คำอธิบายเพิ่มเติมและพระคำเชื่อมโยง กิจการ 4

การสอบสวนเปโตรและยอห์น

กิจการ 4:1-4
พอชายที่เป็นอัมพาตเดินได้ เปโตรก็ฉวยโอกาสที่จะประกาศพระนามพระเยซูทันที ไม่มีการรีรอ ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้นเอง ปุโรหิต ผู้ดูแลพระวิหาร และพวกสะดูสีที่ไม่เชื่อการคืนชีพก็เข้ามาขัดจังหวะ ต่อหน้าต่อตาคนหลายพัน จิตใจของฝ่ายตรงข้ามทั้งโกรธ ทั้งรู้สึกแพ้ ทั้งเป็นกังวล พวกเขารับไม่ได้ที่อัครทูตสอนประชาชนเรื่องการคืนชีพของพระเยซู จึงสั่งจับเปโตรและยอห์นไว้ในคุกเพื่อจะสอบสวนในวันรุ่งขึ้น แต่ในวันนั้นมีคนที่ฟังเชื่อเพิ่มอีก นี่เป็นระเบิดทางการเมืองศาสนาทีเดียว ดูจากยกนี้ อัครทูตชนะคนมากมายแล้วแม้ว่าพวกเขาไม่เก่งธรรมบัญญัติอย่างพวกผู้นำเหล่านั้น พระเจ้าทรงอยู่กับพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด


1* มัทธิว 22:23
2* กิจการ 17:18, 3:15
3* ลูกา 21;12
4* กิจการ 2:41

กิจการ 4:5-7
พวกสะดูสีเป็นปุโรหิตชั้นสูงอันนาส กับคายาฟาสก็เป็นสะดูสีด้วย (กิจการ 5:17) ตอนที่พระเยซูทรงทำการของพระองค์ ฟาริสีถือพระองค์เป็นศัตรู แต่พอมาถึงกิจการ สะดูสีจะเป็นผู้ที่ตามราวีคริสเตียนมาโดยตลอด เราจะเห็นว่า การสอบสวนนี้มีผู้นำที่มีอิทธิพลมาร่วมด้วยอีกหลายคน เรียกได้ว่ามาเป็นขโยงเลยทีเดียว ดูน่ากลัว…
แต่คำถามของพวกเขานี่สิ เข้าทางเปโตรเลย เป็นคำถามที่เปโตร
อยากตอบจริง ๆการทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดในนามของใครก็ตาม สำหรับคนยิวแล้วพวกเขาเคร่งครัดว่า เท่ากับคน ๆ นั้น เป็นผู้กระทำเอง คล้าย ๆ กับเอกสารมอบอำนาจในปัจจุบัน

5*
6* ลูกา 3:2, ยอห์น 18:13,24, มัทธิว 26:3
7* มัทธิว 21:23,
8* มัทธิว 10:20
9* กิจการ 3:7-8

กิจการ 4:8-12
ตอนนั้นเอง พระวิญญาณได้เสด็จมาประทับในตัวเปโตรอย่างพิเศษ เขาจึงกล้าหาญ เต็มด้วยสติปัญญาอย่างที่ปกติไม่ได้เป็นเช่นนั้น เราจะเห็นว่า การทำการของพระเจ้านั้น บางครั้งก็มีความพิเศษในการเจิม ของพระองค์ดังตัวอย่างในเรื่องตอนนี้จากชายขี้ขลาดในวันที่พระเยซูทรงถูกสอบสวน วันที่เขาปฏิเสธ
พระเยซู เขากลับกลายเป็นอีกคนที่จะพูดเรื่องของพระองค์อย่างไม่หวาดหวั่น

10* กิจการ 3:6, 2:24
11* สดุดี 118:22
12* กิจการ 13:26, 28:28, ยอห์น 4:22 ฮีบรู 2:3, ยูดา 3, 1 ทิโมธี 2:5, กาลาเทีย 1:7 กิจการ 10:43,

