สดุดี 28 ทูลขอพระเจ้าช่วย และทรงตอบจริง ๆ

สดุดีของดาวิด
คำร้องคร่ำครวญและเหตุผลที่ขอให้พระเจ้าไม่ทรงนิ่งเฉย
1 โอ พระยาห์เวห์ ข้าร้องทูลหาพระองค์ พระศิลาของข้า
ขออย่าทรงเงียบเฉย เพราะหากพระองค์ทรงนิ่งเฉยอยู่
ข้าจะเป็นเหมือนคนที่ลงไปยังหลุมลึกแดนตาย
2 ขอพระองค์ทรงฟังเสียงร้องทูลของข้า
เมื่อข้าร้องขอความช่วยเหลือจากพระองค์
เมื่อข้ายกมือขึ้นไปยังสถานที่บริสุทธิ์ยิ่งของพระองค์

คำขอให้พระเจ้าทรงจัดการกับคนชั่วร้าย
3 ขออย่าทรงลากเอาตัวข้าออกไป
พร้อมกับคนชั่วร้าย หรือคนที่ทำการชั่ว
คนที่พูดถึงความสงบสันติกับเพื่อนบ้าน
แต่ในใจเต็มด้วยความโหดเหี้ยม
4 ขอพระเจ้าทรงตอบสนองพวกเขาตามการชั่ว
ขอทรงตอบสนองตามที่มือของเขากระทำ
ขอทรงตอบสนองเขาตามที่เขาควรได้รับ
5 เพราะพวกเขาไม่สนใจว่า พระยาห์เวห์ทรงกระทำสิ่งใดบ้าง
ไม่สนใจพระหัตถกิจของพระองค์
พระองค์จะทรงโค่นพวกเขาลง และไม่สร้างขึ้นมาใหม่

สรรเสริญพระเจ้าที่ทรงฟัง
6 ถวายพระพรแด่พระยาห์เวห์
เพราะพระองค์ทรงฟังเสียงที่ข้าร้องทูล
7 พระยาห์เวห์ทรงเป็นกำลังและเป็นโล่ของข้า
ข้าวางใจในพระองค์ และข้าได้รับความช่วยเหลือ
ดังนั้น ใจของข้าจึงยินดียิ่งนัก
และข้าขอบคุณพระองค์ด้วยบทเพลงสรรเสริญ
8 พระยาห์เวห์ทรงเป็นกำลังของประชากรของพระองค์
พระองค์เองทรงเป็นที่หลบภัยให้รอดสำหรับคนที่ทรงเจิม
9 ขอทรงช่วยประชากรของพระองค์ให้รอด
ขอทรงอวยพระพรแก่คนที่เป็นมรดกของพระองค์
ขอทรงเป็นพระผู้เลี้ยงของพวกเขา
และอุ้มชูพวกเขาขึ้นตลอดไปเป็นนิตย์

พระคำเชื่อมโยง

1* สดุดี 35:22, 39:12, 83:1, 88:4, 143:7,

2* สดุดี 5:7,138:2 , 1 ทิโมธี 2:8

3*สดุดี 12:2, 55:21,62:4, เยเรมีย์ 9:8

4* สดุดี 62:12, 2 ทิโมธี 4:14, วิวรณ์ 18:6, 22:12

5*อิสยาห์ 5:12, โรม 1:28, ยอห์น 12:37

6* สดุดี 107:19-22, 116:1-2, 69:33-34

7*สดุดี 18:2, 59:17, 13:5,112:7

8*สดุดี 20:6

9*ฉธบ. 9:29,32:9, 1 พงษ์กษัตริย์ 8:51, สดุดี 33:12,106:40,​ฉธบ 1:31, อิสยาห์ 63:9

ข้อ 1-2
คำร้องคร่ำครวญและเหตุผลที่ขอให้พระเจ้าไม่ทรงนิ่งเฉย
กษัตริย์ดาวิดกำลังมีใจเป็นทุกข์หนักมาก ท่านรู้ว่า ถ้าพระเจ้าทรงเมินเฉยกับท่าน ถ้าพระเจ้าไม่ทรงช่วย ท่านก็ไม่ต่างอะไรจากคนที่ไม่มีพระเจ้า การลงไปในหลุมลึก มีความหมายว่าตาย พระคำตอนนี้ เราเองเอามาร้องทูลต่อพระเจ้าด้วยเช่นเดียวกัน ท่านบอกเราในคำอธิษฐานว่า ยกมือไปยังสถานที่บริสุทธิ์ เราจะมองเห็นภาพของคนที่ยื่นมือร้องขอความช่วยเหลืออย่างสุดหัวใจ

ข้อ 3-5
คำขอให้พระเจ้าทรงจัดการกับคนชั่วร้าย
เป็นคำอธิษฐานที่แปลก อย่างแรก กษัตริย์ดาวิดขอพระเจ้าอย่าทรงลงโทษท่านไปพร้อมกับคนชั่ว
ท่านกล่าวถึงคนที่ “หน้าซื่อใจคด” โดยเฉพาะ อย่างที่สองของพระเจ้าตอบสนองตามที่พวกเขาได้ทำชั่วร้ายกับผู้อื่น คนเหล่านี้ ไม่สนใจพระเจ้าเลย ไม่สนใจว่าพระองค์ทรงทำอะไรบ้าง พวกเขาใช้ชีวิตเสมือนว่าไม่มีพระเจ้าครอบครองอยู่

ข้อ 6-9
สรรเสริญพระเจ้าที่ทรงฟัง
สดุดีบทนี้ได้บอกเราว่า พระเจ้าทรงเป็นอย่างไรในชีวิตของผู้เชื่อบ้าง เมื่อเราอ่านและใคร่ครวญ เราจะเห็นว่า ผู้ที่อยู่ในพระเจ้านั้น อยู่ในฐานะที่มีเกียรติเพราะมีพระเจ้าเป็นผู้ปกป้อง มีพระเจ้าเป็นหลาย ๆ อย่างในชีวิต สิ่งที่ดาวิดลงมือทำเมื่อพระเจ้าทรงฟังคำทูลของท่านคือ
1 ถวายพระพร 2 ขอบคุณด้วยบทเพลง 3 ทูลขอเพิ่มให้พระเจ้าทรงช่วยประชาชนในอิสราเอล
ให้พวกเขารอด ให้ได้รับการเลี้ยงดู รับการอุ้มชูตลอดไป

