ความรักที่ทำให้เหมือนกับพระองค์
ดูเถิด
พระบิดาประทานความรัก
มากขนาดไหนที่ทำให้เราได้ชื่อว่าเป็นลูกของพระเจ้า
และเราก็เป็นดังนั้น
เหตุผลที่โลกไม่รู้จักเรา
ก็เพราะโลกไม่รู้จักพระองค์
1 ยอห์น 3:1
ยอห์น 1:12; กาลาเทีย 3:26; 4:5-6; 2 โครินธิ์ 6:18
เมื่อคนใดมารู้จักพระเจ้า และรับเชื่อในพระนามของพระเยซูแล้ว ชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไป เขากลายเป็นลูกของพระเจ้า เขาเป็นเหมือนคนต่างแดนในโลกนี้ โลกไม่เข้าใจว่าเขาเปลี่ยนไปได้อย่างไร พระเจ้าทรงดำเนินการเปลี่ยนเขาให้เหมือนพระเยซูมากขึ้นทุกวัน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้น อัศจรรย์สำหรับทุกชีวิตที่มาพบพระเจ้า
เพื่อนที่รักทั้งหลาย
ตอนนี้เราเป็นลูกของพระเจ้า
และในอนาคต
เราจะเป็นอย่างไรนั้น
ยังไม่เป็นที่ประจักษ์
แต่เรารู้ว่าเมื่อพระองค์ทรงปรากฏ
เราจะเป็นเหมือนพระองค์
เพราะเราจะเห็นพระองค์
ตามที่พระองค์ทรงเป็น
1 ยอห์น 3:2
ฟีลิปปี 3:21; 2 โครินธ์ 3:18; โคโลสี 3:4; โรม 8:29
ท่านยอห์นกล่าวถึงสภาพจริงในปัจจุบันของผู้เชื่อ คือเราเป็นลูกของพระเจ้า แต่ในอนาคต ผู้เชื่อจะเป็นเหมือนอย่างพระเยซูเมื่อพระองค์ทรงปรากฏในวันที่ทรงเสด็จมา (เงื่อนไขคือ เราดำรงอยู่ในพระองค์ตาม 1 ยอห์น 2:28)
พระเยซูเองก็ทรงปรารถนา ให้พี่น้องได้เห็นพระองค์อย่างที่ทรงเป็นอยู่ พระองค์ตรัสไว้ใน ยอห์น 17:24
และทุกคน
ที่มีความหวังเช่นนี้ในพระองค์
จงชำระตนเอง
ให้บริสุทธิ์
เหมือนอย่างที่พระองค์
ทรงบริสุทธิ์
1 ยอห์น 3:3
2 โครินธ์ 7:1; 1 ยอห์น 2:6; 2 เปโตร 3:14
ทุกคนที่มีความหวังว่าจะเป็นเหมือนพระเยซู หน้าที่ส่วนของเราคือ มุ่งมั่น เอาใจใส่ที่จะชำระตนเองให้มีชีวิตที่บริสุทธิ์ คำว่าชำระตน เป็นคำเดียวกับท่านยอห์นใช้ในยอห์น 11:55 พูดถึงพิธีชำระตน ก่อนเทศกาลปัสกา นั่นหมายถึงว่า ก่อนที่จะพบพระองค์จริง ๆ ผู้เชื่อต้องเตรียมตัวมีชีวิตที่บริสุทธิ์ตามอย่างพระเยซู นอกจากการอ่าน พระคำยังมีอีกหลายอย่างที่ช่วยให้ชีวิตบริสุทธิ์ คิดสิ มีอะไรบ้าง
บาปทำลายความสัมพันธ์
ทุกคนที่ทำบาป
เท่ากับทำผิดพระบัญญัติ
บาปเป็นสิ่งผิดพระบัญญัติ
ท่านรู้ดีอยู่ว่า
พระองค์ทรงปรากฏ
เพื่อกำจัดบาปของเราให้หมดไป
ในพระองค์ ไม่มีบาปเลย
1 ยอห์น 3:4-5
1 ยอห์น 5:17; 2 โครินธ์ 12:21; โรม 3:20; 2 โครินธ์ 5:21; 1 เปโตร 3:18; 2:24
