สดุดี 39 ขอพระเจ้าทรงอภัยและเมตตา

ถึงหัวหน้านักร้อง ถึงเยดูธูน เพลงสดุดีของดาวิด

เจ็บปวดรวดร้าว และนิ่งเงียบ
1 ข้ากล่าวว่า “ข้าจะเฝ้าระวังทางของข้า
เพื่อจะไม่ทำผิดด้วยลิ้นของข้า
ข้าจะครอบปากของข้าไว้ขณะที่คนชั่วอยู่ต่อหน้าข้า
2 ข้าพูดไม่ออก และเงียบไป
ข้าหลีกเลี่ยงแม้กระทั่งสิ่งดี ๆ
ความทุกข์ใจของข้าก็เพิ่มขึ้น
3 ใจของข้าร้อนรุ่มอยู่ข้างใน
ขณะที่ข้าครุ่นคิด ไฟก็ลุกโหมขึ้น
ข้าจึงพูดขึ้นด้วยลิ้นว่า

เอ่ยคำแห่งปัญญา
4 โอ พระยาห์เวห์ ขอทรงให้ข้ารู้จุดจบของข้า
และจำนวนวันเวลาของชีวิตข้า
ให้ข้ารู้ว่าข้ามีชีวิตสั้นเพียงไร
5 จริง ๆ แล้ว พระองค์ทรงทำให้วันเวลาของข้าสั้นนัก
อายุของข้าเท่ากับศูนย์ต่อพระพักตร์พระองค์
ขอทรงให้ข้ารู้ว่า ชีวิตนั้นเปราะบางเพียงไร
6 ที่จริง มนุษย์ก็เดินทางชีวิตราวกับเงา
พวกเขาใช้ชีวิตวุ่นไปเหมือนลมหายใจ
สะสมทรัพย์สมบัติไว้โดยไม่รู้ว่า ใครจะรวบมันไป

วางใจพระเจ้าที่พระองค์ทรงลงวินัย
7 และบัดนี้ โอ้ องค์เจ้านาย ข้ารอคอยอะไรอยู่?
ความหวังของข้าอยู่ในพระองค์
8 ขอทรงช่วยข้าให้พ้นจากการล่วงละเมิดทั้งสิ้น
ขออย่าให้ข้ากลายเป็นขี้ปากของคนโง่
9 ข้าจำต้องเงียบ ไม่อาจเปิดปากพูดอะไรได้
เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ทำให้เป็นอย่างนี้
10 ขอทรงเอาความทรมานออกไปจากข้า
ข้าเกือบจะตายไปเพราะแรงจากพระหัตถ์ของพระองค์
11 พระองค์ทรงลงวินัยแก่มนุษย์ด้วยการลงโทษบาป
ทรงเผาผลาญสิ่งที่เขาเห็นว่างดงาม มีค่า มีค่าไปเสีย
ที่จริง มนุษย์ทุกคนเป็นเพียงลมหายใจ เซ ลาห์

อธิษฐานขอการรื้อฟื้นและกำลังใหม่
12 ขอทรงฟังคำอธิษฐานของข้า โอ พระยาห์เวห์
ขอทรงเปิดพระกรรณฟังเสียงร้องขอความช่วยเหลือ
ขออย่าทรงเฉยต่อน้ำตาของข้า
เพราะข้าเป็นคนต่างถิ่น เป็นคนแปลกหน้าต่อพระองค์
เหมือนกับบรรพบุรุษทั้งหมด
13 ขอทรงหันพระพักตร์ไปจากข้า เพื่อข้าจะยิ้มได้อีก
ก่อนที่ข้าจะจากไป และไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป

พระคัมภีร์เชื่อมโยง

1* โยบ 2:10; สดุดี 34:13; ยากอบ 3:5-12

2* สดุดี 38:13

3*เยเรมีย์ 20:9

4* สดุดี 90:12; 119:84

5* สดุดี 62:9; ปัญญาจารย์ 6:12

6* ลูกา 12:20-21; ปัญญาจารย์ 2:26

7* สดุดี 38:15

8* สดุดี 44:13; 79:4; 119:22

9* สดุดี 39:2; 2 ซามูเอล 16:10; โยบ 2:10

10* โยบ 9:34; 13:21

11* โยบ 13:28; สดุดี 90:7; อิสยาห์ 50:9;

12* ปฐมกาล 47:9; เลวีนิติ 25:23; 1 พงศาวดาร 29:15; สดุดี 119:19

13* โยบ 7:19; 10:20,21; 14:6; สดุดี 102:24

เยดูธูน เป็นหนึ่งในนักดนตรีที่กษัตริย์ดาวิดแต่งตั้งให้นำที่ประชุมอิสราเอลนมัสการ

สดุดี 39:1-3 เจ็บปวดรวดร้าว และนิ่งเงียบ
สดุดีบทนี้จะกล่าวถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจาก การตีของพระเจ้า กษัตริย์ดาวิดกล่าวถึง แรงจากพระหัตถ์ของพระองค์ในข้อ 10 เมื่อเราอ่านสดุดีบทนี้ เราต้องเข้าใจว่า เป็นคำเขียนของคนที่กำลังทุกข์ใจอย่างหนักเพราะตนเองทำบาป และพระเจ้าทรงลงโทษอยู่
ข้อ 1-3 เป็นการบอกชัดว่าจะไม่พูดอะไร ดูเหมือนว่ามีคนที่เป็นศัตรูอยู่รอบข้างท่าน จะพูดอะไรออกไปมีแต่จะเสีย และในเมื่อใจของท่านทนต่อไปไม่ไหว ท่านจึงพูด ทูลต่อพระเจ้า

สดุดี 39:4-6 เอ่ยคำแห่งปัญญา
เมื่อคนเรามีความทุกข์ เจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจ ความคิดถึงความตายก็เด่นชัดขึ้นมา ​กษัตริย์ดาวิดเริ่มมองเห็นว่า เวลาของชีวิตเราสั้นมาก เปราะบาง ตายง่าย วุ่นวายกับการหาเงิน สะสมให้มากที่สุด และตายไปแล้วก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนใช้ทรัพย์ที่เขาสะสมมา กษัตริย์ดาวิดขอให้ท่านรู้จุดจบ คนที่อยู่ใกล้พระเจ้าอย่างดาวิดมักไม่รู้สึกกลัวความตาย

สดุดี 39:7-11 วางใจพระเจ้าที่พระองค์ทรงลงวินัย
กษัตริย์ดาวิด กล่าวอย่างชัดเจนว่า ความหวังของท่านอยู่ในพระเจ้า บาปที่ท่านล่วงละเมิดต่อพระองค์ นั้น มีพระเจ้าเท่านั้นที่จะช่วยได้. ท่านรู้สึกเหมือนจะตายเมื่อพระเจ้าทรงลงโทษท่าน
ท่านมั่นใจว่า ที่เป็นอย่างนี้ ที่สถานการณ์ย่ำแย่ขนาดนี้ เป็นเพราะว่าพระเจ้าทรงลงวินัยท่าน ความทุกข์ครั้งนี้ไม่ได้มาจากศัตรู แต่มาจากองค์พระเจ้าโดยตรง เราเคยรู้สึกเหมือนกันอย่างนี้ใช่ไหม?