มาระโก 2 สี่เรื่องราวในคาเปอรนาอุม

หายทั้งจากบาปและจากโรค

1 สองสามวันผ่านไป พระเยซูทรงกลับเข้าไปในเมืองคาเปอรนาอุมอีกครั้ง
ชาวเมืองได้ยินว่า พระองค์มาประทับที่บ้าน
2 ผู้คนจึงพากันมารวมตัวกันที่นั่น จนไม่มีที่ว่าง แม้ตรงประตู
และพระองค์ทรงประกาศพระคำแก่พวกเขา   
3  มีชาย 4 คนหามชายเป็นอัมพาตมาหาพระองค์
4  เมื่อพวกเขาไม่อาจนำชายเป็นอัมพาตเข้ามาถึงพระองค์ เพราะคนแน่นมาก
    พวกเขาจึงขึ้นไปรื้อหลังคาเหนือพระเยซู 
    เมื่อรื้อสำเร็จ พวกเขาก็หย่อนแคร่ที่ชายอัมพาตนอนลงมา
5  เมื่อพระเยซูทรงเห็นความเชื่อของพวกเขา ก็ตรัสกับชายอัมพาตว่า
    “ลูกเอ๋ย บาปทั้งหลายของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว” 
​​​  (ภาษาเดิมทำให้ทราบว่าคำนี้เป็นคำพูดว่า พระเจ้าทรงให้อภัย) 
6 แต่มีพวกธรรมาจารย์นั่งอยู่ใกล้ ๆ ก็พากันคิดในใจของตนว่า
7  “เหตุใดชายคนนี้จึงกล่าวเช่นนี้?  นี่เขากำลังหมิ่นประมาทพระเจ้านี่นา
นอกเหนือจากพระเจ้าแล้ว จะมีใครอภัยบาปได้เล่า?”
8  เวลานั้นเอง พระเยซูทรงทราบในพระทัยว่า พวกเขากำลังคิดแบบนั้นกันอยู่ 
พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “เหตุใดพวกท่านจึงคิดในใจเช่นนั้น?
9  พูดอย่างไหนจะง่ายกว่ากัน ที่จะกล่าวกับคนป่วยว่า ‘บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว’ 
หรือกล่าวว่า ‘ จงลุกขึ้น หยิบแคร่ของเจ้าแล้วเดินไป’ ?
10  แต่เพื่อพวกท่านจะรู้ว่า บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะอภัยบาปได้”
พระองค์จึงตรัสกับชายอัมพาตว่า
11 “เราขอบอกเจ้าว่า จงลุกขึ้น ยกแคร่ของเจ้าและกลับบ้านไป”
12 ชายคนนั้นลุกขึ้นทันที หยิบแคร่ของเขา เดินออกไปต่อหน้าทุกคน  พวกเขาต่างประหลาดใจและกล่าวสรรเสริญยกย่องพระเจ้าว่า “เราไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย!” 

“ตามเรามาเถอะ เลวี! “

13  พระเยซูทรงดำเนินไปริมทะเลอีก ผู้คนพากันมาหาพระองค์ และพระองค์ทรงสอนพวกเขา
14 ขณะที่ทรงผ่านไป ก็ทรงเห็นเลวีลูกชายของอัลเฟอัส
เขากำลังนั่นอยู่ที่ด่านเก็บภาษี พระองค์ตรัสกับเขาว่า
“ตามเรามา” เขาก็ลุกขึ้นและตามพระองค์ไป
15 ขณะที่พระเยซู รับประทานอาหารในบ้านของเลวี ก็มีคนเก็บภาษีหลายคน
รวมทั้งคนบาป (ในสายตาของยิว) กำลังนั่งรับประทานอาหารกับพระองค์ รวมทั้งพวกศิษย์
เพราะมีหลายคนติดตามพระองค์ไปด้วย
16 เมื่อผู้เชี่ยวชาญธรรมบัญญัติและพวกฟาริสีเห็นว่า
​​​​ พระองค์รับประทานอาหารกับคนบาปและคนเก็บภาษี
จึงกล่าวแก่พวกศิษย์ของพระองค์ว่า “ทำไมท่านจึงกินอาหารกับคนเก็บภาษีและคนบาป?”
17 เมื่อพระเยซูทรงได้ยินดังนั้นจึงตรัสกับพวกเขาว่า
​​​ “คนที่สุขภาพดีแล้วก็ไม่ต้องการหมอ  แต่คนเจ็บป่วยต้องการหมอ 
เราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มาเรียกคนบาป”

ของใหม่ที่ไปด้วยกัน

18 ตอนนั้น ศิษย์ของยอห์นและพวกฟาริสีกำลังอยู่ในช่วงเวลาอดอาหาร
ดังนั้นพวกเขาจึงมาหาพระเยซู กล่าวว่า
“ศิษย์ของยอห์น และศิษย์ของฟาริสีพากันอดอาหาร แต่เหตุใดศิษย์ของท่านไม่อดอาหาร?”
19 พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “แขกในงานเลี้ยงแต่งงานไม่อดอาหาร
ยามที่เจ้าบ่าวอยู่กับพวกเขา อย่างนั้นไม่ใช่หรือ? 
20 แต่จะมีวันหนึ่งที่เจ้าบ่าวถูกนำไปจากพวกเขา ถึงเวลานั้นพวกเขาจะอดอาหาร”
21”ไม่มีใครเย็บเศษผ้าที่ยังไม่หดตัว เข้ากับผ้าเก่า เพราะไม่อย่างนั้น ผ้าที่ปะไว้จะดึงรั้งผ้าเก่าให้
ขาดมากขึ้น  และรอยขาดก็จะแย่กว่าเดิม”
22 “และไม่มีใครเทน้ำองุ่นใหม่ลงในถุงหนังเก่า มิฉะนั้นเหล้าองุ่นใหม่จะทำให้ถุงนั้นขาด
ทั้งเหล้าองุ่นและถุงหนังจะเสียไป
ดังนั้นเหล้าองุ่นใหม่ก็จะต้องเทลงในถุงหนังใหม่”