บาปที่เราทำนั้น ไม่ใช่แค่ผิดพระบัญญัติ บาปเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงชัง บาปทำให้เรากับพระเจ้าต้องแยกจากกัน พระเยซูจึงทรงมาเพื่อทำลายล้างบาป เพื่อให้มนุษย์เราได้มาเฝ้าพระเจ้าได้. มาเป็นของพระองค์ได้ตามพระประสงค์แรกที่พระเจ้าทรงสร้างเรามา
ผู้ที่อยู่ในพระองค์
ไม่ทำบาปอีกต่อไป
ส่วนผู้ที่ตั้งใจทำบาปต่อไป
เท่ากับว่าเขายังไม่เห็นพระองค์
และไม่รู้จักพระองค์
1 ยอห์น 3:6
3 ยอห์น 1:11; 1 ยอห์น 2:4; 3:9; 4:8; ยอห์น 15:4-7
คนที่ดำรงในพระเยซูคริสต์จริง ๆ จะไม่ทำบาป หมายความว่าอย่างไร เพราะจริง ๆ เราก็เห็นว่า แม้จะเชื่อมากเท่าไร
คน ๆ หนึ่งก็ไม่ได้หยุดทำบาปอย่างสิ้นเชิง แต่คนที่อยู่ในพระองค์ ไม่มีนิสัยตั้งใจที่จะทำบาปแบบต่อเนื่องไม่หยุด พวกเขามีความตั้งใจใช้ชีวิตที่บริสุทธิ์ ทัศนคติต่อบาปเปลี่ยนไป มองบาปตามความจริงว่ามันทำลายชีวิต และเขาพยายามหลีกเลี่ยงบาปทุกอย่าง เพราะเขาได้เห็น รู้จักพระเยซูแล้ว
ความแตกต่างของสองฝ่าย
ลูกที่รักทั้งหลาย
อย่ายอม
ให้ใครชักชวนท่านให้หลงไป
คนที่ประพฤติตามความเที่ยงธรรม
ก็เป็นคนเที่ยงธรรม
เหมือนอย่างที่
พระเยซูทรงเที่ยงธรรม
1 ยอห์น 3:7
1 ยอห์น 2:29; โรม 2:13; 1 เปโตร 1:15-16
อย่าลืมว่า บริบทของจดหมายท่านยอห์นคือ มีคนสอนผิดมากมายที่พยายามชักจูงให้ผู้เชื่อหลงไปตามคำพูดของเขา ดังนั้น ผู้เชื่อจะต้องสังเกตว่าชีวิตของคน ๆ นั้น เป็นอย่างไร เขาประพฤติตัวปกติอย่างไร ต่อหน้าลับหลังเหมือนกันหรือไม่ แค่คำพูดดี ๆ คำที่ดูเหมือนฉลาด ก็อาจทำให้คนหลงตามไปได้ง่าย ในโลกออนไลน์ตอนนี้มีระบาดไปทั่ว
คนที่ประพฤติตามทางบาป
ก็มาจากมาร
เพราะมารทำบาปมาตั้งแต่ต้น
เพราะเหตุนี้
พระบุตรของพระเจ้า
จึงทรงปรากฏ
เพื่อทำลายงานของมารทั้งสิ้น
1 ยอห์น 3:8
ฮีบรู 2:14; ยอห์น 8:44 โรม 16:20; ยอห์น 12:31
ท่านยอห์น ทำให้เห็นชัดเหมือนข้อ 6
หากว่าคนที่มาจากมารนั้น จะทำบาปอย่างต่อเนื่อง น่าเสียดายที่พวกเขามาจากมาร แต่พระเจ้า ไม่ทรงปล่อยโลกทิ้งไว้ให้อยู่ในอำนาจมาร เพราะเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงต้องจัดการทำลายงานของมาร นั่นก็คือการบาปทั้งสิ้น โดยมีพระเยซูเป็นผู้ทำงานนั้นโดยเฉพาะ ไม่มีใครในโลกและจักรวาลที่จะทำงานนี้ได้เลย
ทุกคนที่เป็นลูกของพระเจ้า
จะไม่ทำบาปต่อไป
เพราะเมล็ดพันธ์ุของพระเจ้าอยู่ในเขา และเขาไม่อาจมีนิสัย