กิจการ 4:13-17
ในสมัยของพระเยซูนั้น ชายยิวจะได้เรียนอ่านเขียนกันในศาลาธรรมซึ่งมีกระจัดกระจายทั่วไป แต่ที่ว่าเขาไม่ได้เรียนสูงนั้นก็คึอ พวกเขาไม่ได้เรียนที่จะเป็นธรรมจารย์ อาจารย์สอนธรรมบัญญัติเหมือนพวกฟาริสี สะดูสี
แต่เมื่อพวกเขารู้ว่า อัครทูตอยู่กับพระเยซูมาสามปี ก็พอจะเดาได้ว่า ต้องมีความเข้าใจ อย่างพระเยซู แต่ที่เหนือกว่านั้นคือ พวกเขาทำการอัศจรรย์อย่างพระองค์ด้วย!
ยิวพวกนี้อยู่ในสภาสูงมีตำแหน่งในพระวิหาร มีตำแหน่งที่มีอำนาจ แต่พวกเขาต้องมาคุยกันว่าจะทำอย่างไรดีกับอัครทูตเหล่านี้ เพราะพวกเขาเสียความนิยมจากประชาชนไม่ได้ไม่คุ้มเอามาก ๆ พวกเขาตัดสินใจสั่งไม่ให้อัครทูตพูดถึงพระนามพระเยซูกิจการ

13* ยอห์น 7:15
14* กิจการ 3:11, ลูกา 21:15
15*
16* ยอห์น 11:47, 12:19, กิจการ 3:9,10
17* กิจการ 5:28, 40

4:18-22
แต่แล้ว พวกเขาต้องประหลาดใจที่อัครทูตไม่ได้แสดงว่า กลัวพวกเขาเลย
กลับมีความตั้งใจที่จะประกาศพระนามต่อไปตามคำบัญชาของพระเยซูศัตรูของพระเจ้าตอนนี้จนตรอก ไม่รู้จะทำอย่างไร จำต้องปล่อยอัครทูตไปก่อน เพราะประชาชนที่ เห็นเหตุการณ์ต่างตระหนักว่า การหายโรคเป็นเรื่องจริง พระเจ้าทรงทำการจริง พวกเขาจะไปต่อต้านตอนนี้ ไม่ดีแน่

18*
19* กิจการ 5:29
20* อาโมส 3:8, ยอห์น 15:27, 1 โครินธ์ 9:16, กิจการ 22:15, 1 ยอห์น 1:1,3
21* กิจการ 5:13, 26, มัทธิว 21:26,46, มาระโก 11:32, ลูกา 20:6, 19, 22:2 กิจการ 3:7,8
22

ถึงห้ามก็ไม่หวั่น

กิจการ 4:23-26
ถ้าเป็นสมัยใหม่ ถือว่าถูกจำกัดเสรีภาพในการนับถือ ในการพูดอย่างอิสระ ดังนั้นอาจจะต้องมีการรวมพลเดินขบวนอย่างที่เกิดขึ้นทุก ๆ วันในโลก
แต่พวกเขาไม่ได้คิดไปสู้อย่างนั้น พวกเขาหันไปอธิษฐานต่อพระเจ้าสูงสุด พวกเขานึกถึงพระธรรมสดุดี 2 ที่กล่าวถึงการต่อต้านพระเจ้าและผู้ที่พระองค์ทรงเจิมคือ พระคริสต์ (หรือพระเมสสิยาห์ พระมาชิอัค.. ตามภาษาฮีบรู) พวกเขาอธิษฐานด้วยการใช้คำที่อยู่ในสดุดีบทนั้นตรง ๆ พวกเขามองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า เป็นเรื่องที่มีการพยากรณ์ไว้ล่วงหน้ามาแล้ว อย่างหนึ่งที่เราเห็นคือ พวกเขารู้จักพระคัมภีร์เป็นอย่างดี 

23
24* ดู กิจการ 1:14, อพยพ 20:11, 2 พงศาวดาร 2:12, เนหะมีย์ 9:6
สดุดี 102:25, 124:8, 134:3, 146:6
25* สดุดี 2:1-2,
26* กิจการ 10:38, ลูกา 4:18, ฮีบรู 1:9, ดาเนียล 9:24, วิวรณ์ 11:15