เจ้าเหนือวันสะบาโต


23 วันสะบาโตหนึ่ง พระเยซูทรงเดินผ่านเข้าไปในนาข้าว
     ระหว่างที่เดินไปนั้น ศิษย์ของพระองค์ก็เริ่มเด็ดรวงข้าวไปพลาง
24 เหล่าฟาริสีพูดกับพระองค์ว่า “ดูสิ ทำไมพวกเขาจึงทำสิ่งที่ผิดกฏวันสะบาโต?”
25  พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าไม่เคยอ่านเลยหรือว่า กษัตริย์ดาวิดทรงทำอะไรยามที่ท่านและผู้ติดตามพากันหิวโซและไม่มีอะไรกิน  
26  ท่านได้เข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้าสมัยที่ท่านอาบีอาธาร์เป็นมหาปุโรหิต และกินขนมปังบริสุทธิ์ซึ่งเป็นการทำผิดกฎบัญญัติ เพราะเป็นขนมปังสำหรับปุโรหิตเท่านั้น และท่านยังส่งให้ผู้ติดตามของท่านด้วย”
27  แล้วพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า  “วันสะบาโตนั้นสร้างไว้เพื่อมนุษย์  ไม่ใช่สร้างมนุษย์เพื่อวันสะบาโต 
28  ด้วยเหตุนี้เอง บุตรมนุษย์จึงเป็นเจ้านายเหนือวันสะบาโต”


คำอธิบายเพิ่มเติมและพระคำเชื่อมโยง

มาระโก 2:1-12
เรื่องนี้ปรากฎอยู่ที่ มัทธิว 9:1-8 และ ลูกา 5:17-26. ด้วย
เมืองคาเปอรนาอุมอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลสาบกาลิลี. พระเยซูทรงทำการอัศจรรย์ที่เมืองนี้หลายครั้ง คาดว่าในช่วงเวลานั้นมีประชากรประมาณ 1,500 คน เมืองนี้อยู่ใต้ระดับน้ำทะเล  204 เมตร (netbible.org)
ท่านมาระโกเริ่มต้นเล่าเรื่องเหล่านี้แบบรวดเร็ว พระเยซูมา คนได้ยินข่าว พวกเขามารวมกัน พระเยซูทรงสอนพระคำ..ชายสี่คนหามเพื่อนที่เป็นอัมพาตมาหาพระองค์​ พวกเขารื้อหลังคา. บ้านของคนปาเลสไตน์สมัยก่อนมีบันไดขึ้นไปหลังคาด้วย ตัวหลังคามักทำด้วยไม้แผ่น หรือขื่อที่ใช้ดินพอกกับใบปาล์มช่วยปิดกันลมฝน
ข้อ 5 พระเยซูทรงเห็นความเชื่อของชายทั้งสี่และชายเป็นอัมพาตที่ตั้งใจมาพบพระองค์ให้ได้ เวลานั้น พระองค์ทรงตอบพวกเขาทันที โดยพวกเขาไม่ต้องพูดอะไร แค่ทำให้เห็นก็รู้แล้วว่าต้องการอะไร
คำของพระเยซูที่ว่า “บาปของเจ้าได้รับการอภัยนั้น มีความหมายว่า บาปได้รับการอภัยจากพระเจ้าแล้ว” แต่ในวันนั้นมีคนที่เชี่ยวชาญในเรื่องธรรมบัญญัตินั่นอยู่ พวกเขารู้สึกไม่พอใจกับคำตรัสนั้น หงุดหงิดคิดในใจว่าพระเยซูกำลังทำตัวเสมอพระเจ้า เพราะมีพระเจ้าเท่านั้นที่จะอภัยบาปได้
ทันทีที่พวกเขาคิด พระเยซูก็ทรงทราบว่าพวกเขาคิดอะไรกัน จึงตรัสถามว่าทำไมต้องคิดชั่งใจในเรื่องนี้ อะไรง่ายกว่ากัน การพูดยกโทษบาป หรือทำให้เห็นเลยว่า ชายคนนี้หายโรคแล้ว?
พระองค์จึงทรงสั่งให้เขาลุกเดินกลับบ้านให้เห็นต่อหน้าต่อตาเสียเลย
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ พวกเขานึกขึ้นได้ว่า ไม่เคยเห็นการอัศจรรย์อย่างนี้มาก่อน เป็นไปได้อย่างไร คนที่เป็นอัมพาตจะเดินได้คล่องขนาดนี้ แถมขนแคร่กลับบ้านเองด้วย
คนยิวเองไม่เชื่อว่า ใครจะยกโทษให้ใครได้จริง นอกจากพระเจ้าเท่านั้น พวกเขาจึงคิดว่าสิ่งที่ พระเยซูตรัสเป็นการหมิ่นพระเจ้า แต่พระเยซูกำลังจะชี้แจงให้พวกเขาได้รู้ว่า พระองค์นี่แหละคือพระเจ้า!
ทรงเรียกพระองค์เองว่า บุตรมนุษย์ ซึ่งมีความหมายว่า พระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ที่พระเจ้าทรงส่งมา ทรงเป็นตัวแทนของมนุษย์ต่อพระเจ้า (ดาเนียล 7:13-14)
เหตุการณ์วันนี้ ทำให้คนที่อยู่ ได้ประสบว่า พระเยซูทรงยกโทษบาปได้ พระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ พระองค์ทรงมีอำนาจเหนือความเจ็บป่วย ทุกคนในบ้านเป็นพยานได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนในบ้านนั้น จะรับว่าทรงเป็นพระเจ้า
1*มัทธิว 9:1. 3*มัทธิว 4:24, 8:6, กิจการ 8:7,9:33, 7* โยบ 14:4, อิสยาห์ 43:25, ดาเนียล 9:9, 9* มัทธิว 9:5, 12*มัทธิว 15:31, ฟีลิปปี 2:11,