ทำบาปต่อเนื่องไปได้
เพราะเขาเป็นลูกของพระองค์
1 ยอห์น 3:9
1 ยอห์น 5:8; 2:29; ยอห์น 1:13; 1 เปโตร 1:23
ในภาษาเดิมเขียนชัดว่า คนที่เป็นลูกของพระเจ้ามีเชื้อพันธุ์ หรือเมล็ดพันธ์ุของพระเจ้าอยู่ในตัวเขา ดังนั้น เขาจึงเป็นลูกของพระเจ้าจริง และจะมีชีวิตตามแบบของพระเจ้า การไม่ทำบาปต่อเนื่องเป็นผลมาจากที่พระเจ้าทรงรับเขาเป็นลูก และเขาไม่ได้เป็นลูกของมารอีกต่อไป (ยอห์น 1:12)พระลักษณะนิสัยของพระเจ้ามาอยู่ในตัวเขา
ลักษณะลูกของพระเจ้ากับลูกของมาร
ก็ปรากฏชัด
โดยดูจากว่า
คนที่ไม่ประพฤติในความเที่ยงธรรม
รวมทั้งคนที่ไม่รักพี่น้อง
คนนั้น ไม่ได้มาจากพระเจ้า
1 ยอห์น 3:10
3 ยอห์น 1:11; 1 ยอห์น 4:21; ลูกา 6:35; 1 ยอห์น 4:8; 4:6; ยอห์น 8:44
ที่จริงแล้ว ไม่ยากที่จะแยกคนของพระเจ้ากับคนของมาร แต่ที่มันกลายเป็นยากเพราะคนของมารปลอมตัวมาเป็นคนของพระเจ้า ซึ่งในวันนี้ก็มีมากมายอย่างที่ท่านยอห์นได้เตือนเอาไว้ และคนที่ปลอมตัวนั้นก็หลอกเก่ง รู้ว่าคนอ่อนแอ ในเรื่องอะไรก็หลอกเรื่องนั้น อย่างเช่นว่าพระเจ้าจะอวยพรมากหากถวายมากเป็นต้น สิ่งที่เราสังเกตได้ว่าใครปลอมใครจริงอย่างหนึ่งคือ พวกเขามี ความรักหรือไม่
รักกันและกัน
และนี่เป็นสิ่งที่ท่านได้ยินมาตั้งแต่ต้น
นั่นคือ เราควรรักซึ่งกันและกัน
อย่าเป็นเยี่ยงคาอิน
ซึ่งเป็นคนของมาร
และได้ฆ่าน้องชายของตน
เหตุใดเขาทำเช่นนั้น ?
เป็นเพราะเขาทำการชั่ว
แต่ว่าน้องชายเป็นผู้เที่ยงธรรม
1ยอห์น 3:11-12
2 ยอห์น 1:5; 1 ยอห์น 4:7; 4:21; ยอห์น 15:12; 13:34-35; ฮีบรู 11:4; ปฐมกาล 4:4-15; ยูดา 1:11
ที่คาอินได้ทำชั่ว ฆ่าน้องชายของตน ต้นเหตุ แรกคือ เขาเป็นคนของมาร ชีวิตจึงเต็มด้วย ความชั่ว ในปฐมกาล 4:5 เราพบว่า ต้นเหตุของการฆ่าน้องคือความเย่อหยิ่ง เกลียดชัง
ในฮีบรู11:4 บอกว่าเป็นเพราะเขาขาดความเชื่อทั้งหมดนี้ล้วนแต่มืดดำ และไร้ซึ่งความรักฆ่าน้องแล้วเขาก็ยังเก็บเรื่องนั้นไว้อีก แต่พระเจ้าทรงเห็นทั้งหมด ตอนนี้ทั้งโลกก็เห็นด้วย
พี่น้องทั้งหลาย ไม่ต้องแปลกใจหากโลกเกลียดชังท่าน
เรารู้ว่า
เราผ่านพ้นจากความตายไปสู่ชีวิต
เพราะเรารักพี่น้องของเรา
ผู้ที่ไม่รัก ก็ยังคงอยู่ในความตาย
ทุกคนที่เกลียดชังพี่น้องของตนนั้น
นับได้ว่า เขาเป็นผู้ฆ่าคน
และท่านรู้ว่า
ฆาตกรไม่มีชีวิตนิรันดร์ในตัวเขา
1 ยอห์น 3:13-15
