สดุดี 141 ขอทรงฟังเสียงร้องทูล

 ส่วนหนึ่งของภาพ เสก็ตช์โดย
Rembrandt, King David at Prayer 1652

สดุดีของดาวิด

ความเร่าร้อนใจของดาวิด
1 โอ พระยาห์เวห์
ข้าร้องหาพระองค์ ขอทรงรีบมาหาข้าด้วย
ขอทรงเงี่ยพระกรรณฟังเสียงของข้า
เมื่อข้าร้องทูลต่อพระองค์
2 ขอให้คำอธิษฐานของข้า
เป็นดั่งเครื่องหอมต่อพระพักตร์ของพระองค์
ขอให้การชูมือขึ้นนั้น เป็นเครื่องบูชาเวลาเย็น

ถวายตัวอีกครั้ง
3 โอ พระยาห์เวห์ ขอทรงระแวดระวังปากของข้า
ขอทรงเฝ้ามองประตูริมฝีปากของข้า
4 ขออย่าทรงยอมให้ใจของข้าหันหาความชั่วใด ๆ
อย่าให้ข้าสนใจกับการกระทำที่ชั่วร้าย
หรือเข้าไปเกี่ยวข้องกับคนที่ทำชั่ว
และอย่าให้ข้ากินอาหารที่อร่อยของพวกเขาเลย
5ขอให้คนเที่ยงธรรม ตีสอนข้า เพราะนั่นคือน้ำใจ
ให้เขาตักเตือนข้า เพราะนั่นคือน้ำมันเจิมศีรษะข้า
อย่าให้ศีรษะของข้าปฏิเสธคำเตือนของเขา
ถึงกระนั้น ข้าก็ยังต่อต้านความชั่วร้ายของคนอธรรมอยู่
6 เมื่อผู้พิพากษาของพวกเขาถูกโยนลงมาจากหน้าผา
คนทั้งหลายก็จะฟังคำของข้า เพราะเป็นคำที่อ่อนโยน
7 กระดูกของพวกเรากระจัดกระจายที่ปากทางแดนตาย
เหมือนกับดินที่ถูกไถและแตกกระจายออกมา
8 แต่สายตาของข้าจับจ้องอยู่ที่พระองค์ โอพระเจ้า
องค์พระยาห์เวห์ ข้าเข้าไปหลบภัยในพระองค์
ขออย่าทรงปล่อยให้วิญญาณของข้าต้องรับอันตรายใด ๆ
9 ขอทรงช่วยข้าให้พ้นจากกับดักที่เขาเตรียมไว้ให้ข้า
จากบ่วงแร้วของคนที่ทำการชั่ว
10 ขอให้คนชั่วร้ายตกลงไปในบ่วงแร้วของพวกเขาเอง
ในขณะที่ข้าหนีไปอย่างปลอดภัย

พระคำเชื่อมโยง

1สดุดี 40:13; 70:5 2 ลูกา 1:10; วิวรณ์ 5:8; 8:3, 4
สดุดี 28:2; อพยพ 29:41
3* สดุดี 34:13; ,มีคาห์ 7:5
4* สดุดี 119:36 ; 94:4 ; สุภาษิต 23:6
5 สุภาษิต 9:8; 19:25; 25:12; 27:6; ปัญญาจารย์ 7:5; สดุดี 109:4
6* 2 พงศาวดาร 25:12; ลูกา 4:29; สดุดี 141:6
7* สดุดี 53:5;เอเสเคียล 37:1; สดุดี 141:7
8* สดุดี 25:15 ;11:1; 141:8
9* สดุดี 140:5
10* สดุดี Ps. 7:15

สดุดี 141:1-2
วันนั้น ท่ามกลางที่ประชุม ท่านขอให้คำอธิษฐานเป็นดั่งเครื่องหอมที่เผาถวายพระเจ้า ท่านชูมือขึ้นบ่งบอกว่า อยากจะอยู่ใกล้พระองค์ ขอพระองค์ทรงมองเห็น… สิ่งที่ดาวิดทำคือ ร้องทูลอธิษฐาน ชูมือขึ้นเป็นสัญญลักษณ์ของเครื่องหอมและเครื่องบูชา
คนที่พระเจ้าทรงใช้มาก คือคนที่เข้าใจว่าต้องอธิษฐานมาก เพราะว่านั่นคือ พลังที่แข็งแกร่งที่สุดในการที่จะก้าวสู้กับศัตรู