กิจการ 4:27-29
ในคำอธิษฐานนั้น พวกเขามีความเข้าใจว่า คนทั้งหลายที่ต่อต้านพระเจ้าก็ทำไม
ตามแผนการที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้โดยพวกเขาไม่รู้ตัว พวกเขาขอพระเจ้าเมตตา และขอทรงให้พวกเขากล้าหาญ ทั้งที่รู้ว่าความกล้าหาญที่จะพูดเรื่องของพระเจ้านั้น จะทำให้เกิดการข่มเหงมากขึ้น และการข่มเหงสมัยก่อนนั้น รุนแรง ถึงชีวิตในคำอธิษฐานกล่าวถึงผู้รับใช้บริสุทธิ์ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิม

27* ดูข้อ 30,26, ลูกา 23:7-11,มัทธิว 27:2,19, 26:3
28* อิสยาห์ 46:10, กิจการ 2:23
29* 2 พงศ์กษัตริย์ 19:16, กิจการ 4:13,31, 9:27,29,13:46, เอเฟซัส 6:19

กิจการ 4:30-31
พวกเขายังขอให้พระเจ้าทรงทำการอัศจรรย์แบบยิ่งใหญ่ แล้วในวันนั้น สิ่งที่น่ากลัวก็เกิดขึ้น เมื่อพวกเขาอธิษฐานจบ สถานที่นั้นสั่นอย่างรุนแรงเหมือนกับแผ่นดินไหว พระเจ้าทรงยินเสียงของพวกเขา และทรงตอบด้วยเสียง ความสั่นสะเทือนในธรรมชาติให้ทุกคนได้สัมผัส แบบนี้ก็ยิ่งเชื่อ ยิ่งกล้า เพราะว่า พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่ตามที่เขาทูลต่อพระองค์จริง ๆ

30* สดุดี 138:7, สุภาษิต 31:20, อิสยาห์ 1:25, เศฟันยาห์ 1:4, กิจการ 3:6
31* กิจการ 2:2,4, 16:26, สดุดี 77:18, ฟีลิปปี 1:14

กิจการ 4:32-37
นี่คือภาพความเป็นอยู่ของคริสเตียนในยุคแรก เป็นชีวิตของการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ พร้อมที่จะให้กับคนที่ขัดสนเพื่อว่าทุกคนจะมีกินพอ ๆ กัน ไม่ใช่รวยล้ำ กับขอทาน พวกเขาใช้ชีวิตแบบนี้คือ คนที่มีมากกว่าจะแบ่งให้กับคนที่มีน้อยกว่า อัครทูตเป็นผู้ช่วยดูแลให้มีการแจกจ่ายกันอย่างทั่วถึง

32* 2 พงศาวดาร 30:12, เอเสเคียล 11:9, ฟีลิปปี 1:27, กิจการ 2:44
33* กิจการ 1:8,22, 11:23
34* 2 พงศาวดาร 8:14-15, กิจการ 2:45
35* กิจการ 4:37, 5:2, 6:1
36* มาระโก 3:17
37* กิจการ 4:35

สดุดี 30 ทรงฉุดข้าขึ้นมาจากหลุม

เพลงสดุดีของดาวิด บทเพลงในพิธีถวายพระวิหาร

ความยินดีหลังจากความทุกข์ยากเพราะความกริ้วของพระเจ้า
1 โอ พระยาห์เวห์ ข้ายกย่องพระองค์
เพราะพระองค์ทรงยกชูข้าขึ้น
ไม่ให้เหล่าศัตรูเยาะหยันข้าได้
2 โอ พระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้า ข้าร้องทูลขอความช่วยเหลือ
และพระองค์ทรงรักษาข้าให้หายป่วย
3 โอ พระยาห์เวห์ทรงนำวิญญาณของข้าขึ้นมาจากหลุมความตาย
พระองค์ทรงทำให้ข้ามีชีวิต เพื่อว่าข้าจะไม่กลับไปสู่หลุมนั้นอีก
4 โอ วิสุทธิชนของพระเจ้า
จงขอบพระคุณและระลึกถึงความบริสุทธิ์ของพระองค์
5 เพราะพระองค์ทรงกริ้วเพียงชั่วครู
แต่ความโปรดปรานของพระองค์สืบเนื่องชั่วชีวิต
การร้องไห้อาจยาวนานหนึ่งคืน
แต่ความยินดีจะมาในเวลาเช้า