มาระโก 2:13-17
เรื่องนี้ปรากฏใน มัทธิว 9:9-13 และ ลูกา 5:27-32 ด้วย
ต่อมาเมื่อทรงไปริมทะเล ก็พบเลวีที่ด่านเก็บภาษี นอกจากทรงสอนประชาชนแล้ว ยังทรงชวนให้ตามพระองค์ ซึ่งเขาก็ตอบพระองค์ทันทีและยังเชิญพระองค์ไปรับประทานอาหารที่บ้านพร้อมกับเพื่อน ๆ ของเขา และคนอื่น ๆ ในมื้อนี้มีศิษย์ของพระองค์อีกหลายคนได้ร่วมโต๊ะด้วย
แต่คนเก่งธรรมบัญญัติและฟาริสีก็ (คนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มยิวที่ทุ่มเทชีวิตให้กับการรักษาบัญญัติ และกฏทางพิธีกรรมต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด) ยังหาเรื่อง ข้ออ้างของพวกเขาคือ พระองค์ทรงกินอาหารกับคนเก็บภาษี คนบาป (การกินอาหารแบบนี้ คือการเอนตัวลงข้าง ๆ กินอาหารไปกับคนอื่น ๆ ท่าทางการกินจึงดูสนิทสนมกันมาก )พระองค์ก็เลยบอกพวกเขาไปว่า พระองค์ไม่ได้มาหาคนดีอย่างพวกเขา แต่มาหาคนที่รู้ว่าตนเองเป็นคนบาป
การเก็บภาษีสมัยนั้น จะมีการตั้งด่านที่ท่าเรือ ทางเข้าเมืองเพื่อเก็บภาษีสินค้าที่เข้ามาขายในพื้นที่ ใครอยากเป็นคนเก็บภาษีก็จะต้องไปเข้าประมูลเพื่อให้ตนมีสิทธิที่จะเก็บภาษีได้ คนพวกนี้จะจ้างคนเก็บภาษีมาประจำที่ด่าน พวกเขาจะเก็บเงินภาษีสูงกว่าปกติเพื่อส่วนต่างจะเป็นของพวกเขา อีกส่วนก็ส่งให้กับรัฐไป ธุรกิจนี้เต็มด้วยการคดโกง การให้สินบน และอื่นๆ ที่สามารถทำเงินจากช่องโหว่ของกฎหมาย
เท่ากับว่า เลวี คนที่พระเยซูทรงเรียก เป็นคนที่ใคร ๆ ก็เกลียดชังเพราะหน้าที่การงานของเขา แต่พระเยซูกลับไม่ได้มองเรื่องนั้น พระองค์ทรงมาเรียกคนบาปอย่างเลวีนี่แหละ
แต่สิ่งที่พวกฟาริสีกำลังจะบอกก็คือ เขาเห็นว่า พระเยซูไม่ได้เป็นคนสะอาด ไม่ได้แยกตัวออกจากคนบาป คำว่าคนบาปของพวกเขา คือ คนที่ไม่ได้สนใจรักษาบัญญัติของโมเสส ในสายตาของพวกเขา คนเหล่านี้ชั่วร้าย และไร้ค่า
13* มัทธิว 9:9, 14* มัทธิว 9:9-13, ลูกา 5:27-32, มัทธิว 4:19, 8:22, 19:21, ยอห์น 1:43, 12:26, 21:22, ลูกา 18:28 15* มัทธิว 9:10, 17* มัทธิว 9:12, 13, 18:11, ลูกา 5:31,32, 19:10

มาระโก. 2:18-22
ศิษย์ของยอห์น(ผู้ให้บัพติศมา) ยังไม่ได้ติดตามพระเยซูจริงจัง อาจารย์ของพวกเขายังติดคุกอยู่ (มัทธิว 4:12) พวกเขาอาจอดอาหารอธิษฐานเผื่ออาจารย์ของเขา ส่วนฟาริสีจะอดอาหารอธิษฐานกันสัปดาห์ละสองครั้ง ตามกฎของฟาริสี (ในพระคัมภีร์เดิมมีบอกให้อดอาหารในวันลบมลทินบาป ปีละครั้ง เลวีนิติ 16:31 พูดถึงการบังคับใจตนเอง ซึ่งหมายความถึงการอดใจไม่กิน)
ดังนั้นการอดอาหารของฟาริสีจึงเป็นข้อบังคับที่พวกเขาเขียนขึ้นมาทีหลังเป็นการแสดงออกว่าพวกเขาเคร่งครัดมาก
เวลาพระเยซูตรัสตอบเขา ก็ไม่ได้ตอบตรง ๆ ตรัสเป็นคำเปรียบเทียบและตั้งคำถามอีก
เรื่องที่พระองค์ตรัสถึงงานเลี้ยงสมรสมีความหมายถึง เวลาที่พระเมสสิยาห์อยู่กับพวกเขา และพระองค์กำลังตรัสถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ด้วย ซึ่งดู ๆ ไปแล้ว จะมีใครเข้าใจว่าพระองค์ทรงหมายถึงอะไรในเวลานั้น พวกเขายังไม่รู้ชัดว่า พระองค์คือผู้ใดจนกว่าจะถึงวันที่ทรงถามเปโตร
(มาระโก 8:27-30) คำตอบที่พวกเขาได้ก็อาจจะเป็นว่า เมื่อไรที่พระองค์ไม่อยู่แล้ว พวกศิษย์จะอดอาหารอธิษฐานเองนั่นแหละ
แต่แล้วทรงตรัสเป็นเรื่องอีกเรื่องถึงเหล้าองุ่นใหม่ต้องใส่ในถุงหนังใหม่ พระองค์ทรงหมายความว่าอย่างไรกัน?
ในสมัยนั้น เขาเก็บเหล้าองุ่นไว้ในถุงหนัง ถ้าเป็นเหล้าใหม่ ต้องใส่ในถุงหนังใหม่ที่มีความยืดหยุ่นสูง. เหล้าใหม่มันจะขยายตัวมาก ดังนั้น ถ้าเกิดเอาเหล้าใหม่ใส่ถุงเก่าที่ยืดแล้ว มันจะยืดอีกจนขาด ความหมายคือ คำสอนและทุกสิ่งที่ตรัสนั้นเป็นของใหม่ที่ไม่อาจเอาไปอยู่รวมกับกฎเกณฑ์ของศาสนายิวที่ฟาริสียึดมั่นได้เลย เพราะสิ่งที่พระองค์ทรงสอนนั้นเป็นเรื่องของชีวิตที่เปลี่ยนจากภายใน เป็นเรื่องของการที่พระเจ้าทรงปกครองใจ ไม่ใช่ให้กฎบัญญัติมาครองใจ
18* มัทธิว 9:14, 17, ลูกา 5:33-38, 20*กิจการ 1:9, 13:2, 3, 14:23,