สดุดี 39:12-13 อธิษฐานขอการรื้อฟื้นและกำลังใหม่
คำอธิษฐานต่อไปนี้ เหมือนย้อนแย้งกันไปมา ขอพระเจ้าฟังคำอธิษฐาน แต่ก็บอกว่าข้าเป็นคนแปลกหน้าสำหรับพระองค์ การเป็นคนแปลกหน้าหมายเป็นสดุดีที่จบด้วยการขอให้พระเจ้าหันพระพักตร์ไป เพราะว่า หากพระองค์ยังทรงลงโทษอยู่ ก็คงไม่ไหวแน่นอน
เป็นสดุดีที่เศร้าจริง ๆ …. แต่ถึงกระนั้น กษัตริย์ยังหวังในพระเจ้าองค์เดียว ไม่หวังในอื่นใดเลย

สดุดี 38 ขอพระเจ้าทรงเมตตา สำนึกผิดแล้ว

Study of King David (adapted), Julia Margaret Cameron, 1866. Wikimedia

เพลงสดุดีของดาวิด เพื่อการระลึกถึง
ความเจ็บปวดที่ลงลึกมาก
1 โอ พระยาห์เวห์ ขออย่าทรงติเตือนข้าด้วยพระพิโรธ
ขออย่าทรงลงวินัยข้าด้วยความกริ้ว
2 เพราะลูกศรของพระองค์จมลงไปในเนื้อของข้า
พระหัตถ์ก็กดทับข้าอย่างหนัก

ความผิดของข้าท่วมท้น
3 ไม่เหลือสุขภาพที่ปกติในร่างกายของข้า
เพราะความกริ้วของพระองค์
ไม่มีความแข็งแรงในกระดูกเพราะบาปของข้าเอง
4 เพราะความผิดของข้านั้นท่วมท้นตัว
เป็นภาระหนักที่หนักเกินจะแบกไหว
5 บาดแผลของข้าก็เน่าเหม็น
และเน่าเปื่อยไปเพราะความโง่เขลาของข้าเอง

ความเจ็บปวดและสับสนของข้า
6 ข้าเศร้าหมอง ค้อมหลังลง
ข้าคร่ำครวญอยู่ทั้งวัน
7 เอวของข้าเจ็บ ปวดแสบยิ่งนัก
ไม่มีส่วนใหนในร่างกายที่ยังคงสภาพดีเลย
8 ข้าอ่อนแรงเจ็บปวด แตกร้าวอย่างสาหัส
คร่ำครวญเพราะความกระวนกระวายในหัวใจ

ขออยู่ต่อพระพักตร์ในความทุกข์นี้
9 โอพระเจ้าข้า ข้าปรารถนาเพียงอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์
เสียงถอนหายใจของข้าก็ไม่ได้ซ่อนจากพระองค์
10 ใจของข้าเต้นระส่ำ กำลังก็หายไป
ดวงตาของข้านั้น แทบมองอะไรไม่เห็น

ความเห็นของคนที่เคยรักและเพื่อน
11 คนที่ข้ารัก เและเพื่อนก็ยืนมองลงมา
ญาติพี่น้องก็ยืนอยู่ห่างไกลจากโรคภัยนี้
12 คนที่จ้องเอาชีวิต ก็เตรียมกับดักไว้ให้ข้า
คนที่พยายามทำให้ข้าเจ็บก็ขู่จะทำลาย
พวกเขาคิดแผนชั่วร้ายทั้งวี่ทั้งวัน
13 แต่ข้าไม่ได้ยิน ราวกับว่าเป็นคนหูหนวก
ข้าไม่เปิดปากพูด ราวกับว่าข้าเป็นคนใบ้
14 ข้าเป็นเหมือนคนที่ไม่อาจได้ยิน
และปากก็ไม่ตอบอะไร

ข้ายังหวังใจในพระเจ้าแม้อยู่ต่อหน้าศัตรู
15 โอ พระยาห์เวห์ ข้าหวังใจในพระองค์
พระองค์จะทรงตอบ โอ พระเจ้าของข้า
16 เพราะข้ากล่าวว่า “ขออย่าให้พวกเขายินดีเพราะข้า
เมื่อข้าลื่นล้ม คนเหล่านั้นก็จะทับถมข้าต่อไปอีก”
17 ข้ากำลังจะล้ม
และความเจ็บปวดก็อยู่กับข้าตลอดเวลา
18 ดังนั้นข้าจึงสารภาพบาปผิดของข้า
ข้าเป็นทุกข์นักเพราะบาปของข้า
19 แต่ศัตรูของข้าก็ตื่นตัวและมีกำลังมาก
คนเกลียดข้าโดยไม่มีเหตุก็เพิ่มขึ้น
20 พวกเขาเป็นคนที่ตอบความดีด้วยความชั่ว
พวกเขาโจมตีและพยายามเอาชีวิตข้า
เป็นเพราะข้าเดินตามทางที่ดี

โอพระเจ้าโปรดรีบมาช่วยข้า
21 ขออย่าทรงทอดทิ้งข้า โอ พระยาห์เวห์
ขออย่าทรงอยู่ห่างไกลข้า โอ พระเจ้าของข้า
22 ขอทรงรีบมาช่วยข้าด้วยเถิด
โอ องค์เจ้านาย พระผู้ช่วยให้รอดของข้า …

พระคำเชื่อมโยง

1* สดุดี 6:1; ฮีบรู 12:5-11

2*สดุดี 32:4; โยบ 6:4; สดุดี 64:7

3*สดุดี 6:2; 51:8; อิสยาห์ 1:5-6

4* สดุดี 40:12; เอสรา 9:6; 1 เปโตร 2:24

5* อิสยาห์ 1:5-6; เยเรมีย์ 8:22; สดุดี 69:5

6* สดุดี 35:14; 42:9; โยบ 30:28

7* สดุดี 102:3; กิจการ 12:23

8* สดุดี 32:3;
โยบ 3:24

9* สดุดี 102:5; 10:17

10* สดุดี 6:6-7; 88:9; 69:3

11* สดุดี 31:11; โยบ 19:13-17

12* สดุดี 35:20; 140:5

13* สดุดี 39:9; อิสยาห์ 53:7

14* มาระโก 15:3-5

15* สดุดี 17:6; 39:7; 138:3

16*สดุดี 94:18; 35:24-26

17* สดุดี 35:15;38:6; มีคาห์ 4:6-7

18* สดุดี 32:5; สุภาษิต 28:13

19*สดุดี 35:19; ยอห์ร 15:18-25

20* สดุดี 35:12; 1 ยอห์น 3:12; เยเรมีย์ 18:20

21* สดุดี 22:24; 22:19; 35:21-22

22* สดุดี 40:13; 27:1; อิสยาห์ 12:2

เป็นสดุดีบอกถึงการสำนึกผิด รู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง กษัตริย์ดาวิดได้กลับมาหาพระเจ้า เพื่อขอพระเมตตาจากพระองค์

