า พระเยซูช่างไร้มารยาทต่อหน้าผู้ใหญ่เหล่านี้
จากบ้านของอันนาส พวกเขาไม่อาจหาเหตุฟ้องร้องพระองค์เพื่อให้ถูกลงโทษประหารได้ อย่าลืมว่า การประหารของยิวจะใช้หินขว้างจนตาย ส่วนการประหารของโรมเป็นการตรึงกางเขน และช่วงเวลานี้ก็อยู่ในเทศกาลด้วย จะมาประหารคนในเวลานี้ก็แปลก ๆ อยู่ อันนาสจึงส่งพระเยซูไปบ้านคายาฟัส เขาต้องการให้คายาฟัสช่วยหาเหตุที่จะฟ้องพระเยซู
เราดูรายละเอียดที่เกิดขึ้นได้จาก มัทธิว 26:57-68, มาระโก 14:53-65, ลูกา 22:66-71
ยอห์น 18:24-26
ระหว่างนั้น ยอห์นก็หันมาดูเหตุการณ์ที่ลานบ้านอีกครั้ง ชายอีกคนตั้งคำถามเดียวกับหญิงสาวคนแรก เปโตรตกใจมาก บอกตัดความสัมพันธ์กับพระเยซูด้วยการปฏิเสธคำถามนั้น
ชายอีกคนเป็นญาติของทาสที่เปโตรตัดหู แล้วเปโตรก็ปฏิเสธพระเยซูเป็นครั้งที่สาม โดยที่มีไก่ขันบอกสัญญาณว่า เขาได้ทำอะไรลงไป เราดูรายละเอียดของเรื่องราวได้ที่มัทธิว มาระโกและลูกาได้เช่นกัน ตรงนี้เห็นว่า ยอห์นรู้จักคนในบ้านของปุโรหิตเป็นอย่างดี
ยอห์น 18:27-28
จริง ๆ แล้ว เหล่าผู้นำศาสนาของยิวต้องการประหารพระเยซู แต่กลับทำตัวบริสุทธิ์ ไม่อาจเข้าไปในศาลของโรมได้ จิตใจที่สกปรกของพวกเขาประกอบกับการทำตัวดูเคร่งครัดช่างขัดแย้ง แต่ไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่าแปลกแต่อย่างใด คนเราทุกวันนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่
ตอนนี้พวกเขาคิดว่า วิธีดีสุดในการกำจัดพระเยซูคือยืมมือของทหารโรมแล้วกัน ดังนั้นสิ่งที่ต้องได้คือ คำตัดสินจากปีลาต ซึ่งเป็นผู้ดูแลความสงบเรียบร้อยที่ถูกแต่งตั้งมาจากโรม พวกเขาสมคบคิดกันหาทางที่จะเอาชีวิตพระเยซูให้ได้ในครั้งนี้ จะไม่ยอมปล่อยไปเด็ดขาด
ยอห์น 18:29-32
จริง ๆแล้ว ปีลาตเป็นคนที่ดุร้าย และเกลียดชังพวกยิว ที่เขาต้องมาอยู่ในเยรูซาเล็มเวลานี้ก็เพราะถูกส่งมา เพื่อดูแลไม่ให้เกิดความวุ่นวายในเทศกาลปัสกา ปกติแล้วจะพักอยู่ที่เมืองอื่น ภรรยาของเขาเป็นลูกสาวคนสำคัญ คำถามแรกของเขาสมเหตุผลคือ จะฟ้องเรื่องอะไร.. แต่พวกเขาก็ไม่ตอบตรง ๆ กลับเลี่ยงคำตอบ
ความจริงพวกยิวเหล่านี้ก็คิดแล้วว่าจะต้องทำเหมือนว่า พระเยซูทรงกบฎต่อโรม ทรงเป็นคนที่ปลุกระดมคนขึ้นมาต่อต้านโรม … เพื่อว่าจะได้รับการตัดสินประหารจากปีลาตโดยตรง
ยอห์น 18:33-34
อิสราเอลไม่ได้อยู่ใต้กษัตริย์ใด หลายคนในช่วงเวลานั้นมักพูดกันไปว่า พระเยซูคือพระเมสสิยาห์ หรือพระผู้ช่วยให้รอดของอิสราเอล ทำให้เกิดการสับสนขึ้น พวกยิวชั้นสูงเหล่านี้อ้างว่า พระเยซูนำคนจำนวนมากไปทางผิด ฝ่าฝืนการจ่ายภาษีให้ซีซาร์ อ้างว่าพระองค์เองเป็นพระเมสสิยาห์ ซึ่งเหล่านี้ (ลูกา 23:2)ทำให้ปีลาตต้องถามพระเยซูว่า พระองค์คือกษัตริย์ของยิวหรือเปล่า?