คำกล่าวที่ดูแปลก
6ในช่วงเวลาที่รุ่งเรืองของข้า ข้ากล่าวว่า “ข้าจะไม่หวั่นไหว”
7 ด้วยความโปรดปรานของพระองค์
พระยาห์เวห์ทรงทำให้ข้าเป็นดั่งภูเขาที่มั่นคง
เมื่อใดที่ทรงซ่อนพระพักตร์ ข้าก็ลำบาก

คำอธิษฐานในยามลำบาก
8 โอ พระยาห์เวห์ ข้าร้องหาพระองค์
ข้าเทคำคร่ำครวญของข้าไปที่พระยาห์เวห์
9 เมื่อข้าต้องลงไปยังหลุมความตาย
จะมีประโยชน์อะไรเกิดขึ้น?
ผงดินจะสรรเสริญพระองค์หรือ?
แล้วมันจะประกาศความจริงของพระองค์หรือ?
10 โอ พระยาห์เวห์ โปรดสดับฟัง และเมตตาข้าด้วย
พระยาห์เวห์จะทรงเป็นพระผู้ช่วยของข้า

ความทุกข์ที่กลายเป็นความยินดี
11 พระองค์ทรงทำให้ความเศร้าโศกของข้ากลายเป็นการเต้นรำ
พระองค์ทรงถอดเสื้อกระสอบของข้าออก
ทรงคาดเอวข้าด้วยความชื่นชมยินดี
12 ในที่สุด จิตวิญญาณของข้าจะสรรเสริญพระองค์
และไม่นิ่งเงียบ
โอ พระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้า
ข้าจะถวายคำขอบพระคุณต่อพระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์

พระคำเชื่อมโยง

1* 2 ซามูเอล 5:11, 1 พงศาวดาร 22:1,สดุดี 107:32,25:2,35:19,24, 13:4

2* สดุดี 88:13, 6:2,

3* สดุดี 16:10, 28:1

4* สดุดี 50:5, 97:12, 1 พงศาวดาร 16:4

5* สดุดี 103:9, โยบ 33:26, สดุดี63:3, 126:5

6* โยบ 29:18, สุภาษิต 1:32, สดุดี 10:6

7* 2 ซามูเอล 5:9, สดุดี 104:29, ซามูเอล 24:10

8* สดุดี 142:1

9* สดุดี 6:5

10* สดุดี 27:7

11* อพยพ 15:20, เยเรมีย์
31:4,13

12* สดุดี 16:9

คำอธิบายเพิ่มเติม

สดุดี 31:1-5
ความยินดีหลังความทุกข์ยาก
จากคำที่ดาวิดกล่าว ดูเหมือนว่าท่านป่วยเกือบตาย และพระเจ้าทรงฉุดท่านขึ้น ให้หายป่วย และไม่มีศัตรูคนใดมาเยาะเย้ยได้เลย. ท่านมีความรู้สึกว่า ป่วยครั้งนี้เป็นมาจากความผิดบาปของท่านเอง
เมื่อท่านสารภาพบาปและทูลขอความช่วยเหลือของพระเจ้า พระองค์ก็ทรงตอบคำอธิษฐาน

สดุดี 30:6-7
คำกล่าวที่ดูแปลก
ในยามที่รุ่งเรือง ดาวิดกล่าวว่า ข้าจะไม่หวั่นไหว … เป็นคำพูดที่ไม่เหมือนดาวิดในบทอื่น ๆ สักเท่าไร
ดูเหมือนจะมีความมั่นใจในความมั่นคง แต่แล้วในข้อต่อมากลับสารภาพว่า
ความมั่นคงในชีวิตนั้นมาจากพระเจ้าเท่านั้น เมื่อไรที่พระเจ้าทรงซ่อนพระพักตร์ ไม่ฟังเสียงของท่าน
ท่านก็จะลำบากแน่นอน. นี่เป็นสิ่งที่ดาวิดมั่นใจมาก