สดุดี 38: 1-2 ความเจ็บปวดที่ลงลึกมาก
กษัตริย์ดาวิดได้ทำผิดต่อพระเจ้า และท่านรับรสชาติของความเจ็บปวดที่ได้รับจากความไม่พอพระทัยของพระเจ้า แทนที่ท่านจะหนีห่างจากพระองค์ ท่านกลับเข้ามาทูลอ้อนวอนขอความกรุณา ทั้ง ๆ ที่ท่านรู้ว่าพระเจ้าทรงกริ้วแค่ไหนกับการที่ท่านทำบาป

สดุดี 38:3-4 ความผิดของข้าท่วมท้น
เราเห็นจากสิ่งที่เขียนลงมาว่า สุขภาพ ร่างกายของกษัตริย์ดาวิดนั้นทรุดโทรมลงไปมาก มีบาดแผลที่เน่า ท่านใช้คำว่า เน่าเหม็น เน่าเปื่อย แสดงว่า ตกอยู่ในสภาพที่ยับเยินจริง ๆ และก็ตกในสภาพนี้มาระยะหนึ่งแล้ว ท่านมั่นใจจริง ๆ ว่า ที่เกิดเหตุเช่นนี้เป็นเพราะท่านได้ทำบาปต่อพระเจ้า ข้อสี่บอกว่าความผิดท่วมตัว เราเคยรู้สึกอย่างนี้ใช่ไหม ไม่ได้ต่างอะไรจากดาวิดเลย ตอนนี้ท่านเจ็บปวดมากทั้งใจและกาย

สดุดี 38:6-8 ความเจ็บปวดและสับสนของข้า
เรามาดูต่อไปว่า เกิดอะไรขึ้น ท่านเจ็บปวด ค้อมตัวลงเพื่อบรรเทาความเจ็บนั้น เจ็บทั้งร่างกายโดยเฉพาะที่เอวของท่าน คำว่าเอวนี้ ในความหมายของคนยิวคือ อารมณ์ ท่านกำลังปั่นป่วนในใจ กษัตริย์ดาวิดไม่ใช่แค่คร่ำครวญ ร้องครางเพราะเจ็บทางกาย ในข้อ 8 เราเห็นว่า ท่านเจ็บที่ใจมาก มีความกังวล ทุกข์ร้อนข้างในผสมไปกับร่างกายที่มีแต่บาดแผล และการลงวินัยจากพระเจ้า ( ข้อ 1)

สดุดี 38:9-10 ขออยู่ต่อพระพักตร์ในความทุกข์นี้
ในขณะที่เจ็บปวดสุดจะทน กษัตริย์ดาวิดได้ทำในสิ่งที่แตกต่างออกไป จากคนอื่น ๆ ที่ไม่มีพระเจ้า แตกต่างไปจากคนที่ต้องช่วยตัวเองโดยไม่มีพระองค์
ท่านกล่าวว่า ข้าขอเพียงอยู่ต่อพระพักตร์ แม้จะมองแทบไม่เห็น แม้ไม่มีกำลัง ก็ขออยู่ต่อพระพักตร์ ให้คำอธิษฐานของท่านตอนนี้เป็นคำอธิษฐานของเราเมื่อเราพบความทุกข์ใจอย่างหนัก และหาทางออกไม่ได้

สดุดี 38:11-14 ความเห็นของคนที่เคยรักและเพื่อน
ในขณะที่ท่านขออยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า คนที่ท่านรัก เพื่อน ญาติ ก็อยู่ห่าง ๆ ไม่กล้าเข้ามาใกล้ โรคนี้เป็นโรคอะไรที่ทำให้คนไม่กล้าเข้าใกล้? มีความเห็นแตกต่างกันไป บางท่านให้ความเห็นว่าเป็นโรคเรื้อน หรือโรคผิวหนังที่ร้ายแรง บ้างก็ว่าเป็นโรคเกี่ยวกับไต เราไม่ทราบแน่ชัด แต่ในขณะที่พวกเขามองอยู่ห่าง ๆนั้นเอง ศัตรูก็คิดแผนชั่วที่จะทำร้าย แถมมาขู่ให้กลัว แต่กษัตริย์ดาวิดยามนี้ ท่านไม่สู้ แต่ทำเป็นเหมือนไม่ได้ยิน และนิ่งเสีย ท่านกำลังรอคอยพระเจ้าอยู่

สดุดี 38:15-20. ข้ายังหวังใจในพระเจ้าแม้อยู่ต่อหน้าศัตรู
สิ่งที่เราเห็นในข้อ 15-20 นี้ คือ กษัตริย์ดาวิดขณะนี้ไม่ได้เป็นนักรบที่เก่งกล้า ไม่ได้เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดที่ใคร ๆ ก็จะกลัว แต่ท่านกำลังเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ ท่านกำลังจะล้ม มีแต่ความเจ็บปวด แต่ท่านมั่นใจอย่างหนึ่งคือ จะหวังใจในพระเจ้าไม่ว่าสถานการณ์จะมาในรูปไหน ดูว่าศัตรูจะเป็นต่อ อยู่เหนือมากเพียงใด ท่านยังคงยึดพระเจ้าไว้อย่างมั่นคง นี่เป็นตัวอย่างของชีวิตเรายามมืดจริง ๆ

สดุดี 38: 21-22 โอพระเจ้าโปรดรีบมาช่วยข้า
ดูสิว่า เมื่อคร่ำครวญจนพอแล้ว กษัตริย์ดาวิดก็หันกลับมาขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า และท่านได้ร้องทูลอย่างที่น่าแปลกใจ ท่านกล่าวถึงพระเจ้าในพระลักษณะ ในพระนามแตกต่างกันไป
พระยาห์เวห์ หมายถึงองค์พระเจ้านิรันดร์ ผู้ทรงไม่ขึ้นกับใคร ทรงอยู่ด้วยพระองค์เอง
พระเจ้าของข้า หมายถึง พระเจ้าผู้เป็นเจ้าเหนือหัวของกษัตริย์ดาวิด
องค์เจ้านาย คือพระเจ้าผู้ทรงเป็นเจ้านายที่เป็นผู้บัญชา และในขณะเดียวกันทรงเป็นผู้ดูแลผู้ที่อยู่ใต้อารักขาของพระองค์
พระผู้ช่วยให้รอด นั่นคือ กษัตริย์ดาวิดมั่นใจอย่างยิ่งว่า พระเจ้าของท่านองค์นี้จะทรงช่วยกู้ให้รอดจากเหตุการณ์ที่ต้องทนทุกข์ทรมานทั้งกายใจตามที่ได้คร่ำครวญมา