มาระโก 2:23-28
อีกครั้งที่ฟาริสีหาเหตุกล่าวโทษพระเยซู เพียงเพราะศิษย์ของพระองค์เด็ดรวงข้าวกิน (พวกเขาไม่ได้เก็บข้าวแล้วใส่ย่ามไป) แค่เด็ดกินตรงนั้น พวกเขาก็มองว่าเป็นการผิดกฎสะบาโตที่พวกเขาตั้งกันขึ้นมา พระเยซูจึงทรงย้อนถามไปถึงวันที่ปุโรหิตกับดาวิดที่กำลังหนีกษัตริย์ซาอูลได้ละเมิดกฎ โดยเอาอาหารให้คนที่ไม่ใช่ปุโรหิตกินเพื่อจะมีแรงหนีต่อไปได้
เรื่องราวนั้นคือ ….ในสมัยที่กษัตริย์ซาอูลซึ่งเป็นกษัตริย์องค์แรกของอิสราเอลครอบครองนั้น ตอนนั้นท่านอาบีอาธาร์เป็นมหาปุโรหิต ดูแลฝ่ายวิญญาณของอิสราเอล แต่ผู้ที่เป็นปุโรหิตที่มอบอาหารให้ดาวิดนั้นคือ อาหิเมเลค ซึ่งเป็นปุโรหิตประจำที่เมืองโนบ อ่าน 1 ซามูเอล 21:1
ดาวิดกำลังหนีกษัตริย์ซาอูล และต้องการอาหาร และอาหิเมเลคไม่มีอาหารอื่นนอกจากขนมปังบริสุทธิ์ และก็มอบให้ดาวิดไปเพื่อให้กับผู้คนที่ติดตามท่านมา
พระเยซูกำลังบอกพวกเขาว่า วันสะบาโตมีไว้ให้พักผ่อน มีเพื่อมนุษย์ ให้เป็นพรสำหรับเขา แต่ฟาริสีกลับเปลี่ยนวันแห่งพระพรให้กลายเป็นวันแห่งภาระหนักที่ต้องแบก ต้องคอยระมัดระวังไม่ให้ผิดกฎ
และพระองค์จึงเสริมให้เขารู้ว่า พระองค์ทรงเป็นเจ้า เหนือวันสะบาโต พระองค์ไม่ได้ใหัมันเป็นภาระที่ต้องแบก แต่เป็นพระพรให้กับชีวิตของคนอื่น ดังนั้น ในวันสะบาโตจะทรงทำอะไรที่ทรงเห็นสมควรย่อมได้เสมอ
23* ลูกา 6:1-5, เฉลยธรรมบัญญัติ 23:25, 24* อพยพ 20:10, 31:15, 25* 1 ซามูเอล 21:1-6, 26* เลวีนิติ 24:5-9, 27* เฉลยธรรมบัญญัติ 5:14 28* มัทธิว 12:8

บรรณานุกรม
netbible.org
Macarthur, John. The MacArthur Study Bible.

สดุดี 27 พระเจ้าทรงเป็นแสงสว่างและความรอดของข้า

สดุดีของดาวิด
พระเจ้าทรงเป็นแสงสว่างและความรอด
1 พระยาห์เวห์ทรงเป็นแสงสว่างและความรอดของข้า
ข้าจะต้องกลัวใคร?
พระยาห์เวห์ทรงเป็นที่กำบังของชีวิตข้า
แล้วข้าจะต้องหวาดหวั่นเพราะใคร?
2 เมื่อคนชั่วกำลังบุกเข้ามาขย้ำเลือดเนื้อข้า
ศัตรูและคู่ต่อสู้ของข้าจะสะดุดและล้มลง
3 ถึงแม้กองทัพจะตั้งค่ายล้อมรอบข้า
ใจข้าจะไม่หวาดหวั่น
แม้สงครามเกิดขึ้นต่อต้านข้า ข้าก็ยังจะมั่นใจ

ทูลขอที่จะได้อยู่ในพระนิเวศ
4 สิ่งเดียวที่ข้าทูลขอจากพระยาห์เวห์
เป็นสิ่งที่ข้าเฝ้าหา นั่นคือ
เพื่อข้าจะได้พักในพระนิเวศของพระยาห์เวห์
ตลอดชีวิตของข้า
เพื่อจะได้พินิจความงามของพระยาห์เวห์
และแสวงหาพระองค์ในพระนิเวศของพระองค์

ในวันลำบากพระเจ้าทรงซ่อนไว้
5 เพราะในวันแห่งความยากลำบาก
พระองค์จะทรงซ่อนข้าไว้ในพลับพลาของพระองค์
พระองค์จะทรงซ่อนข้าไว้ในที่ประทับลี้ลับของพระองค์
พระองค์จะทรงตั้งข้าไว้สูงบนศิลา
6 และบัดนี้ ศีรษะของข้าจะอยู่สูงเหนือศัตรูที่ล้อมรอบ
และข้าจะถวายเครื่องบูชาด้วยเสียงตะโกนแห่งความยินดี
ข้าจะร้องเพลง ใช่แล้ว ข้าจะร้องเพลงถวายพระยาห์เวห์

ตามหาพระเจ้าผู้ทรงซื่อตรง
7 ขอทรงโปรดฟัง โอ พระยาห์เวห์ เมื่อข้าร้องลั่น
ขอทรงพระเมตตา และตอบข้าด้วย
8 เมื่อพระองค์ตรัสว่า “จงตามหาหน้าของเรา”
ใจของข้าทูลต่อพระองค์ว่า “ พระพักตร์ของพระองค์
โอพระยาห์เวห์ ข้าจะตามหาพระองค์”
9 ขออย่าทรงซ่อนพระพักตร์ของพระองค์จากข้า
ขออย่าทรงเมินจากผู้รับใช้ของพระองค์ไป
ด้วยพระพิโรธ พระองค์ทรงเป็นผู้ช่วยของข้า
ขออย่าทรงละทิ้ง หรือทอดทิ้งข้าไป
โอ พระเจ้าแห่งความรอดของข้า
10 แม้ว่าพ่อและแม่ทอดทิ้งข้า พระยาห์เวห์ทรงรับข้าไว้

ทูลขอพระเจ้าทรงนำ
11 โอ พระยาห์เวห์ ขอทรงสอนทางของพระองค์ และขอทรงนำข้า
ไปตามทางราบเนื่องจากเหล่าศัตรูของข้า
12 ขออย่าทรงมอบข้าไว้ให้อยู่ในเงื้อมมือของศัตรู
เพราะมีพยานเท็จลุกฮือขึ้นต่อต้านข้า
พวกเขาหายใจออกมาเป็นความรุนแรง
13 ข้ามั่นใจว่า ข้าจะได้เห็นความดีเลิศของพระยาห์เวห์
ในแผ่นดินของคนเป็น