สดุดี141:3-10
แม้ว่าจะอธิษฐานขอพระเจ้าทรงจัดการกับศัตรู แต่อย่างแรกของดาวิดคือ ท่านขอให้พระเจ้าทรงระวังคำพูดของท่านนั้น ทำให้เห็นว่านี่เป็นคำอธิษฐานที่มีปัญญา บทที่แล้วเราเห็นว่า คนที่เป็นศัตรูคือคนที่ใช้ปากเป็นอาวุธ ดาวิดไม่ต้องการให้ตัวท่านเองเป็นเช่นนั้น
ท่านยังขอพระเจ้าที่ท่านจะไม่ตกหลุมไปทำการชั่วร้ายกับคนชั่ว (บางทีความชั่วรุนแรงจนเราเข้าไปเป็นพวกเขา)
ท่านขอให้พระเจ้าทรงช่วยให้ท่านยอมฟังคำเตือนจากคนของพระเจ้า เพราะคำเหล่านั้น เป็นเหมือนสิ่งที่ทำให้ชีวิตสดชื่น เป็นดั่งน้ำมันเจิมชำระชีวิต
ท่านรู้ว่าการเตือนของผู้ชอบธรรมมาจากพระเจ้า ดังนั้นท่านจึงต้องฟังให้ดี และขอให้ตนเองเปิดใจรับฟังคำที่มาจากคนของพระเจ้า
ตรงนี้ดูเหมือนเป็นข้อสั้น ๆ แต่นี่คือเคล็ดลับของความสำเร็จ คนที่รับการสอนได้ คือคนที่จะก้าวไปข้างหน้า แต่คนที่ไม่ฟังคำเตือน หรือคำสอนใด ๆ นั้นคือ โง่ที่คิดว่าตนฉลาด
ข้อ 6 เมื่อพระเจ้าทรงพิพากษาจัดการผู้นำของศัตรู
ดาวิดทูลขอพระเจ้าให้ประชาชนฝ่ายนั้น ฟังเสียงของท่านที่กล่าวออกมาอย่างมีพลัง
ข้อ 7 เป็นข้อที่ยากจะเข้าใจ ดาวิดอาจบรรยายให้เห็นว่า หากคนชั่วชนะ คนฝ่ายพระเจ้าจะเป็นอย่างไร
ข้อ 8-10 ขณะที่ดาวิดอธิษฐาน ดวงตาฝ่ายวิญญาณของท่านมองตรงไปที่พระเจ้า และขอหลบภัยในพระองค์เท่านั้น ขอพระเจ้าให้พ้นกับดักศัตรู เราเองต้องขอพระเจ้าให้เราพ้นกับดักมารที่มีอยู่รอบตัว มีอยู่ตรงหน้าเรา จ่ออยู่ทุกวัน …

ยอห์น  12 องค์ราชาปรากฏแก่ประชาชน

ความรักและความเกลียด การติดตามและการปฏิเสธพระเยซูจากผู้คน ปรากฏชัดในบทนี้

พระเยซูทรงถูกเจิมที่บ้านเบธานี

ยิวที่สนใจ

พระเยซูเสด็จเข้าเมืองอย่างราชา

มีคนตามหาพระองค์

คำเปรียบเมล็ดข้าวกับชีวิต

พระสุรเสียงจากสวรรค์ พระบุตรที่ถูกยกขึ้น

ยิวไม่เชื่อ

คำกล่าวแห่งชีวิตที่อาจให้โทษ

คำอธิบายเพิ่มเติมและข้อพระคำเชื่อมโยง

ยอห์น 12:1-8 พระเยซูทรงถูกเจิมที่บ้านเบธานี
น้ำมันนารดาที่มารีย์กำลังจะใช้ชโลมพระเยซูนั้น สกัดจากรากไม้ชนิดหนึ่งจากอินเดีย เธอเจิมน้ำมันนี้ที่พระบาทของพระเยซู เธอกำลังความรักเคารพพระเยซูอย่างสูง ราคาของน้ำมันนี้สูงถึงค่าแรง 1 ปีเลยทีเดียว
คนที่ไม่พอใจอย่างยิ่งสำหรับเรื่องนี้คือ ยูดาส ผู้เป็นคนดูแลการเงิน และเขาก็มักจะยักยอกเงินไปใช้ส่วนตัวเสียด้วย เขาจึงออกความเห็นว่า มารีย์ไม่ควรทำเช่นนี้ แต่พระเยซูทรงบอกเขาชัดว่า เธอกำลังทำเพื่อพระศพของพระองค์ (ทั้ง ๆ ที่มารีย์เองไม่รู้ว่าตนเองกำลังทำเช่นนั้นอยู่) อย่างหนึ่งที่พระเยซูบอกยูดาสคือ ไม่ต้องไปกังวล อยากช่วยคนจน จะช่วยเมื่อไรก็ได้เพราะอีกไม่นานพระองค์ก็ไม่อยู่แล้ว
1* ยอห์น 11:1,43 2* มัทธิว  26:11, มาระโก 14:3; ลูกา 10:38-41. 3*ยอห์น 11:2; เพลงซาโลมอน 1:12. 4*ยอห์น 13:26 6*ยอห์น 13:29. 8* มาระโก 14:7;