1 ยอห์น 5 เกิดจากพระเจ้า

เกิดจากพระเจ้า มีความรัก

ทุกคนที่เชื่อว่า
พระเยซูคือพระคริสต์
(พระเมสสิยาห์)
เป็นคนที่บังเกิดจากพระเจ้า
และทุกคนที่รักองค์พระบิดานั้น ก็ย่อมรักพระบุตรของพระองค์ด้วย
1 ยอห์น 5:1

1 ยอห์น 2:22; 4:2,15; ยอห์น 1:13

ท่านยอห์น เป็นอัครทูตที่อยู่ใกล้ชิดพระเยซูมาก ท่านเห็นด้วยตา สัมผัสด้วยประสาทสัมผัส ทั้งหมด และรู้ด้วยใจมาตลอดว่า
พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าจริง ๆ ไม่ใช่มนุษย์เดินดินธรรมดาท่านสรุปคำง่าย ๆ ว่า ใครก็ตามที่เชื่อว่าพระเยซู
ทรงเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมาเป็นผู้ช่วยให้รอด จากบาป เขาก็เกิดใหม่จากพระเจ้า และเขาจะรักทั้งองค์พระบิดาและพระบุตร!

เราจะได้รู้ว่า เรารักคนที่เป็นลูกของพระองค์
ก็เมื่อเรารักพระเจ้า และทำตามพระบัญญัติของพระองค์​
1 ยอห์น 5:2

ยอห์น 15:1; 1 ยอห์น 2:5; ยอห์น 13:34-35

การที่คนหนึ่งรักพระเจ้า และทำตามพระบัญญัติที่พระเยซูทรงให้ไว้เมื่อนานมาแล้วนั้น เราจะเห็นคนนั้นมีความรักมาก รักคนที่เป็นลูกของพระเจ้าเป็นพิเศษ ท่านยอห์นมีอายุมาก ๆ หลังจากที่ท่านกลับมาจากเกาะพัทโมส เมื่อจะไปเยี่ยมคริสตจักรก็ต้องมีคนช่วยหามท่าน ไปเพราะเดินไม่ไหว และคำเทศนาของท่าน
มีแค่ว่า “ลูกเอ๋ย จงรักกันและกัน”!

การที่เรารักพระเจ้านั้น ก็แสดงออกมาด้วยการที่เราเชื่อฟังทำตามพระบัญญัติของพระองค์
และพระบัญญัตินั้น ไม่ได้เป็นภาระหนักสำหรับเราเลย
1 ยอห์น 5:3

ยอห์น 14:15; มัทธิว 11:30; 23:4

เมื่อเรารักใครสักคน การทำสิ่งต่าง ๆ ให้เขานั้นไม่ได้เป็นภาระ แต่มันกลับกลายเป็นความสุข ที่ได้ทำให้เขา เมื่อรักพระเจ้าก็ทำตามพระบัญญัติ แห่งรักได้โดยไม่ได้ฝืนใจตนเอง
พระคำตอนนี้ บอกถึงความจริงที่เกิดขึ้นในชีวิต ของทุก ๆ คน ความรักทำให้ทุกสิ่งไม่ได้เป็น ภาระหนัก แต่การที่ต้องรักษากฎศีลธรรมที่มนุษย์ตั้งขึ้นมานั้น ยากกว่าเป็นไหน ๆ

เกิดจากพระเจ้า มีชัยชนะ

เพราะทุกคนที่เกิดจากพระเจ้าก็ชนะโลก
ความเชื่อที่เรามีอยู่ทำให้เรา
มีชัยชนะเหนือโลก
บัดนี้ ใครล่ะ ที่ชนะโลก?
ก็คือเฉพาะคนที่เชื่อว่า
พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า
1 ยอห์น 5:4-5

ยอห์น 16:33; 1 ยอห์น 2:13; 1 โครินธ์ 15:57

การเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า และปฏิบัติต่อพระองค์อย่างสมควรกับฐานะที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์เป็นสิ่งสำคัญสำหรับชีวิตคริสเตียน เป็นรากฐานของชีวิตแห่งความเชื่อ เราจะชนะโลกที่เข้ามาล่อลวง หลอกล่อเราทุกวันได้ก็เมื่อเรามีความสัมพันธ์สนิทกับพระเยซูคริสต์ มีความเชื่อในพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ที่จะช่วยให้เราเอาชนะโลกได้

พระเยซูเชื่อมพระเจ้ากับเรา

พระเยซูคริสต์เสด็จมาโดยน้ำและพระโลหิต
พระองค์มิได้เสด็จมาโดยน้ำเท่านั้น
แต่โดยน้ำและพระโลหิต
พระวิญญาณทรงเป็นพยานยืนยัน
เพราะพระวิญญาณทรงเป็นความจริง
1 ยอห์น 5:6

ยอห์น 16:13; 15:26; ฮีบรู 9:14

พระคำข้อนี้ เป็นข้อที่ลึกลับและเข้าใจยากมากมีความเห็นหลายแบบ แต่ที่เราเห็นชัดคือ น้ำที่ท่านยอห์นหมายถึงคือการบัพติศมาพระโลหิตคือการถูกตรึงบนไม้กางเขน และในวันนั้นที่ทรงรับบัพติศมา พระบิดาและพระวิญญาณก็ทรงปรากฏ เมื่อทรงสิ้นพระชนม์บนกางเขน เพื่อรับโทษบาปของมนุษย์เรา และทั้งหมดนี้ พระวิญญาณผู้ทรงเป็นความจริงทรงเป็นพยานในใจของเราด้วยพระองค์เอง

พยานจากพระเจ้าและจากมนุษย์

ด้วยว่า มีสามสิ่งที่เป็นพยานยืนยัน
คือพระวิญญาณ และน้ำ
และพระโลหิต
และทั้งสามนี้สอดคล้อง
เป็นหนึ่งเดียวกัน
1 ยอห์น 5:7-8

มัทธิว 28:19; กิจการ 5:32;
1 เปโตร 3:21; ยอห์น 15:26; กิจการ 2:2-4

ตอนที่พระเยซูทรงรับบัพติศมาในน้ำกับยอห์น (มัทธิว 3:13-17) นั้น องค์พระวิญญาณและพระสุรเสียงของพระบิดาได้ลงมาปรากฏให้คนใน เหตุการณ์นั้นได้เห็นและบันทึกไว้ การสิ้นพระชนม์ของพระเยซู (มัทธิว 27:54) พระโลหิตที่หลั่งไหลทำให้รู้ว่า พระองค์คือพระบุตรของพระเจ้า และพระวิญญาณทรงเป็นพยานตลอดชีวิตของพระองค์ในโลกบอกว่าพระองค์คือผู้ใด(มาระโก 1:12; กิจการ 10:38

คำพยานของมนุษย์เรายังยอมรับได้ พยานของพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่กว่า
เพราะเป็นคำพยานของพระเจ้ายืนยันเรื่องพระบุตรของพระองค์
1 ยอห์น 5:9