หนุนน้ำใจคนอื่นให้วางใจพระเจ้า
14 จงรอคอยพระยาห์เวห์
จงกล้าหาญเถิด และพระองค์จะทรงให้กำลัง
จงรอคอยพระยาห์เวห์

พระคำเชื่อมโยง

1* สดุดี 18:28,84:11, อิสยาห์ 60:19-20, ,มีคาห์ ,ฮีบรู 16:3

2* สดุดี 9:3, 118:12, อิสยาห์ 8:15

3*สดุดี 3:6, วิวรณ์ 2:10


4* สดุดี 26:8,23:6, 65:4, 84:10

5* สดุดี 31:20, 138:7, สุภาษิต 18:10, โคโลสี 3:3

6* สดุดี 3:3, 107:22, ฮีบรู 13:5, วิวรณ์ 15:3

7* สดุดี 130:2-4, 13:3,5:2,4:1

8*สดุดี 105:4, 119:58, เยเรมีย์ 29:12-13

9* สดุดี 69:17, 143:7, 102:2

10* อิสยาห์ 49:15,40:11

11*สดุดี 25:4, 86:11, 119:33, สุภาษิต 2:6-9

12* สดุดี 35:11,31:8, ฉธบ. 19:18, มัทธิว 26:60, ยอห์น 19:33

13* โยบ 28:13, สดุดี 52:5, 116:9, 142:5, อิสยาห์ 38:11, เยเรมีย์ 11:9

14* ปฐมกาล 48:18, สดุดี 25:5, 37:7, 62:5

อธิบายเพิ่มเติม

บทนี้ มีข้อความ อารมณ์ความรู้สึก เหมือนสดุดี 18:1-50 และ สดุดี 28:1-9

สดุดี 27:1-3
พระเจ้าทรงเป็นแสงสว่าง … นี่เป็นการบอกตรง ๆ ว่าพระเจ้าทรงเป็นแสงสว่าง เหมือนกับที่ยอห์นบอกไว้ ใน ยอห์น 1:4-9 คิดสิว่า แสงสว่างนั้นให้อะไรกับชีวิตของเราบ้าง ถ้าไม่มีพระเจ้า ก็ไม่มีแสงสว่างในชีวิตทั้งทางกายภาพและทางจิตวิญญาณ
กษัตริย์ดาวิดกล่าวถึงศัตรูว่าจะมาขย้ำกินเลือดเนื้อของท่าน. ท่านเห็นศัตรูเหมือนสัตว์ที่โจมตีอย่างดุร้าย คำของท่านทำให้เราเห็นภาพชัดเจนว่า ศัตรูนั้นน่าหวาดหวั่นเพียงใด แต่แล้ว ท่านกลับพลิกความรู้สึกนั้นเป็นความมั่นใจ ไม่กลัว เพราะท่านบอกแล้วว่า พระเจ้าทรงเป็นทั้งแสงสว่าง ความรอด ที่กำบัง (ข้อ 1)

สดุดี 27:4
และแล้วเราก็มาเห็นว่าท่านมีเป้าหมายเดียวในชีวิตคือ ที่จะได้จ้องดู ได้พินิจความงามของพระยาห์เวห์ จะได้แสวงหาพระเจ้า จะได้พักในพระนิเวศ นั่นคือท่านต้องการมองพระเจ้า ถามสิ่งต่าง ๆ ที่สงสัย ตามหาพระเจ้าและน้ำพระทัยของพระองค์
นี่เป็นแก่นแท้ของการนมัสการพระเจ้า พูดจริง ๆ คือ ท่านมุ่งใจไปที่องค์พระเจ้าและน้ำพระทัยของพระองค์มากกว่า สิ่งที่อยู่รอบตัวซึ่งล้วนนำมาซึ่งความรู้สึกทางลบ
ย้อนกลับไปที่สดุดี 23:6 6 แน่นอน ที่ความดีและความรักมั่นคงของพระองค์จะตามติดข้าไปตลอดชีวิตของข้าและข้าจะอาศัยในพระนิเวศของพระยาห์เวห์เป็นนิตย์ เป็นความรู้สึกเดียวกันที่กษัตริย์ดาวิดมีต่อพระนิเวศของพระเจ้า

สดุดี 27:5-6
เมื่อกษัตริย์ดาวิดมาตามหาพระเจ้า มาพบพระองค์ สิ่งที่ท่านได้ตามมาก็คือ การปกป้องจากศัตรู การมีความมั่นคงในชีวิต ท่านมั่นใจว่า พระเจ้าจะทรงยกท่านเหนือศัตรูทั้งหลายที่พยายามขย้ำท่านอยู่ ในข้อ 6 มีคำมั่นสัญญาว่าจะถวายเครื่องบูชาและร้องเพลงถวายพระเจ้า


สดุดี 27:7-10
ตามหา แสวงหาพระเจ้าผู้ซื่อตรง
หลังจากข้อ 6 ดูเหมือนว่า กษัตริย์ดาวิดยังไม่ได้รับคำตอบจากพระเจ้า ท่านขอพระเจ้าด้วยเสียงดังมาก ๆ ขอให้พระเจ้าทรงฟัง ทรงเมตตา ทรงตอบ โดยติดตามหาพระเจ้าอย่างอย่างมุ่งมั่นตามที่ท่านได้ยินพระดำรัสสั่งของพระองค์
คำขอนั้น ขออย่าซ่อนพระพักตร์. ขออย่าเมิน ขออย่าทรงละทิ้ง นี่เป็นความรู้สึกอันรุนแรงของบุรุษผู้หนึ่งที่พระเจ้าทรงใช้ให้เป็นผู้ปกครองคนของพระองค์ เห็นได้ชัดว่า แม้จะดูแข็งแกร่ง เป็นผู้นำ ใคร ๆ ก็ติดตาม. แต่เบื้องหลังของท่านนั้นคือการเข้ามาหาความช่วยเหลือของพระเจ้าด้วยรู้จักตนเองว่าเป็นอย่างไร ไม่อายที่จะทูลพระองค์ว่า ท่านเองต้องการพระองค์ขนาดไหน นี่คือ คนที่รู้จักตนเองจริง คนที่ถ่อมตนจริง ๆ