คำตอบของพระเยซูไม่ได้ช่วยให้เขาเข้าใจอย่างที่ต้องการ นั่นคือ จริง ๆ แล้ว ยิวส่งพระองค์มาให้เขาตัดสินทำไม? ปีลาตอาจจะเริ่มมองเห็นภาพราง ๆว่า เขาเป็นหุ่นเชิดของยิว
ยอห์น 18:35-36
ปีลาตเองไม่เข้าใจว่า ทำไมเขาต้องมายุ่งกับความผิดทางศาสนาที่เขาไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย พวกผู้นำศาสนาควรที่จะจัดการกับพระเยซูไปเอง แต่กลับส่งนักโทษมาให้ การตอบโต้กันระหว่างปีลาตในช่วงนี้ ทำให้ปีลาตได้รู้ว่า พระเยซูทรงมีอาณาจักรที่ไม่ใช่เป็นแบบที่เขาเข้าใจ เขาเองรู้สึกไม่พอใจกับคำตอบของพระเยซู
ยอห์น 18:37-38
พระเยซูทรงยอมรับว่า พระองค์เป็นกษัตริย์ที่มาเกิดในโลกนี้เพื่อเป็นพยานถึงความจริง .. ซึ่งก็หมายความว่า พระเยซูเสด็จมาเพื่อบอกให้โลกรู้จักพระเจ้าผู้ทรงเป็นความจริง นำผู้คนกลับคืนดีกับพระเจ้า ได้รับชีวิตนิรันดร์ แต่คำพูดสั้น ๆ ของพระองค์นั้น ปีลาตไม่เข้าใจ แม้จะถามว่าความจริงคืออะไร แต่เขาไม่ได้ต้องการคำตอบในเวลานั้น เขาจึงออกไปหาพวกยิวที่ลานอีกครั้ง ยอห์น 18:39-40
ปีลาตเห็นว่า พระเยซูไม่มีความผิด แล้วเขาจึงใช้ประเพณีที่จะปล่อยนักโทษหนึ่งคนในเทศกาลปัสกามาใช้ เขาคาดการณ์ผิดคิดว่าประชาชนจะยินยอม แต่ผู้คนถูกพวกผู้นำศาสนาทั้งหลายปั่นหัวไว้เรียบร้อยแล้ว เหตุการณ์จึงพลิกอย่างที่ปีลาตไม่อาจทำอะไรได้เลย
ที่บอกว่า บารับบัสเป็นโจรนั้น คือ เขาเป็นโจรประเภทหัวรุนแรง เป็นพวกโหดเหี้ยม แต่กลับถูกเลือกให้ปล่อยออกมา จะเห็นได้ว่า ปีลาตถูกบังคับให้ทำตามความต้องการของเหล่าผู้นำศาสนายิวอย่างที่สู้อะไรกลับไม่ได้เลย …​พวกนี้ฉลาดเป็นกรด ทำทุกอย่างเพื่อประหารพระเยซู


พระคำเชื่อมโยง
1* มาระโก 14:26,32; 2 ซามูเอล 15:23
2* ลูกา 21:37; 22:39
3* ลูกา 22:47-53
4* ยอห์น 6:64; 13 ; 1,3; 19:28
5*มัทธิว 21:11; สดุดี 41:9
9* ยอห์น 6:39; 17:12
10* มัทธิว 26:51
11* มัทธิว 20:22; 26:39
13* มัทธิว 26:57; ลูกา 3:2; มัทธิว 26:3
14* ยอห์น 11:50
15* มาระโก 14:54; ยอห์น 20:2-5
16* มัทธิว 26:69
17* มัทธิว 26:34
20* ลูกา 4:15; ยอห์น 6:59; มาระโก 14:49
21* มาระโก 12:37
22* เยเรมีย์ 20:2; บทเพลงคร่ำครวญ 3:30
24* มัทธิว 26:57; ยอห์น 11:49
25* ลูกา 22:58-62
27* มัทธิว 26:34; ยอห์น 13:38
28* มาระโก 15:1; ยอห์น 18:32; กิจการ 10:28; 11:3
29* มัทธิว 27:11-14
32* มัทธิว 27:17-19, 26:2; ยอห์น 3:14, 8:28, 12:32-33
33* มัทธิว 27:11
36* 1 ทิโมธี 6:13; ดาเนียล 2:44; 7:14
37* มัทธิว 5:17; 20:28; อิสยาห์ 55:4; ยอห์น 4:6
39* ลูกา 23:17-25
40* กิจการ 3:14; ลูกา 23:19