กิจการ 17:31; มัทธิว 3:16-17; ยอห์น 10:38

นี่เป็นข้อความต่อมาที่บอกว่า พยานจาก พระเจ้าคือ พระวิญญาณ น้ำ และพระโลหิต เป็นพยานที่เป็นหนึ่งเดียว พยานนี้ เป็นพยานที่ยิ่งใหญ่ และมีค่ามาก เพราะเป็นพยานด้วยชีวิตขององค์ พระเยซูที่ทรงมาบังเกิดเป็นมนุษย์เลยทีเดียว
พยานแปลว่าผู้ที่รู้เห็นเหตุการณ์หรือข้อเท็จจริงที่ใช้เป็นหลักฐานเครื่องพิสูจน์ได้ พระเจ้าเอง ทรงเป็นพยานผ่านเหตุการณ์ และ พระคัมภีร์ที่สืบเนื่องยาวนานหลายพันปี

ผู้ที่เชื่อในพระบุตรของพระเจ้า ก็มีคำพยานนี้อยู่ในตัวเขา
ผู้ที่ไม่เชื่อพระเจ้าก็ทำให้
พระองค์เป็นพยานที่มุสา
เพราะเขาไม่เชื่อในคำพยานที่พระเจ้าทรงยืนยันถึงพระบุตรของพระองค์​
1 ยอห์น 5:10

โรม 8:16; กาลาเทีย 4:6; ยอห์น 3:33

พระคำตอนนี้แรงมาก ชัดเจน เมื่อเราเชื่อพระคำ ของพระเจ้า เชื่อสิ่งที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ เราก็ เชื่อพระเจ้าที่ตรัสผ่านพระคัมภีร์ แต่มีคนที่ไม่เชื่อพระคัมภีร์ ไม่ยอมรับสิ่งที่พระเจ้าทรงบอกเรื่องราวในอดีต ในอนาคต พวกเขาจึงทำเสมือนว่าพระองค์ทรงเป็นพยานเท็จในสายตาของเขา นี่เป็นคำอธิบายเรียบง่าย สำหรับพระคำข้อนี้

ความมั่นใจในชีวิตนิรันดร์

และคำพยานนี้ก็คือ พระเจ้าประทานชีวิต
นิรันดร์แก่เรา
และชีวิตนิรันดร์นี้ อยู่ในพระบุตรของพระองค์ ผู้ที่มีพระบุตรก็มีชีวิต และผู้ที่ไม่มีพระบุตรของพระเจ้าก็ไม่มีชีวิต
1 ยอห์น 5:11-12

ยอห์น 2:25; โรม 6:23; 1 ยอห์น 5:20; ยอห์น 3:36; 3:15; 5:24; 1:12

พระเจ้าทรงมอบชีวิตนิรันดร์ให้กับทุกคนที่เชื่อในพระนามของพระเยซู ดังที่ตรัสว่า “เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์” (ยอห์น 3:16) พระคำข้อนี้จากท่านยอห์น สอคล้องกับสิ่งที่พระเยซูตรัสไว้ในหนังสือยอห์นทุกประการ

ข้าเขียนทุกสิ่งเหล่านี้มาถึงท่านที่เชื่อในพระนามของพระบุตรพระเจ้าเพื่อท่านจะได้รู้ว่า ท่านมีชีวิตนิรันดร์
1 ยอห์น 5:13

ยอห์น 20:31; 1:12; 1 ยอห์น 3:23

การมีชีวิตนิรันดร์ไม่ใช่ว่า ตายไปแล้วจึงจะได้ไปอยู่กับพระเจ้าและมีชีวิตนิรันดร์ แต่เป็น ชีวิตนิรันดร์ที่เริ่มต้นมีตั้งแต่อยู่ในโลกนี้ ท่านยอห์นต้องการให้พี่น้องทุกคนมีความมั่นใจในชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าประทานมีเราบางคนที่ไม่มั่นใจว่าตนเองมีชีวิตนิรันดร์ไหมเพราะคิดว่าตัวเองดีไม่พอ เขาลืมไปว่า เมื่อพระเจ้าประทานให้ เขาก็ได้รับตามเงื่อนไขของพระองค์แล้ว

มั่นใจเมื่ออธิษฐาน

และนี่คือความมั่นใจที่เรามีอยู่เมื่อเราเข้าเฝ้าพระเจ้า
คือหากเราทูลขอสิ่งใด
ตามน้ำพระทัยของพระองค์ พระองค์ก็ทรงฟังเรา
1 ยอห์น 5:14

เยเรมีย์ 33:3; 29:12-13; ยอห์น 14:13

เมื่อเรากลับไปอ่านคำอธิษฐานของพระเยซูพระองค์ตรัสว่า น้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จในสวรรค์อย่างไร ก็ให้สำเร็จเช่นนั้นในแผ่นดินโลกเหมือนกัน คำอธิษฐานนี้ยังคงมีอยู่ และผู้เชื่อก็อธิษฐาน ทุกวัน คนมากมายยังจึงมีโอกาสที่จะได้กลับมาหาพระเจ้าได้ เพราะผู้เชื่อได้อธิษฐานตามพระประสงค์ที่จะทรงสร้างชีวิตใหม่ให้กับชาวโลก

และถ้าเรารู้ว่า
พระองค์ทรงฟังเรา
ไม่ว่าเราจะทูลขอสิ่งใด
เราก็รู้ว่า
เราจะได้รับสิ่งที่เราทูลขอนั้น จากพระองค์​
1 ยอห์น 5:15

ลูกา 11:9-10; สุภาษิต 15:29; สดุดี 37:4

แต่สำหรับชีวิตประจำวันของเราล่ะ ? พระองค์จะทรงฟังเราไหม? พระองค์ทรงยินดีที่จะฟังคำขอของลูก ๆ ทั้ง หลายอยู่แล้ว คนที่เป็นลูกของพระเจ้าจริง เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าจริงก็เหมือนคนที่เป็นลูกและเข้าใจว่าพ่อเป็นคนอย่างไร และขอ ในสิ่งที่พ่อพอใจจะให้ ขอในสิ่งที่เขาไม่อาจทำได้ ด้วยตัวเอง ขอเพราะเขารู้แน่ว่าต้องพึ่งพาจากพ่อเท่านั้น

การอธิษฐานเพื่อเพื่อนที่ทำบาป

ถ้าคนใดเห็นพี่น้องของเขาทำบาปที่ไม่นำไปสู่ความตาย เขาควรจะอธิษฐานขอ
และพระองค์จะประทานชีวิตให้แก่คนที่ทำบาปอย่างที่ไม่นำไปสู่ความตาย บาปที่นำไปสู่ความตายนั้นก็มีอยู่ ซึ่งข้าไม่ได้ขอให้อธิษฐาน ขอสำหรับคนที่ทำบาปเช่นนั้นการอธรรมทั้งสิ้นเป็นบาป แต่ก็ยังมีบาปที่ไม่นำไปสู่ความตาย
1 ยอห์น 5:16-17