ยอห์น 12:9-11 ยิวที่สนใจ
ผู้คนที่ได้ข่าวว่าพระเยซูมาที่บ้านนั้น ต่างก็พากันมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น …. แต่จากเหตุการณ์เราได้รับรู้ว่า เหล่าปุโรหิตใหญ่ก็วางแผนที่จะสังหารลาซารัสด้วย ส่วนใหญ่เป็นพวกสะดูสีที่ไม่เชื่อในการคืนชีพ ดังนั้นการมีคนที่ตายไปจนขึ้นอึด แต่แล้วฟื้นขึ้นมาอยู่ต่อหน้าต่อตาแบบนี้เป็นการหยามความเชื่อกันมาก ๆ
ในทางตรงข้าม ก็มียิวที่หันมาเชื่อพระเยซูจริงจังกันขึ้นอีก การคืนชีพของลาซารัสนั้น พิสูจน์ว่า พระเยซูทรงมาจากพระเจ้าจริง ๆ คนที่เคยเชื่อก็ยิ่งเชื่อมั่นขึ้นไปอีก
9* ยอห์น 11:43,44. 10* ลูกา 16:31. 11* ยอห์น 11:45, 12:18

ยอห์น 12:12-23 องค์ราชามาเยี่ยมเยือน
คนยิวที่มางานเทศกาลปัสกานั้น มาจากทุกทิศ และเมื่อเขาได้ข่าวเรื่องพระเยซู ก็พากันมาต้อนรับพระองค์ ซึ่งทรงลาอย่างที่เศคาริยาห์ ได้กล่าวล่วงหน้าไว้นานแล้ว
ดูสิ ขณะที่พระเยซูทรงลา พวกเขายังมองพระองค์เป็นกษัตริย์ที่จะมาปลดแอกจากโรม พวกเขาร้องว่าพระองค์มาจากพระเจ้า นำเอาใบปาล์มซึ่งนิยมใช้กับการฉลองต่าง ๆ มาโบกต้อนรับพระองค์ ร้องตะโกนคำว่า โฮซันนา คือขอทรงช่วยเดี๋ยวนี้ และและเมื่อพวกเขาร้องว่า พระผู้เสด็จมาในพระนามของพระเจ้า นั่นก็หมายถึงพระเมสสิยาห์ที่พระเจ้าทรงเจิมนั่นเอง
พวกเขาสรรเสริญพระองค์อย่างกึกก้องไปทั่วเมือง เท่ากับต้อนรับพระองค์ในฐานะผู้ที่พระเจ้าทรงเจิม ตามคำในสดุดี 118:25-26
ประชาชนร้องขอให้พระเยซูทรงช่วย แต่พวกเขาลืมสังเกตไปว่า พระองค์ไม่ได้ขี่ม้า ไม่สวมเครื่องแบบทหารเข้ามา พระองค์ทรงขี่ลา ซึ่งมีความหมายถึงสันติ
เหตุการณ์นี้พร้อมกับการคืนชีพของลาซารัส จุดความโกรธของเหล่าปุโรหิตให้รุนแรงขึ้นไปอีก
ในขณะเดียวกัน พระเยซูกลับเป็นคนที่ชาวกรีกมาตามหา เพราะอยากรู้จักเหลือเกิน
ส่วนพระเยซูล่ะ พระองค์ทรงรู้สึกตื่นเต้นกับการที่ประชาชนพากันมาชื่นชมพระองค์หรือเปล่า? … ลองกลับไปอ่านลูกา 19:41-44 พระองค์ทรงทรมานใจเหลือเกิน….
12*มัทธิว 21:4-9 13* สดุดี 118:25-26 14* มัทธิว 21:7 15*เศคาริยาห์ 9:9 16*ลูกา 18:34; ยอห์น 7:39; 12:23; 14:26. 18* ยอห์น 12:11 19* ยอห์น 11:47-48. 20*กิจการ 17:4, 1 พงศ์กษัตริย์ 8:41,42 21*ยอห์น 1:43,44; 14:8-11 23* ยอห์น 13:32, กิจการ 3:13

ยอห์น 12:24-26 คำเปรียบเมล็ดข้าวกับชีวิต
เมื่อพระเยซูทรงรู้ว่า มีชาวต่างชาติมาตามหาพระองค์ จึงทรงบอกศิษย์ว่า ถึงเวลาที่พระองค์จะได้รับเกียรติ ซึ่งไม่มีใครในหมู่ศิษย์เข้าใจเลย
พระเยซูทรงกล่าวถึง
*เมล็ดพืชที่ต้องตาย และงอกขึ้นมา เพื่อว่าจะเกิดผลมาก … พระองค์กำลังตรัสถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ที่จะต้องเกิดขึ้นเพื่อคนทั้งโลกจะได้รับความรอด และไม่ใช่แค่พระองค์เท่านั้น แต่ผู้รับใช้ของพระองค์จำนวนมากก็ได้กลายเป็นเมล็ดที่ ตายไปเพื่อการเกิดผลด้วยเช่นกัน
* คนที่รักชีวิตต้องทำอย่างไร นี่เป็นคำเตือนที่สำคัญมาก คนที่มีชีวิตเพื่อตัวเองเท่านั้น กลับกลายเป็นคนที่เสียชีวิตไปเปล่า ๆ แต่คนที่ใส่ใจคนอื่น ใส่ใจน้ำพระทัยพระเจ้านั้น แม้จะต้องเสียสละชีวิตของตน เหมือนว่าไม่ได้ทำอะไรเพื่อตัวเอง กลับจะเป็นคนที่ได้รับสิ่งที่เป็นนิรันดร์
* คนที่จะรับใช้พระเจ้า ต้องทำอย่างไร ก็คือตามพระองค์ไป อยู่ใกล้ชิดพระองค์ พูดดูเหมือนสั้น แต่ทำจริงหมายถึงทั้งชีวิต แต่สิ่งที่เขาจะได้รับนั้น เหลือเชื่อ!!… คือ พระเจ้าจะทรงให้เกียรติเขาคนนั้น
24* 1โครินธ์ 15:36 25* มาระโก 8:35 26*มัทธิว 16:24; ยอห์น 14:3, 17:24