ยอห์น 15:18; 17:14; 2 ทิโมธี 3:12; ยากอบ 4:4; ยอห์น 13:35; 5:24; 1 ยอห์น 5:2; มัทธิว 5:21-22; สุภาษิต 26:24-26;วิวรณ์ 21:8
เราดูความเป็นไป อารมณ์ ความรู้สึกของคนในโลกวันนี้ได้ง่ายกว่าในอดีตมาก เราเห็นแล้วว่าความเกลียดชังได้ครอบครองสังคม จนกลายเป็นเรื่องปกติ ความรัก ความเมตตากลายเป็นสิ่งที่ หายากมาก เรื่องราวของความรัก ความดี
ปรากฏน้อยกว่าเรื่องของความเกลียดชัง และยิ่งถ้าใครเป็นคริสเตียนจริง ๆ แล้ว ก็เป็นที่ น่ารังเกียจของคนในโลก เพราะว่าชีวิต ของผู้เชื่อเป็นสิ่งที่พวกเขาทนไม่ได้
เรารู้จักความรักว่า เป็นอย่างไร
เพราะพระองค์
ได้สละชีวิตของพระองค์เพื่อเรา
และเราควรสละชีวิตของเรา
เพื่อพี่น้องด้วย
1 ยอห์น 3:16
ยอห์น 3:16; 10:11; 15:13; 1 ยอห์น4:9-11; เอเฟซัส 5:2
คำกล่าวข้างบนนี้ บอกถึงความรักที่เสียสละ ไม่ใช่รักที่ฉันจะเอาแต่ข้างเดียว แบบเห็นแก่ตัว แล้วกล่าวแค่คำว่า “ฉันรักเธอ” (ฉันขาดเธอไม่ได้เพราะว่าเธอมีประโยชน์กับฉันเหลือเกิน)แต่ความรักที่แท้นั้นก็คือคำว่า “เสียสละ”อย่างองค์พระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนนั้น สละให้ทั้ง ๆ ที่มนุษย์นั้นสุดที่จะเลว พระองค์ทรงสละชีวิตด้วยความตั้งพระทัยของพระองค์เอง!
เวลานี้ ถ้าใครมีทรัพย์สิ่งของ
และเห็นพี่น้องของเขา
มีความต้องการจำเป็น
แต่ยังปิดใจจากเขา
ความรักของพระเจ้า
จะอยู่ในคนนั้นได้อย่างไร?
ลูกเล็ก ๆ ทั้งหลาย
เราไม่ควรรัก
จากคำพูดและจากปากเท่านั้น
แต่รักกันด้วยการกระทำ
และความจริง
1 ยอห์น 3:17-18
เฉลยธรรมบัญญัติ 15:7; เอเสเคียล 33:31; ฮีบรู 13:6; 1 ยอห์น 4:20; ยากอบ 2:15-16; โรม 12:9
คำพูดจากปากที่ไม่มีการกระทำนั้น ง่ายราคาถูก สบายใจคนพูด แต่มันคือคำโกหกพกลม เราเจอคนอย่างนั้นมากมายในโลกเจอทุกวัน อยู่เต็มไปหมด ท่านยอห์นเองก็พบคน อย่างนั้นมากมายเช่นกัน ความรักที่แสดงออกด้วยการกระทำ ด้วยความจริง จากหัวใจนั้นเป็นทักษะที่ต้องฝึก ยิ่งทำยิ่งเก่ง
ยิ่งทำ ยิ่งเป็นธรรมชาติ กลายเป็นนิสัยส่วนตัวที่น่าชื่นชมของพระเจ้า
เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจึงรู้ว่า
เรามาจากความจริง
และเราจะได้มั่นใจ
ต่อพระพักตร์พระเจ้า
เพราะเมื่อใจของเรากล่าวโทษตัวเอง
พระเจ้าทรงเป็นใหญ่กว่าใจของเรา
และพระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง
1 ยอห์น 3:19-20
ยอห์น 18:37; 1 โครินธ์ 4:4-5; เยเรมีย์ 17:10; สดุดี 139:1-4; ฮีบรู 4:13