ฮีบรู 6:4-6; 10:26-31; 1 ยอห์น 3:4; 5:16

พระคำตอนนี้ยากที่จะอธิบายสั้น ๆ หลายท่านมีความเห็นว่า ท่านยอห์นกำลังหมายความว่า มีบางคนกำลังทำบาปที่ทำให้เขาต้องเสียชีวิต เราไม่ทราบว่า เป็นบาปอะไร ดูเหมือนว่าคนที่ ทำบาปคนนั้นจะไม่ยอมฟังคำเตือนของเพื่อน ๆ เสียด้วย อาจมีความเห็นอื่นสำหรับพระคัมภีร์ข้อนี้

เรารู้ว่า ทุกคนที่เกิดจากพระเจ้า
ไม่ทำบาปต่อเนื่อง
แต่พระองค์ผู้ทรงเกิดจากพระเจ้าทรงคุ้มครองเขาให้ปลอดภัย และมารร้ายไม่อาจแตะต้องเขาได้
1 ยอห์น 5:18

1 ยอห์น 3:9; 5:4; ยูดา 21; ยากอบ 1:27

คนของพระเจ้า จะไม่มีนิสัยทำบาปแบบทำไป เรื่อย ๆ เพราะว่าเขาเกิดใหม่จากพระเจ้าแล้ว ชีวิตของเขาก็เปลี่ยนแปลงไป เราเห็นได้จากคน มากมายที่กลับใจมาเชื่อพระเจ้าที่ความคิดความประพฤติ ค่านิยมต่าง ๆ ก็เปลี่ยนไป ไม่ เหมือนเดิมอีกต่อไป พระเจ้าทรงดูแลให้เขารอดพ้นภัยจากมารร้าย ด้วยพระองค์เอง ด้วยทูตสวรรค์ที่ทรงส่งมา ด้วยพระวจนะที่อยู่ในใจของพวกเขา

รู้จักศัตรูของเรา

เรารู้ว่า
เราเป็นลูกของพระเจ้า
และทั้งโลก ตกอยู่ใต้
อำนาจของมารร้าย
1 ยอห์น 5:19

2 โครินธ์ 4:4; 1 ยอห์น4:4-6; กาลาเทีย 1:4

มองไปรอบ ๆ แล้วจะรู้ว่า โลกอยู่ภายใต้อำนาจ ของมารจริง ๆ ความชั่วร้ายนั้น มีอยู่ทุกระดับ ตั้งแต่ในตัวคน ในครอบครัว ในหมู่คนที่เรียกว่าเป็นเพื่อน ในชุมชน ในที่ทำงาน ในจังหวัดต่าง ๆ ในประเทศ ระหว่างประเทศ มีความชั่วร้ายแฝงอยู่ให้เห็นชัดเจน และเราเองก็อยู่ในโลก แต่พระเจ้าจะทรง ปกป้องเราไว้ให้พ้นจากความร้ายกาจของมาร

อยู่ในพระคริสต์ หนีจากรูปเคารพ

เดี๋ยวนี้เรารู้ว่า พระบุตรของพระเจ้า เสด็จมา และประทานความเข้าใจแก่เรา เพื่อว่าเราจะรู้จักพระองค์ผู้ทรงเป็นจริง
และเราอยู่ในพระองค์ผู้ทรงเป็นจริง คือเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์
พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้และทรงเป็นชีวิตนิรันดร์
1 ยอห์น 5:20

ยอห์น 17:3; 14:9; ลูกา 24:45

พระบุตรของพระเจ้าทรงส่งพระวิญญาณของ พระองค์ลงมา ทำให้เรามีความเข้าใจใน พระองค์ ทำให้เราได้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ผู้เป็นทางไปหาพระบิดา พระคัมภีร์ข้อนี้ เป็นการประกาศความเป็น พระบุตรของพระเจ้าอย่างชัดแจ้ง สมบูรณ์มากที่สุดข้อหนึ่งในพระคัมภีร์

ลูกเล็ก ๆ ทั้งหลาย
จงรักษาตัวเอง
ให้พ้นจากรูปเคารพ
อาเมน
1 ยอห์น 5:21

 1 โครินธ์ 10:14; 10:7; อพยพ 20:3-4

คำสุดท้ายของท่านยอห์นในจดหมายฉบับนี้สั้น ๆ แต่สำคัญยิ่งนัก เพราะรูปเคารพไม่ได้จำกัดแค่รูปปั้นของเทพพระต่าง ๆ ที่มนุษย์เคารพอีกต่อไป รูปเคารพคือสิ่งที่เราหลงไหล ให้เวลากับมัน สิ่งที่เราอยู่ด้วยจนลืมเวลาของชีวิตไป ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไร ถ้าเราให้ความสำคัญกับมันมากกว่าพระเจ้าสิ่งนั้นกลายเป็นรูปเคารพของเรา

สดุดี 37 ความแตกต่างของชีวิตอธรรมกับชีวิตเที่ยงธรรม

ภาพของ Vasily Surikov “The old man gardener” วาดเมื่อปี 1888

สดุดีของดาวิด
ไม่ต้องกังวลเรื่องคนชั่ว
1 อย่ากังวลใจไปเพราะคนทำความชั่ว
อย่าอิจฉาเหล่าคนที่ล่วงละเมิด
2 เพราะไม่นานนัก พวกเขาจะถูกโค่นลงเหมือนอย่างหญ้า
พวกเขาจะเป็นเหมือนต้นผักที่เหี่ยวแห้งไป

มั่นใจ วางใจในพระเจ้า
3 จงวางใจในพระยาห์เวห์และทำความดี
อาศัยในแผ่นดิน และ เลี้ยงดูชีวิตด้วยความซื่อตรงของพระองค์
4 ให้ใจของเจ้ายินดีในพระยาห์เวห์
และพระองค์จะประทานตามใจปรารถนาของเจ้า
5 จงมอบทางของเจ้าไว้ให้กับพระยาห์เวห์
และวางใจในพระองค์ และพระองค์จะทรงทำให้สำเร็จ
6 พระองค์จะทรงนำความเที่ยงธรรมของเจ้าออกมาดั่งแสงสว่าง
และความยุติธรรมของเจ้าราวกับเที่ยงวัน
7 จงพักในพระยาห์เวห์ และรอคอยพระองค์อย่างอดทน
อย่ากังวลใจไปเพราะคนที่รุ่งเรืองในทางชั่วร้ายของเขา
8 หยุดโกรธ และทิ้งความขุ่นเคืองออกไป
อย่ากังวลเพราะมีแต่จะสร้างความยุ่งยาก

ทรงลงโทษคนอธรรม และให้รางวัลคนใจถ่อม
9 เพราะคนทำชั่วจะถูกตัดออก
แต่คนที่รอคอยพระยาห์เวห์จะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก
10 เพราะอีกสักพัก คนชั่วก็จะไม่มีอยู่อีกต่อไป
จริง ๆ แล้ว หากเจ้าพยายามหาที่ของเขา มันก็ไม่มีอยู่อีกต่อไป
11 แต่คนใจถ่อมจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก
เขาจะยินดีในสันติสุขที่มากมาย