สดุดี 27:11-13
ทูลขอพระเจ้าทรงนำ
กษัตริย์ดาวิดขอพระเจ้าทรงสอนทาง ขอทรงนำ ขออย่าให้ตกในเงื้อมมือของศัตรู
และในขณะที่ท่านกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูเหล่านั้น ท่านกล่าวคำมั่นใจว่า ท่านจะรอดและเห็นความดีของพระเจ้าอย่างแน่นอน
ในข้อสิบสามนั้น ความรู้สึกคือ “ใจของข้าจะฝ่อไป ข้าจะหมดกำลัง. หากถ้าข้าไม่ได้เห็นความดีเลิศของพระเจ้าในแผ่นดินของคนเป็นแล้ว ” เป็นคำอธิษฐานต่อสู้ระหว่างการต่อสู้ที่กำลังเผชิญอยู่กับความไว้วางใจในพระเจ้า

สดุดี 27:14
หนุนน้ำใจคนอื่นให้วางใจพระเจ้า
การรอคอยนั้นเป็นการตั้งตา มุ่งมั่น จดจ่อ มีสมาธิอยู่ที่การรอคอย ไม่ใช่ใจไปอยู่ที่อื่น คำ ๆ นี้ยังมีความหมายถึงการที่เราจะรอไป ผูกพันกับพระองค์ไปในเวลาเดียวกัน ยิ่งรอ ยิ่งใกล้ชิด
คำว่า จงทำให้ใจเข้มแข็งนั้น เราได้ยินอยู่เสมอในยามที่โยชูวานำอิสราเอลเข้ามาในแผ่นดินที่พระเจ้าทรงสัญญา​… เมื่อเราเจอปัญหา อุปสรรค ให้เราบอกตัวเองให้เข้มแข็ง ไม่ท้อใจเสียง่าย ๆ เพราะพระเจ้าจะทรงเป็นผู้เสริมกำลังให้ด้วยพระองค์เอง … อิสยาห์ 40:31

บรรณานุกรม
Barrick, D. William. “Psalms 27 My Light and my Salvation.” , 10 April 2021 <https://drbarrick.org/files/studynotes/Psalms/Ps_027.pdf>

Constable, L. Thomas “Notes on Psalms” 10 April 2021 <https://planobiblechapel.org/tcon/notes/pdf/psalms.pdf>

Lawson, J. Steven. Holman Old Testament Commentary Psalms 1-75. Nashville Tennessee: Broadman and Holman Publishers, 2003.

1 ยอห์น 1 ความสว่าง ความรักและชีวิต

ที่มาจากปฐมกาล ที่ได้ยิน ได้เห็น ได้ดู และสัมผัส

(นี่เป็นสิ่งที่เราประกาศแก่ท่าน)
สิ่งที่มาจากปฐมกาล
สิ่งที่เราได้ยิน
สิ่งที่เราได้เห็นด้วยตา
สิ่งที่เราได้พินิจดูและได้สัมผัสด้วยมือของเรา
เกี่ยวข้องกับพระคำแห่งชีวิต
1 ยอห์น 1:1

ยอห์น 1:1, 4, 14, 2 เปโตร 1:16, ลูกา 24:39,

พอเราเห็นพระคำตอนนี้ เราก็นึกถึงพระกิตติคุณ
ยอห์นทันที (ในฉบับกรีก ไม่มีประโยคแรกแต่ใส่ไว้ให้เข้าใจง่ายว่าท่านยอห์นหมายถึงอะไร นี่เป็นประโยคเดียวที่ยาวมากเพราะหนึ่งประโยคนี้ยาวไปถึงข้อ 4 ) อ่านให้ดี สิ่งที่ท่านยอห์นกล่าวถึงคือ ข่าวสารเรื่องของพระเยซูนั่นเอง พระองค์ทรงมาจากปฐมกาล แต่เป็นพระเจ้า และอาจารย์ที่รักของท่านยอห์น เป็นผู้ที่ท่านได้อยู่ใกล้ชิดมาก ๆ

ชีวิตนั้นได้ปรากฏ
และเราได้เห็นชีวิตนั้น
เราเป็นพยาน และประกาศกับท่าน
ถึงชีวิตนิรันดร์ที่อยู่กับพระบิดา
และสำแดงให้แก่เรา
1 ยอห์น 1:2

ยอห์น 1:4, โรม 16:26, ยอห์น 21:24, ยอห์น 1:1,18, 16:28

“ชีวิตนิรันดร์ที่อยู่กับพระบิดา”ที่ท่านยอห์นกล่าว
ถึง ก็คือ พระเยซูคริสต์ก่อนที่พระองค์จะมาบังเกิดในโลกนี้ ยอห์น 1:4 และยังโยงกับยอห์น 3:16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ นั่นคือ พระบุตรพระเจ้าลงมาในโลกและทรงรับสภาพความเป็นมนุษย์สมบูรณ์แบบ ทรงเป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์ในองค์ ๆ เดียว และคนจำนวนมากได้สัมผัสกับพระองค์จริง ๆ

สิ่งที่เราเห็น และได้ยินเราประกาศแก่ท่าน เพื่อว่าท่านจะได้มีสัมพันธ์สนิทกับเราและเรามีสัมพันธ์สนิทกับพระบิดา และกับพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์
เราเขียนสิ่งเหล่านี้เพื่อว่า ความยินดีของเราจะสมบูรณ์พร้อม
1 ยอห์น 1:3-4

1 โครินธ์ 1:9, ยอห์น 17:21, 3, 15:11, 16:24

เวลานี้ท่านยอห์นเองได้บอกว่า เหตุผลที่ท่านเขียน
จดหมายฉบับนี้ก็เพื่อจะได้มีความยินดีอย่างเต็มเปี่ยม สมบูรณ์แบบ พระเจ้าผู้ที่เรามองไม่เห็นทรงสำแดงพระองค์ผ่านพระเยซู ซึ่งทำให้ผู้คน ได้ยิน ได้เห็น ได้สัมผัส ได้มีสัมพันธ์สนิทกับพระองค์จริง ๆ พระเยซูทรงเป็นผู้ที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์ เป็นผู้ที่พลิกโฉมของสังคมโลกโบราณ ผู้คนที่มาเชื่อพระองค์ เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อพี่น้องร่วมสังคม แทนเกลียดด้วยความรัก อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

สัมพันธ์สนิทกับพระเจ้าและพี่น้อง

และนี่เป็นสาระของข่าว ที่เราได้ยินจากพระองค์ และประกาศแก่ท่าน นั่นคือ พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง และในพระองค์ไม่มีความมืดเลย
1 ยอห์น 1:5