จากข้อที่ผ่านมาบอกให้เรารักด้วยการกระทำและด้วยความจริง หากเราทำเช่นนั้นในชีวิต ประจำวัน ทำเป็นกิจวัตร เราจึงรู้ว่า เรามาจาก ความจริง หรือพูดง่าย ๆ เรามาจากพระเจ้า
และในชีวิตประจำวันนั้น เวลาเราทำบาป เวลา ทำไม่ถูกต้อง ใจของเรานี่แหละจะบอกเราว่า “เฮ้ ทำไม่ถูกนะ ทำไมทำอย่างนี้? แก้ไขซะ” ใจที่อยู่ข้างพระเจ้าจะไม่สนับสนุนให้เราปล่อยบาปในชีวิตให้ลอยนวล
พี่น้องที่รัก
หากใจเราไม่กล่าวโทษตัวเรา
เราก็มีความมั่นใจ
ต่อพระพักตร์พระเจ้า
และเราจะขอสิ่งใดจากพระเจ้า
เราจะได้รับจากพระองค์
เพราะเรารักษาพระบัญญัติ
และทำสิ่งที่พระองค์พอพระทัย
1 ยอห์น 3:21-22
1 ยอห์น 2:28; 5:14; ฮีบรู 4:16; สดุดี 34:15; 7:3-5; ยอห์น 8:29; 15:7; มาระโก 11:24
พระคำข้อนี้ เป็นพระคำที่ให้กำลังใจกับหลายคน ที่กำลังท้อแท้ คนที่ไม่มั่นใจในการอธิษฐานเรามั่นใจได้เมื่อเราอธิษฐานจากพื้นฐานชีวิตที่รักษาพระบัญญัติแห่งรัก และทำสิ่งที่พอพระทัย การที่ใจเราถูกต้องกับพระเจ้า สารภาพบาป และเสียใจ สำนึกบาปจริง ๆ ตั้งใจที่จะไม่ทำสิ่งที่พลาดน้ำพระทัยอีก เราจึงจะมั่นใจต่อพระพักตร์พระเจ้าได้
และนี่คือพระบัญญัติ
คือให้เราเชื่อในพระนาม
ของพระเยซูคริสต์องค์พระบุตร
และให้เรารักซึ่งกันและกัน
ตามที่พระองค์
ประทานพระบัญญัติให้เรา
1 ยอห์น 3:23
มัทธิว 22:39; ยอห์น 15:2; 13:34; 6:29;
1 ยอห์น 3:11; 4:21
คำของท่านยอห์นทั้งเรียบง่ายกระชับได้ใจความ พระบัญญัติของพระเยซูนั้น มีสองอย่างที่เราต้อง รักษาตามที่พระคำข้อก่อนได้บอกไว้ เชื่อในพระเยซู และรักกันและกัน ทั้งสองจะทำให้ชีวิตในปัจจุบันและอนาคตปลอดภัย ทำให้เรามั่นใจได้ และรู้ว่า พระเจ้าจะทรงฟัง คำอธิษฐานจากคนเล็กน้อยอย่างเรา ขอบคุณพระเจ้าสำหรับคำสั่งที่เรียบง่ายนี้
คนที่รักษาพระบัญญัติ
ก็อยู่ในพระองค์
และพระองค์ทรงอยู่ในเขา
และโดยเหตุนี้ เราจึงรู้ว่า
พระองค์ทรงอยู่ในเรา
โดยพระวิญญาณ
ที่พระองค์ประทานแก่เรา
1 ยอห์น 3:24
ยอห์น 14:21,23; 17:21; โรม 8:9, 1 โครินธ์ 3:16; 6:19; 1 ยอห์น 4:15-16; 4:7; 3:22
การที่พระเจ้าทรงอยู่ในเราและเราอยู่ในพระองค์นั้น เป็นการอยู่ในกันและกัน มนุษย์อยู่ในพระเจ้าได้ด้วยการรักษาพระบัญญัติของพระองค์ คือการรับพระองค์เข้ามาในชีวิต และดำเนินตามน้ำพระทัยของพระองค์ ไม่จำกัดฐานะ วัย เพศ ยิ่งทำมาตั้งแต่เด็กก็ยิ่งดี