สุดทางชีวิตของคนอธรรม
12 คนชั่ววางแผนร้ายต่อต้านคนเที่ยงธรรม
และยังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่เขาอีก
13 องค์เจ้านายทรงสรวลเยาะพวกเขา
เพราะพระองค์ทรงเห็นวันพินาศของพวกเขา
14 คนชั่วชักดาบออกมา และโก่งคันธนู
ไปยังคนยากจนและคนยากไร้เพื่อคว่ำพวกเขา
เพื่อเอาชีวิตของคนที่ทำสิ่งถูกต้อง
15 ดาบของพวกเขาจะหันกลับไปแทงใจของพวกเขาเอง
ธนูของเขาจะถูกหักเสีย

หนทางดี ๆ ของคนเที่ยงธรรม
16 น้อย ๆ ที่คนชอบธรรมมีก็ดีกว่า
ความมั่งคั่งของคนอธรรมมากมาย
17 เพราะแขนของคนชั่วจะถูกหัก
แต่พระยาห์เวห์จะทรงอุ้มชูคนเที่ยงธรรม
18 พระยาห์เวห์ทรงรู้วันเวลาของคนเที่ยงธรรม
และมรดกของเขาจะมีอยู่สืบไป
19 พวกเขาจะไม่ต้องอับอายในเวลาชั่วร้าย
และในเวลากันดารอาหารพวกเขาจะอิ่ม
20 แต่คนชั่วและศัตรูของพระยาห์เวห์จะพินาศ
พวกเขาระเหยหายไปราวกับความงามของทุ่งหญ้า
ที่เลือนหายไป
21 คนชั่วยืม และไม่ยอมคืน
แต่คนชอบธรรม แสดงใจเมตตาและให้เสมอ
22เพราะคนที่พระเจ้าทรงอวยพรจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก
แต่คนที่พระองค์ทรงสาปแช่งจะถูกตัดออกไป
23 พระยาห์เวห์ทรงนำก้าวย่างของคนดี
และพระองค์ทรงยินดีในทางของเขา
24 แม้เขาล้ม เขาจะไม่เสียหายอย่างสิ้นเชิง
เพราะพระยาห์เวห์ทรงอุ้มชูเขาด้วยพระหัตถ์

สติปัญญาจากบุรุษที่ตามติดพระทัยพระเจ้า
25 ข้าเคยเป็นหนุ่มและบัดนี้ชราแล้ว
แต่ข้าไม่เคยเห็นคนเที่ยงธรรมถูกทอดทิ้ง
หรือลูกหลานของเขาต้องขอทาน
26 เขามีใจเมตตา ให้ยืมเสมอ
ลูกหลานของเขาได้รับพระพร
27 จงหนีจากความชั่วและทำความดี
และดำรงชีวิตตลอดไป
28 เพราะพระยาห์เวห์ทรงรักความยุติธรรม
และไม่ทรงทอดทิ้งวิสุทธิชนของพระองค์
พระองค์ทรงรักษาพวกเขาตลอดไป
แต่ลูกหลานของคนชั่วจะถูกตัดออก
29 คนเที่ยงธรรมจะได้รับแผ่นดินเป็นมรดก
พวกเขาจะอาศัยในแผ่นดินตลอดไป
30 ปากของคนเที่ยงธรรมกล่าวสติปัญญา
และลิ้นของเขาพูดถึงความยุติธรรม
31 บัญญัติของพระเจ้าของเขาก็อยู่ในใจเขา
ไม่มีคนใดจะก้าวลื่นล้มไป
32 แต่คนชั่วร้ายเฝ้ามองคนเที่ยงธรรม
และพยายามที่จะสังหารเขา
33 พระยาห์เวห์จะไม่ทรงให้เขาตกในเงื้อมมือของคนชั่ว
จะไม่ทรงปรับโทษเมื่อทรงพิพากษา
34 จงรอคอยพระยาห์เวห์ และรักษาทางของพระองค์
และพระองค์จะทรงยกเจ้าขึ้น
เพื่อให้เจ้ารับแผ่นดินเป็นมรดก
และเจ้าจะเห็นพระองค์ทรงตัดคนอธรรม
ออกไปจากแผ่นดิน

ปลายทางของคนสองแบบ
35 ข้าได้เห็นคนชั่วร้ายที่มีอำนาจมาก
และแผ่อำนาจของเขาออกไปราวกับต้นไม้เขียว
36 แต่แล้วเขาก็ตายไป และดูเถิด ไม่มีเขาอีกแล้ว
ถึงแม้ข้าพยายามหาเขา แต่ก็ไม่พบ
37 จงมองดูคนที่ไร้ตำหนิ และสังเกตคนที่เที่ยงธรรม
เพราะอนาคตของเขาคือสันติสุข
38 แต่คนที่ล่วงละเมิดจะถูกทำลาย
อนาคตของคนชั่วร้ายจะถูกตัดเสีย
39 แต่ความรอดของคนเที่ยงธรรมมาจากพระยาห์เวห์
พระองค์ทรงเป็นกำลังของพวกเขาในยามยากลำบาก
40 และพระยาห์เวห์จะทรงช่วยพวกเขา จะทรงช่วยกู้พวกเขา
พระองค์จะทรงช่วยพวกเขาให้พ้นจากคนชั่วร้าย
ทำให้พวกเขารอดพ้น เพราะพวกเขาวางใจในพระองค์

พระคำเชื่อมโยง

1* สดุดี 73:3; สุภาษิต 23:17

2* โยบ 14:2; สดุดี 90:5

3* เยเรมีย์ 17:7-8; มัทธิว 6:31-33

4*โยบ 22:26; สดุดี 94:19

5*สดุดี 55:22; สุภาษิต 16:3

6*โยบ11:17; อิสยาห์ 58:8,10

7* ยากอบ 5:7-11; ฮีบรู 10:36-37

8*สุภาษิต 14:29; 16:32; เอเฟซัส 4:31

9* อิสยาห์ 60:21; 57:13; สดุดี 25:13

10* โยบ 24:24; 7:10 ; วิวรณ์ 6:10-11

11* มัทธิว 5:5; กาลาเทีย 5:22-23

12* สดุดี 35:16; 31:13; มีคาห์ 2:1

13* สดุดี 2:4; สุภาษิต 1:26

14* สุภาษิต 29:27; สดุดี 11:2

15* สดุดี 7:14-15; 35:8

16*สุภาษิต 16:8; 15:16-17; 1 ทิโมธี 6:6

17* สดุดี 145:14; 63:8; อิสยาห์ 41:10

18* สดุดี 1:6; 103:17; 1 เปโตร 1:4-5

19* สดุดี 33:19 ; อิสยาห์ 33:16

20* สดุดี 102:3; 68:2 ; ลูกา 13:3

21* ฮีบรู 13:16; สดุดี 112:5;