สดุดี 30:8-10
กษัตริย์ดาวิดร้องหาพระเจ้า และอ้างเหตุผลต่าง ๆ ขอให้พระองค์ทรงฟังคำทูล ท่านรู้แน่ว่าหากท่านหนีจากเหตุการณ์นี้ไปได้ ท่านก็จะสรรเสริญพระเจ้า ท่านอ้างว่า ถ้าตายไปตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร ใครล่ะ จะสรรเสริญพระเจ้า ข้อ 8-10 นี้เป็นช่วงเวลาของการไม่แน่ใจ ไม่มั่นคง

สดุดี 30:11-12
เมื่อพระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของท่าน ดาวิดได้เขียนแสดงความรู้สึกว่าจากความหนักใจอันใหญ่หลวง มันได้กลายเป็นความสุข ชื่นชมยินดีอย่างที่สุด ท่านสัญญาว่าจะขอบพระคุณพระเจ้าตลอดไป
และวันนี้พวกเรายังได้ใช้สดุดีของท่านเป็นสื่อในการขอบคุณพระเจ้าไม่หยุดอีกด้วย


สดุดี 29 พระสุรเสียงในธรรมชาติ

ถ้าจะให้ถึงใจ ตามไปดูที่นี่. https://www.youtube.com/watch?v=LB0Yl_ygjIw

เพลงสดุดีของดาวิด

ขอถวายพระสิริ
1 ถวายแด่พระยาห์เวห์ โอ ท่านผู้มีฤทธิ์ *
ถวายแด่พระยาห์เวห์ ผู้ทรงพระสิริและทรงพลัง
2 ถวายพระสิริที่สมควรแด่พระนามของพระยาห์เวห์
นมัสการพระยาห์เวห์ในความบริสุทธิ์ที่งามสง่าของ
พระองค์
( *บุตรทั้งหลายของพระเจ้า)
พระสุรเสียงในธรรมชาติ!
3 พระสุรเสียงของพระยาห์เวห์ อยู่เหนือห้วงน้ำ
พระเจ้าผู้ทรงพระสิริ เปล่งพระสุรเสียงดั่งฟ้าคำราม
พระยาห์เวห์ ทรงอยู่เหนือน้ำมากหลาย
4 พระสุรเสียงของพระยาห์เวห์ทรงฤทธานุภาพ
พระสุรเสียงของพระยาห์เวห์เต็มด้วยพระเกียรติสูงส่ง
5 พระสุรเสียงของพระยาห์เวห์โค่นล้มต้นสนซีดาร์
ใช่แล้ว พระยาห์เวห์ทรงหักป่าสนแห่งเลบานอนเป็นท่อน ๆ
6 พระองค์ทรงทำให้ทิวเขาแห่งเลบานอนกระโดดเหมือนลูกวัว
พระองค์ทรงทำให้ภูเขาเฮอร์โมน (สิริออน) กระโจนราวกับ
ลูกวัวป่า
7 พระสุรเสียงของพระยาห์เวห์ทำให้เปลวไฟโหมกระพือขึ้น
8 พระสุรเสียงของพระยาห์เวห์ทำให้ถิ่นกันดารสั่นสะเทือน
พระยาห์เวห์ทรงเขย่าถิ่นกันดารแห่งคาเดช
9 พระสุรเสียงของพระยาห์เวห์โค่นต้นโอ๊ค*
และทำให้ป่าราบเรียบเป็นหน้ากลอง
และในพระวิหารของพระองค์ ทุกคนร้องเสียงดังว่า
“พระสิริรุ่งโรจน์!”
(  * หรือ ทำให้กวางตัวเมียตกลูก)
10 พระยาห์เวห์ประทับบนบัลลังก์เหนือน้ำท่วมนั้น
ใช่แล้ว พระยาห์เวห์ประทับเป็นองค์ราชานิรันดร์