ยอห์น 12:27-36. พระสุรเสียงจากสวรรค์ พระบุตรที่ถูกยกขึ้น
ตอนนี้เราเห็นความทุกข์ใจของพระเยซูเองเพราะเรื่องที่พระองค์ต้องสิ้นพระชนม์บนกางเขน ต้องเป็นเมล็ดพืชที่ต้องตาย เป็นความทุกข์ที่ไม่มีใครตอนนั้นเข้าใจเลย … ตอนนั้นเองเป็นช่วงเวลาที่พระองค์ทรงติดต่อกับพระบิดา เป็นเวลาที่พระองค์ทรงเจ็บปวดพระทัย พระองค์ไม่ได้แสดงว่าทรงเป็นวีรบุรุษ เป็นอัศวิน แต่ทรงเปิดเผยความรู้สึกของพระองค์ที่จะต้องเผชิญกับไม้กางเขนที่ไม่ใช่ความบาปของพระองค์ และเผชิญกับความตายอันน่าอับอาย
แต่…ในที่สุดพระเยซูถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า !
ไม่ว่าพระองค์จะต้องเผชิญกับอะไร พระองค์จะถวายพระเกียรติพระบิดา จะเชื่อฟังพระองค์ จะทำตามแผนที่ได้ตกลงกันไว้เพื่อโลกที่พระเจ้าทรงรัก


แล้วพระเจ้าทรงตอบลงมาจากสวรรค์อย่างมหัศจรรย์ คนในที่นั้นได้ยินเสียงของพระบิดา แต่พวกเขาคิดว่าเป็นเสียงฟ้าร้องบ้าง เสียงทูตสวรรค์บ้าง เราจึงพอประเมินได้ว่า หลายคนไม่ได้ยินเป็นเสียงพูดที่ชัดเจน
พระเจ้าได้ทรงให้เกียรติพระเยซูในการเกิดจากหญิงสาวพรหมจารี จากทำงานของพระองค์ การอัศจรรย์ต่าง ๆ มาโดยตลอด และต่อไปพระเจ้าจะทรงให้เกียรติแก่พระบุตรจากการสิ้นพระชนม์ การคืนพระชนม์ และการเสด็จสู่สวรรค์ด้วย ตอนนั้นไม่มีใครที่อยู่กับพระเยซูเข้าใจอะไร ที่พวกเราเข้าใจเพราะเราเห็นภาพทั้งหมดโดยรวมแล้ว
พระเยซูทรงสรุปให้พวกเขาว่า เมื่อทรงคืนพระชนม์คนทั้งหลายจะกลับเข้ามาหาพระองค์ แต่ตอนนั้น ทุกคนที่ฟังอยู่ก็ยังไม่เข้าใจ
พระเยซูไม่ได้ตอบคำถามของพวกเขา แต่ทรงเตือนให้เขาเดินในความสว่าง เพราะว่าความสว่าง(คือพระองค์) จะไม่ได้อยู่กับเขานานนัก แล้วจากนั้น พระองค์ก็จากพวกเขาไป
27* มัทธิว 26:38,39; ลูกา 22:53 28* มัทธิว 3:17; 17:5 30*ยอห์น 11:42 31* 2 โครินธ์ 4:4 32*ยอห์น 3:14; 8:28; โรม 5:18 33* ยอห์น 18:32; 21:19 34* มีคาห์ 4:7 35*ยอห์น 1:9; 7:33; 8:12; เอเฟซัส 5:8; 1 ยอห์น 2:9-11 36* ลูกา 16:8; ยอห์น 8:59