1 ยอห์น 3:11, 1 ทิโมธี 6:16,ยอห์น 8:12, 1:9,
สดุดี 27:1

สาระของข่าวที่ได้ยินจากพระองค์นั้นก็คือ เรื่องของข่าวประเสริฐนั่นเองข้อต่อ ๆ ไปเราจะทราบว่า อะไรคือสาระนั้น. สิ่งที่ท่านยอห์นพูดนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่ท่านคิดขึ้น มาเองตามใจ แต่ท่านได้ยินมาจากพระเยซูเอง และ ก็ตรงกับสิ่งที่พระเยซู ตรัสในยอห์น 8 และ 9 ดวงอาทิตย์ยังมีจุดมืดที่ดับ แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว ไม่มีอะไรเช่นนั้นอยู่ในพระองค์

หากเราพูดว่า เรามีความสัมพันธ์กับพระองค์  แต่เรายังคงเดินในความมืดเท่ากับเราพูดเท็จ และไม่ได้ประพฤติตามความจริง
1 ยอห์น 1:6

1 ยอห์น 2:9-11, 1 ยอห์น 4:20, ยากอบ 2:14

พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง คนของพระองค์จึง
ต้องเป็นสว่างด้วย พระเยซูตรัสว่า ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก พระเจ้าทรงประสงค์ให้เราใช้ชีวิตโดยไม่มีความมืดแฝงอยู่ เป็นชีวิตที่โปร่งใส ไม่มีการแอบหมกบาปไว้ หากเรามั่นใจว่า เรามีความสัมพันธ์กับพระเจ้าแล้วเราต้องไร้บาปที่ไม่ได้สารภาพพระเยซูทรงชำระเราแล้วด้วยพระโลหิตของพระองค์ เพื่อให้เรามีสัมพันธ์สนิทที่แท้จริง

แต่หากว่าเราเดินในความสว่าง
เหมือนที่พระองค์ทรงดำเนินในความสว่าง
เราก็มีสัมพันธ์สนิทต่อกันและกัน
และพระโลหิตของพระเยซูพระบุตรของพระเจ้า ก็ชำระเราให้สะอาดพ้นจากบาปทั้งสิ้น
1 ยอห์น 1:7

อิสยาห์ 2:5, 1 โครินธ์ 6:11, เอเฟซัส 5:8

ความสว่าง เป็นสัญลักษณ์บอกถึงพระลักษณะของพระเจ้า: ทรงงามเลิศตระการ พระสิริรุ่งโรจน์ ยังรวมไปถึงความบริสุทธิ์ ความจริงในพระองค์ และพระลักษณะที่ทรงสื่อสารกับมนุษย์อยู่เสมอ พลังที่ประทานให้มนุษย์ และสิทธิในการออกพระบัญชา การอยู่ในความสว่างของพระเจ้า ทำให้เรามีสัมพันธ์สนิทต่อกันและต่อพระเจ้าโดยที่ทุกคนได้รับการชำระโดยพระโลหิตแล้ว 

หากเรากล่าวว่า เราไม่มีความผิดบาป. เราก็กำลังหลอกตนเอง
และความจริงไม่ได้อยู่ในเรา
1 ยอห์น 1:8

ยากอบ 3:2, โรม 3:23, ปัญญาจารย์ 7:20


คำว่า “ฉันไม่ได้ทำผิด” ในเรื่องนั้นเรื่องนี้ยังพอรับได้ว่าเป็นจริง แต่ที่บอกว่า ฉันไม่มีบาปนั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนกล้าพูดคำนี้ การพูด เช่นนี้ไม่ใช่แค่หลอกตัวเอง แต่เท่ากับโกหกด้วย เชื่อหรือไม่ว่า ยิ่งเราเข้าใกล้พระเจ้ามากเท่าไร เรายิ่งรู้สึกถึงความบริสุทธิ์ของพระเจ้า และ ความสกปรกในชีวิตของเรามากเท่านั้น ท่านอิสยาห์เองได้อธิบายชัดเลยใน
อิสยาห์ 6:1-5

แต่หากว่าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงซื่อตรงและเที่ยงธรรมจะทรงอภัยบาปให้เรา และชำระเราจากความอธรรมทั้งสิ้น
1 ยอห์น 1:9

สุภาษิต 28:13, โรม 13:24-26, สดุดี 51:2

พระคำข้อนี้ เป็นข้อที่คริสเตียนทุกคนจำได้เพราะถึงแม้เราเข้ามาอยู่ในพระเจ้าแล้ว แต่เรายังต้องการพระเจ้าทุก ๆ วัน ในชีวิตที่ดำเนินไปแต่ละวันนั้น มีโอกาสทำผิด ไม่ตรงตามเป้าหมายที่พระเจ้าทรงประสงค์อยู่เสมอ การสารภาพแปลว่า ประณามบาปในแบบที่พระเจ้าจะทรงกล่าวถึงมัน เรายอมรับความบาปนั้น ไม่ดื้อรั้น เป็นการแต่รู้ว่า บาปเป็นสิ่งที่ต้านพระเจ้าไม่ใช่แค่ผิดหรือพลาด

หากเราพูดว่า เราไม่เคยทำบาปเท่ากับเรากล่าวหาว่า พระองค์ทรงมุสา และพระดำรัสของพระองค์ไม่ได้อยู่ในเรา
1 ยอห์น 1:10

1 ยอห์น 5:10, สดุดี 130:3

ข้อ 6 เราบอกว่าเราสนิทกับพระเจ้า แต่ยังเดินในความมืด ข้อ 8 เราว่า เราไม่มีความผิดบาป ข้อนี้เป็นการกล่าวว่าสิ่งที่เราเคยทำมานั้น ไม่ใช่บาป
เราจะเห็นความสัมพันธ์ของข้อ 5-6, 7-8, 9-10
เมื่อเราอ่านและพิจารณาให้ดี ข้อหลังเป็นการ
ปฏิเสธความจริงที่ข้อก่อนหน้าได้กล่าวไว้ พระคัมภีร์ในหนึ่งยอห์นห้าข้อสุดท้ายนับเป็นพื้นฐานการใช้ชีวิตคริสเตียนที่สำคัญมาก เราต้องใช้ชีวิตในความสว่าง สนิทกับพระเจ้า!