22* สุภาษิต 3:33; 1 โครินธ์ 16:22; สดุดี 37:9

23* สุภาษิต 16:9; 4:26; สดุดี 40:2

24* สุภาษิต 24:16; สดุดี 145:14

25* ฮีบรู 13:5; สดุดี 25:13; 112:2

26* สดุดี 112:5,9; มัทธิว 5:7

27*สดุดี 34:14; 1 ยอห์น 2:16-17

28* สุภาษิต 2:22; สดุดี 21:10; อิสยาห์ 59:21

29* วิวรณ์ 21:7; 2 เปโตร. 3:13

30* สุภาษิต 25:11-13; โคโลสี 4:6

31* เฉลยธรรมบัญญัติ 6:6; สดุดี 40:8; เยเรมีย์ 31:33

32* สดุดี 10:8-10; ลูกา 20:20

33* 2 เปโตร 2:9; สดุดี 109:31

34* สดุดี 27:14; มัทธิว 24:13

35* สดุดี 73:3-11

36*สดุดี 37:10; อิสยาห์ 10:33-34

37*อิสยาห์ 32:17; 2 ทิโมธี 4:6-8

38*สุภาษิต 14:32; สดุดี52:5

39* สดุดี 9:9; 91:15

40* อิสยาห์ 31:5

สดุดีบทนี้มีความคล้ายคลึงกับสุภาษิตมาก เพราะสอนมนุษย์ให้รู้จักคิดในมุมมองของพระเจ้า เพราะมนุษย์มักจะถามว่า “ทำไมคนชั่วจึงรุ่งเรือง? ทำไมพระเจ้าปล่อยให้เขาโอหังนานนัก?

ภาพของ Vasily Surikov “The old man gardener” วาดเมื่อปี 1888

อธิบายสรุปย่อ

สดุดี 37:1-2
ไม่ต้องกังวลเรื่องคนชั่ว
ข้อความนี้ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ต่อสู้กับสิ่งที่ชั่ว สิ่งที่ทำลายคนอื่น เราต่อสู้ แต่เราไม่ต้องกังวล ไม่ต้องรู้สึกอิจฉาคนผิด เพราะพวกเขาสมควรที่จะโดนทำลายอย่างในข้อ 2 อยู่แล้ว

สดุดี 37:3-8
มั่นใจ วางใจในพระเจ้า
พระคำหกข้อดังกล่าว เป็นสุด ๆ ของพระคำสำหรับคนยุคนี้ เพราะว่าเราเห็นชัด ว่าคนชั่วมักรุ่งเรือง มีชื่อเสียง มีอำนาจ อย่าลืมว่าโลกนี้กำลังเห็นผิดเป็นถูก ถูกเป็นผิด
เราจึงมีโอกาสที่จะทำตามพระคำตอนนี้ และจะได้รู้ว่าพระเจ้าจะทรงทำอย่างไรกับชีวิตของเรา สิ่งสำคัญคือ ไม่ต้องกังวลใจ ทำหน้าที่ของเราในฐานะพลเมืองและคนของพระเจ้าตามแบบของพระองค์ ถ้าจะต้องสู้เรื่องอะไร เราก็จะรู้ และพระเจ้าจะทรงนำให้สู้อย่างถูกต้อง ตามวิถีของพระองค์

สดุดี 37:9-11
พระเจ้าทรงลงโทษคนอธรรม และให้รางวัลคนใจถ่อม
กษัตริย์ดาวิดเน้นการรอคอยพระเจ้า จากข้อ 7,9,34 การรอคอยพระเจ้าไม่ใช่นั่งเฉย ๆ แต่เป็นการผูกพันกับพระองค์มากขึ้น และมากขึ้น เหมือนกับคนที่กำลังทอเชือกให้ยาวให้แข็งแรง ใช้เวลาอยู่กับพระองค์ คนที่รอพระเจ้าจะได้รับแผ่นดินเป็นมรดก นั่นคือ การรับพระพรอย่างเต็มบริบูรณ์

สดุดี 37:12-15
สุดทางชีวิตของคนอธรรม
คนชั่วมัวแต่วางแผนกำจัดคนเที่ยงธรรม แต่พระเจ้าทรงเห็นทุกอย่างล่วงหน้าว่าพวกเขาจะพินาศ
เมื่อพวกเขาทำร้ายคนจน สิ่งที่เขาทำจะหวนกลับมาทำลายพวกเขาเอง เราก็เห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในโลกเช่นกัน

สดุดี 37:16-24
หนทางดี ๆ ของคนเที่ยงธรรม
กษัตริย์ดาวิดเข้าใจว่าพระเจ้าจะทรงทำอะไรกับคนเที่ยงธรรม คือคนที่วางใจในพระองค์ และอะไรจะเกิดขึ้นกับคนอธรรม ท่านจึงเขียนลงมาให้เห็นเป็นรายการอย่างชัดเจน ลองขีดเส้นคนละสีดูว่า สิ่งที่แตกต่างของคนอธรรมกับคนชอบธรรมนั้นเป็นอย่างไร ทรงอุ้มชูเขาด้วยพระหัตถ์

สดุดี 37:25-34
สติปัญญาจากบุรุษที่ตามติดพระทัยพระเจ้า
สิ่งที่ชัดเจนจากกษัตริย์ดาวิดคือ ท่านไม่เคยเห็นคนของพระเจ้าถูกทอดทิ้ง … พวกเขาจะมีทางไปเสมอ แม้ทางดูว่าเป็นทางตัน แต่พระเจ้าก็เปิดประตูให้ เขาไปต่อได้ และไม่นั่งนิ่งเฉย ๆ รอความช่วยเหลือของมนุษย์
ในข้อ 27 ท่านเตือนให้หนีความชั่ว ทำความดี เป็นการใช้ชีวิตแบบที่ถูกต้องต่อพระเจ้า
ข้อ 30-31 พระคำของพระเจ้าอยู่ในใจและปากของเขา เขารอคอยพระองค์ รักษาทางของพระเจ้า
และพระเจ้าจะทรงทำตามพระสัญญาของพระองค์ ในข้อ 34

สดุดี 37:35-40
ปลายทางของคนสองแบบ
แล้วกษัตริย์ดาวิดก็มาสรุปอีกครั้งว่า ทางของคนชอบธรรมนั้น แม้จะยากลำบากพระเจ้าก็ทรงเป็นกำลังของเขา เราจึงเห็นว่า ถึงแม้คนของพระองค์ถูกข่มเหง ถูกห้ามไม่ใช่เชื่อพระองค์ ถูกเจ้าหน้าที่รัฐตามตัว หรือถูกกลุ่มผู้ก่อการร้ายตามฆ่า พวกเขาก็ยังไม่กลัวคนเหล่านั้น เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นจริงในชีวิตให้เขาได้รู้ว่า พระองค์ทรงอยู่ด้วยจริง ๆ และแม้กระทั่งถึงจะเสียชีวิตไป แต่พวกเขาก็จะมีชีวิตที่รอดพ้นจากความตาย แต่จะได้อยู่กับพระเจ้าเป็นนิตย์