ยอห์น 12:37-43 ยิวไม่เชื่อ
ถึงแม้ว่า พระเยซูทรงทำการอัศจรรย์ที่สำคัญมากมาย ซึ่งชี้ให้เห็นว่า พระองค์คือ ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมมาให้เป็นพระเมสสิยาห์ แต่ยิวโดยเฉพาะพวกที่ติดอยู่กับพิธีกรรม บัญญัติ ก็ไม่เชื่อว่า พระองค์เป็นพระเมสสิยาห์ คำว่าเชื่อนั้น ปรากฏในพระคำช่วงนี้หลายครั้งทีเดียว
การไม่เชื่อของพวกยิวมีการพยากรณ์ไว้ล่วงหน้าโดยท่านอิสยาห์ ใจที่แข็งอยู่ในหัวใจของคนที่คิดว่าตัวเก่ง มีกรอบความคิดว่า ฉันถูกต้องคนเดียว คนอื่น ไม่ใช่ แถมยังไม่ฟังใคร
แต่ยังมีอุปสรรคสำหรับคนที่เชื่อด้วย พวกเขาใจอ่อนกับประเพณี กฎเกณฑ์ วัฒนธรรมของศาสนาเดิม กังวลว่าจะไม่มีตำแหน่ง อาจถูกไล่ออกจากพวก คนเหล่านี้แม้อยากเชื่อแต่ก็ไม่อาจติดตามพระเยซูได้
การเชื่อในพระเยซูนั้น ต้องมีการเปิดเผยให้คนอื่นรู้ เราจึงมีการบัพติศมา เป็นการยอมรับพระเจ้าด้วยใจและปากว่า จะติดตามพระองค์จริง ๆ
37* ยอห์น 11:47 38* อิสยาห์ 53:1 40* อิสยาห์ 6:9,10; มัทธิว 13:14 41* อิสยาห์ 6:10 42* ยอห์น 7:13; 9:22 43* ยอห์น 5:41,44

ยอห์น12:44-50 คำกล่าวแห่งชีวิตที่อาจให้โทษ
พระเยซูทรงกล่าวด้วยเสียงอันดัง ทำให้ เรารู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก นั่นคือ หากคนใดเชื่อพระเยซู เท่ากับเชื่อพระเจ้า. คนใดเห็นพระองค์เท่ากับเห็นพระเจ้าพระบิดาด้วย พระองค์ทรงเป็นผู้ทำลายความมืดในชีวิตของทุกคน
พระคำของพระเจ้าที่นำชีวิตให้ทุกคน จะกลายเป็นคำที่กล่าวโทษพวกเขาเพราะพวกเขาที่ได้ยิน ไม่ยอมเชื่อ น่าเสียดายจริง ๆ ได้ยินแล้ว แต่ไม่เชื่อ!
และพระเยซูยังทรงยืนยันว่า สิ่งที่ตรัสกับพวกเขาไม่ใช่สิ่งที่ทรงคิดขึ้นเอง แต่ทรงกล่าวตามที่พระบิดาให้ตรัส พระบุตรทรงบอกให้เราชัดเจนว่า คำของพระองค์มาจากพระบิดาโดยตรง
44* มาระโก 9:37; ยอห์น 3:16,18,36 ; 11:25-26; ยอห์น 5:24 45* ยอห์น 14:9 46*ยอห์น 1:4-5; 8:12; 12:35-36. 47* ยอห์น 5:45; 3:17 48* ลูกา 10:16; เฉลยธรรมบัญญัติ 18:18-19 49* ยอห์น 8:38; เฉลยธรรมบัญญัติ 18:18 50* ยอห์น 5:19; 8:28

สดุดี 140 ขอทรงช่วยให้พ้นจากคนปากร้าย

ถึงหัวหน้านักร้อง เพลงสดุดีของดาวิด

คำร้องทูลจากดาวิด
1 โอ พระยาห์เวห์
ขอทรงช่วยกู้ข้าให้พ้นจากคนชั่วด้วยเถิด
ขอทรงป้องกันข้าจากคนที่ใช้ความรุนแรง
2 ผู้ที่วางแผนชั่วไว้ในใจ
ก่อกวนให้เกิดสงครามไม่หยุดยั้ง
3 เขาลับลิ้นให้คมราวกับลิ้นของงู
และใต้ริมฝึปากของเขามีพิษร้ายของงู

4โอ พระยาห์เวห์
ขอทรงปกป้องข้าให้พ้นจากมือของคนชั่ว
ขอทรงพิทักษ์ข้าไว้จากคนโหดร้าย
ที่วางแผนทำให้ข้าลื่นล้มลง
5 คนหยิ่งยโสได้ซ่อนกับดักไว้ดักข้า
และกางตาข่ายไว้พวกเขาวางบ่วงแร้วไว้ ดักข้า
6 ข้าทูลต่อพระยาห์เวห์ว่า
พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้า
ขอทรงเงี่ยพระกรรณฟังเสียงร้องขอ
ความเมตตาจากข้าด้วย

7 โอ พระยาห์เวห์
พระยาห์เวห์ของข้า
ทรงเป็นกำลังแห่งความรอดของข้า
พระองค์ทรงปกป้องศีรษะของข้า
ในวันที่ข้าสู้รบ
8 โอ พระยาห์เวห์
ขออย่าทรงให้ความต้องการของคนชั่วร้ายนั้น
สำเร็จผลเลย
ขออย่าทรงให้แผนของเขาคืบหน้าไป
มิฉะนั้นพวกเขาจะได้รับการยกย่อง

เซ ลาห์

ดาวิดกล่าวโทษคนชั่วร้าย
9 ขอให้หัวของคนที่ล้อมรอบข้าอยู่นั้น
ได้รับผลตอบสนอง
จากริมฝีปากที่ประสงค์ร้ายของพวกเขา
10 ขอให้ถ่านลุกโพลงสุมอยู่เหนือพวกเขา
ให้พวกเขาถูกโยนลงในกองไฟ
ลงไปในหลุมลึกที่ไม่อาจขึ้นมาได้
11 ขออย่าทรงให้คนปากร้ายตั้งตนได้ในแผ่นดิน
ขอให้ความชั่วตามล่าคนรุนแรงอย่างรวดเร็ว

ดาวิดมั่นใจในพระเจ้า
12 ข้ารู้ว่า พระยาห์เวห์จะทรงปกป้องคนที่ถูกข่มเหง และจะประทานความยุติธรรมแก่คนยากไร้
13 แน่ทีเดียว.. คนเที่ยงธรรมจะได้กล่าวคำขอบพระคุณพระนามของพระองค์
และคนเที่ยงตรงจะได้อยู่ต่อพระพักตร์ของพระองค์

พระคำเชื่อมโยง

1* สดุดี 71:4; 119:153, 170; 18:48; สุภาษิต 3:31
2* สดุดี 56:6
3* สดุดี 52:2; 58:4; 10:7; โรม 3:13
4ดูข้อ 1 5 สดุดี 35:7; 141:9; 142:3; เยเรมีย์ 18:22 ;
โยบ 18:8-10; สดุดี 140:5 สดุดี 64:5
6* สดุดี 142:5; 28:2; 31:22; 130:27* สดุดี 28:8
8* สดุดี 35:25; 140:8; อิสยาห์ 14:21
9* สุภาษิต 12:13; 18:7]; สดุดี 7:16
10* สดุดี 11:6; 18:13
11*
12* สดุดี 9:4; 1 พงศ์กษัตริย์ 8:45, 49, 59
13* สดุดี 64:10; 11:7

สดุดี 140:1-8 คำร้องทูลจากดาวิด
ชีวิตของกษัตริย์ดาวิดก่อนที่จะเป็นกษัตริย์นั้น เต็มด้วยการต่อสู้ การนองเลือดไม่หยุดหย่อน ท่านต้องเผชิญกับความเกลียดชังที่โหดร้าย ศัตรูที่ใช้ความรุนแรง โดยเริ่มจากคำพูดใส่ร้ายก่อน และถ้าหากเราจะดูในวันนี้ พี่น้องคริสเตียนที่ต้องเผชิญเหตุการณ์อย่างเดียวกับดาวิดนั้น ก็มีอยู่ทั่วโลก คำอธิษฐานอันร้อนใจของท่านในบทนี้ เป็นต้นแบบให้กับคนอีกเป็นจำนวนมากที่ต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า สิ่งที่ท่านกล่าวคือ ทูลพระเจ้าว่า คนที่ชั่วร้ายนั้น เขาทำอย่างไร ขอพระเจ้าทรงเมตตา เพราะพระเจ้าของดาวิดยิ่งใหญ่นัก
คำอธิษฐานคือ ขออย่าให้แผนการของคนชั่วสำเร็จ … และนี่ก็เป็นคำอธิษฐานของผู้เชื่อที่กำลังเผชิญกับความชั่วร้ายอยู่

สดุดี 140:9-11 ดาวิดกล่าวโทษคนชั่วร้าย
คำจากปากที่ประสงค์ร้ายเป็นสิ่งที่เราชินกันจนเกือบจะเฉยแล้ว มันเกิดขึ้นในโลกโซเชียลอย่างรุนแรง น่ากลัว แต่ดาวิดกับเราก็เช่นกัน
การแก้แค้นไม่ได้อยู่ที่เรา แต่เป็นของพระเจ้า ดาวิดได้ขอให้ถ่านลุกโพลงสุมหัวพวกเขา ในข้อ 10 นั่นคือ ท่านกำลังขอการพิพากษาของพระเจ้า ในบทนี้ เราเห็นเลยว่า สงครามเริ่มต้นที่ปากร้าย

สดุดึ 140:12-13 ดาวิดมั่นใจในพระเจ้า
ดาวิดมีความมั่นใจในพระเจ้าอย่างไม่หวั่นไหว จะพบเจอกับศัตรูหน้าไหนท่านก็ยังเชื่อในพระเจ้าอยู่ ท่านเชื่อว่าพระเจ้าจะประทานความยุติธรรมให้ และท่านรู้ว่าท่านเป็นหนึ่งในคนเที่ยงธรรมและเที่ยงตรงเพราะท่านเป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้า




สดุดี 139 พระดำริที่มากกว่าเม็ดทราย

ถึงผู้นำคณะนักร้อง สดุดีของดาวิด

พระเจ้าผู้ทรงรอบรู้
1 โอ พระยาห์เวห์
พระองค์ได้สืบค้นตัวข้า และทรงรู้จักข้า
2ยามที่ข้านั่งลงหรือลุกขึ้น พระองค์ทรงทราบ
พระองค์ทรงตระหนักรู้ถึงความคิดของข้าแต่ไกล
3 พระองค์ทรงตรวจหนทางของข้า การล้มตัวนอนของข้า
พระองค์ทรงคุ้นเคยกับวิถีทั้งสิ้นของข้า
4 โอ พระยาห์เวห์
ดูเถิด แม้ก่อนที่ข้าจะเอ่ยคำออกมา
พระองค์ทรงทราบเนื้อความทั้งหมดแล้ว
5 พระองค์ทรงอยู่ล้อมรอบข้าทั้งหลังและหน้า
ทรงวางพระหัตถ์บนตัวข้า
6ความรู้ของพระองค์เช่นนั้น
อัศจรรย์เหนือข้า สูงเกินที่จะเข้าใจได้

พระเจ้าผู้ทรงอยู่ทุกหนทุกแห่ง
7 ข้าจะออกไปที่ใดให้พ้นพระวิญญาณของพระองค์ได้?
ข้าจะหนีไปไหนให้พ้นจากพระพักตร์ของพระองค์ได้?
8 หากข้าขึ้นไปถึงสวรรค์ พระองค์ทรงอยู่ที่นั่น
หากข้าจะลงไปนอนในแดนตาย พระองค์ก็ทรงอยู่ที่นั่นด้วย
9 หากข้าสวมใส่ปีกแห่งยามเข้า
และอาศัยอยู่สุดขอบทะเล.
10 แม้ ณ ที่นั่น พระหัตถ์ของพระองค์จะทรงนำทางให้ข้า
พระหัตถ์ขวาของพระองค์จะจับข้าไว้
11 หากข้ากล่าวว่า “ความมืดบังข้าไว้แน่
หรือให้ความสว่างรอบตัวข้ากลายเป็นกลางคืน”
12 แม้ความมืด ก็ไม่มืดสำหรับพระองค์
กลางคืนก็สว่างกระจ่างราวกลางวัน
สำหรับพระองค์ ความมืดก็เป็นเหมือนความสว่าง

พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ทุกด้าน
13 เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้สร้างภายในร่างของข้า
ทรงถักทอตัวข้าไว้ในครรภ์มารดา
14 ข้าสรรเสริญพระองค์
เพราะข้าถูกสร้างขึ้นมาอย่างน่าพรั่นพรึงและน่าอัศจรรย์
15 โครงร่างของข้าไม่ได้ถูกซ่อนจากพระเนตรของพระองค์
ยามที่ข้าถูกสร้างขึ้นมาในที่ลับลี้
ถูกทอขึ้นมาอย่างประณีตในที่ลึกของแผ่นดิน
16 พระองค์ทรงมองเห็นข้าตั้งแต่ตัวยังไม่เป็นรูปร่าง
เวลาทั้งสิ้นที่กำหนดให้ข้าถูกบันทึกไว้ในหนังสือของพระองค์
ก่อนที่เหตุการณ์แต่ละวันจะเกิดขึ้นมา
17 โอ พระเจ้าข้า พระดำริของพระองค์ที่มีต่อข้านั้น
มากมายเกินพรรณา ทรงคุณค่าสำหรับข้า
ขอทรงนำข้าไปยังหนทางนิรันดร์
18 ถ้าข้าจะนับพระดำริ ก็มีมากมายเกินกว่าเม็ดทราย
เมื่อข้าตื่นขึ้นมา ข้าก็ยังคิดคำนึงถึงพระองค์

พระเจ้าองค์บริสุทธิ์ ผู้ตรวจสอบจิตใจ
19 ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงสังหารคนชั่ว
โอ คนกระหายเลือดจงไปให้พ้นจากข้า
20 พวกเขากล่าวต่อต้านพระองค์ ด้วยเจตนาร้าย
ศัตรูของพระองค์ ใส่ร้ายพระนาม….
21 โอพระยาห์เวห์
ข้าไม่เกลียดชังคนที่เกลียดพระองค์หรอกหรือ?
22 ข้าเกลียดพวกเขาจริง ๆ ข้าถือว่าพวกเขาเป็นศัตรูของข้า
23 โอ พระเจ้า
ขอทรงค้นใจข้า และรู้ถึงจิตใจของข้า
ขอทรงทดสอบข้า และทรงหยั่งรู้ถึงความคิดของข้า
24ขอทรงตรวจดูว่า มีความเลวชั่วใด ๆ ในตัวข้าหรือไม่
และขอทรงนำข้าไปในทางนิรันดร์ ….

พระคำเชื่อมโยง


1* เยเรมีย์ 12:3; สดุดี 7:9; 17:3; 44:21
2* 2 พงศาวดาร19:27; เพลงคร่ำครวญ 3:63
โยบ 14:16; 31:4; มัทธิว 9:4; ยอห์น 2:24, 25
3*
4* ฮีบรู 4:13
5* โยบ19:8; 9:33
6* โรม 11:33 โยบ 42:3
7* เยเรมีย์ 23:24 8* อาโมส 9:2
โยบ 26:6 10* ดูข้อ 24; สดุดี 23:3
11* โยบ 22:14
12* โยบ 34:22; ดานิเอล 2:22
13* เฉลยธรรมบัญญัติ 32:6; โยบ 10:11 14 สดุดี 139:14 ;สดุดี 72:18
15* โยบ10:8-10; ปัญญาจารย์ 11:5; สดุดี 63:9
16* สดุดี 56:8
17* สดุดี 92:5
18* สดุดี 40:5 ; ปฐมกาล 22:17
19* อิสยาห์ 11:4; สดุดี 9:17;สดุดี 5:6; 6:8
20* อพยพ 20:7; สดุดี139:20
21* สดุดี 26:5;119:158; 59:1
22*
23* สดุดี 26:2 139:23
24* เยเรมีย์ 6:16; 18:15 สดุดี139:24

สดุดีบทนี้ ได้ย้ำให้เราได้รู้ถึงพระลักษณะของพระเจ้าที่สำคัญยิ่งคือ พระองค์ทรงรอบรู้ ทรงอยู่ทุกแห่ง ทรงฤทธิ์ และทรงทดสอบใจเรา
แบ่งออกเป็น 4 ตอน ตอนละ 6 ข้อ
สดุดี 139:1-6 พระเจ้าผู้ทรงรอบรู้
ข้อ 1-6 นี้ บอกเราว่า ไม่มีอะไรในโลกที่พระเจ้าไม่ทรงทราบ และทรงทราบเพื่อสวัสดิภาพของคนที่รักพระองค์ ในขณะที่หลายคนเชื่อศาสดาที่ตายไปแล้ว เขาจึงได้แต่ขอพร และขอโน่นนี่ แต่ไม่มีโอกาสที่จะมีความสัมพันธ์กับศาสดาที่ตายไปแล้ว
พระเจ้าของเราทรงเป็นพระเจ้าที่ทรงรู้จักเราเป็นอย่างดี ความอบอุ่นจึงมีในชีวิตของผู้ที่เชื่อ
ข้อ 1 พูดถึงการที่พระเจ้าทรงสืบค้นชีวิตของเรา และยังเป็นคำอธิษฐานในตอนจบในข้อ 24 ด้วย ทั้งนี้ เพื่อว่า พระเจ้าจะทรงช่วยให้เราได้สลัดความชั่วออกไปจากใจของเรา
ข้อ 5 เป็นสิทธิพิเศษสุด เพราะพระเจ้าทรงล้อมหน้าหลังเอาไว้ และทรงปกป้องด้วยพระหัตถ์ ทั้งหมดนี้สูงเกินความเข้าใจ

สดุดี 139:7-12 พระเจ้าผู้ทรงอยู่ทุกหนแห่ง
ข้อ 7-12 ชัดเจนมาก พระเจ้าทรงอยู่ทุกแห่งไม่พอ พระองค์ทรงอยู่กับเราทุกแห่ง โดยที่เราไม่อาจพ้นไปจากพระพักตร์เลย คนที่รักบาป รักโลกจึงไม่ต้องการสภาพแบบนี้ เขาไม่ต้องการให้พระเจ้าเห็น เขาต้องการอยู่เอง เขาต้องการที่จะไม่มีพระองค์ แต่สำหรับคนที่รักพระเจ้า นี่เป็นความจริงที่ทำให้มีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข

สดุดี 139:13-18 พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ทุกด้าน
ข้อ 13-18 บอกเราว่า พระองค์ทรงเห็น ทรงสร้างเรามาในที่ลึกของแผ่นดิน นั่นหมายถึงในครรภ์ของแม่ ดาวิดใช้คำว่า การถักทอของพระเจ้า ใช่แล้ว เรามีทั้งกล้ามเนื้อ เอ็น เส้นเลือด และอีกหลาย ๆ อย่างที่ประกอบกันขึ้นเป็นตัวเรา พระเจ้าทรงเห็นทั้งหมด และสิ่งที่มหัศจรรย์ยิ่งคือ ทุกสิ่งที่กำหนดในชีวิตของเรา ก็มีบันทึกไว้ล่วงหน้าแล้วด้วย
เราจึงเห็นว่า พระเจ้าทรงคิดถึงเราแต่ละคน คนเดียวก็มีความคิดของพระเจ้ามากราวเม็ดทราย แล้วคนทั้งโลกล่ะ .. เกินความเข้าใจจริง ๆ ..

สดุดี 139:19-24 พระเจ้าองค์บริสุทธิ์ ผู้ตรวจสอบจิตใจ
ดาวิดกล่าวถึงศัตรูของพระเจ้า ที่ใส่ร้ายพระนามของพระองค์ ท่านมีแต่ความเกลียดชังให้พวกเขา ไม่ได้อยู่เฉย ทองไม่รู้ร้อน แต่มีความรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ

แล้วในที่สุด ดาวิดกลับมาขอพระเจ้าทรงทดสอบใจ ทรงตรวจสอบความคิดเพื่อไม่ให้มีสิ่งใดที่ผิดต่อพระองค์หลงเหลืออยู่อีก เพราะว่า ท่านเองรู้สึกว่ายังมีบาปที่มองไม่เห็นที่ต้องการให้พระเจ้าทรงกำจัด และสุดท้ายคือ ท่านขอให้พระเจ้ากับท่านได้อยู่ด้วยกันในชีวิตนิรันดร์