พระยาห์เวห์เหนือประชากรของพระองค์
11 พระยาห์เวห์จะประทานกำลังให้กับคนของพระองค์
พระยาห์เวห์ประทานสันติสุขให้เป็นพระพร
แก่ประชากรของพระองค์

พระคำเชื่อมโยง

1* สดุดี 96:7-9,

2* สดุดี 110:3, 1 พงศาวดาร 16:29, อพยพ 28:2

3* สดุดี 18:11, 17, 32:6 โยบ 37:4,5

4* สดุดี 68:33, เอเสเคียล 10:5

5*สดุดี 104:16, ผู้วินิจฉัย 9:15

6* สดุดี 114:4,6, ฉธบ. 3:9, กันดารวิถี 23:22

7* สดุดี 77:18,144:5-6

8* กันดารวิถี 13:26, ฮีบรู 12:26

9* โยบ 39:1-3,

10* ปฐมกาล 6:17, สดุดี 10:16

11* สดุดี 68:35, อิสยาห์ 40:29, ฟีลิปปี 4:7

อธิบายเพิ่มเติม

สดุดี 29:1-2
คำว่าถวายแด่พระเจ้านี้ ในภาษาเดิมว่า ให้ … เป็นเหมือนคำสั่งว่าให้แด่พระเจ้า คำของดาวิด มีลักษณะเป็นบทกวี มีคำซ้ำ ย้ำความคิดแรกว่า เราควรทำอะไร
สดุดีเริ่มต้นที่ชวนให้ผู้คนเข้ามาถวายชีวิต คำสรรเสริญ ถวายพระสิริแด่พระเจ้า ชวนให้ถวายถึงสามครั้ง
เมื่อถวายแล้ว จบด้วยชวนให้นมัสการพระเจ้าในความบริสุทธิ์ของพระองค์ ไม่ใช่บริสุทธิ์อย่างเดียว แต่ทั้งงดงาม สง่า เต็มด้วยสง่าราศี
คำว่าท่านผู้มีฤทธิ์ บางเล่มแปลว่า ผู้มีชีวิตในฟ้าสวรรค์ เหมือนว่าเป็นทูตสวรรค์ บางเล่มว่า บุตรของพระเจ้า แต่ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เขาควรที่จะมองไปที่พระเจ้าซึ่งทรงฤทธิ์กว่าเขามากมายนัก

สดุดี 10 :3-10
พระสุรเสียงในธรรมชาติ!
ข้อสามนี้กล่าวถึงพระสุรเสียงกับน้ำ ถ้าเราดูในข้อ 5 6 เราจะเห็นว่า ผู้เขียนได้กล่าวถึงสภาพภูมิศาสตร์ในแผ่นดินอิสราเอลโบราณ ห้วงน้ำดังกล่าวที่ใหญ่โตที่สุด จะเป็นทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ยังมีทะเลสาบกาลิลี และทะเลตายด้วย เขาคิดถึงพายุที่เกิดขึ้นในท้องน้ำที่เขาประสบมา เขาเห็นพระเจ้าในธรรมชาติอย่างชัดเจนมาก

ข้อสี่ ชวนให้เราตระหนักว่า การแสดงออกของพระเจ้าในธรรมชาตินั้น ยิ่งใหญ่ทรงพลัง และน่าคร้ามกลัวเพียงใด เมื่อเราเห็นพายุ ฝนตกหนัก เสียงฟ้าคำราม เราน่าจะนึกถึงพระเจ้าว่า พระองค์ทรงอยู่ในพายุนั้น …

ข้อห้าถึงเก้า อ่านดี ๆ ทำให้เรานึกถึงภัยธรรมชาติที่มาจากพายุ จากแผ่นดินไหว แม้ซีดาร์แห่งเลบานอนที่ได้ชื่อว่าเป็นไม้แกร่งที่สุดยังพ่ายแพ้พระองค์ ภูเขาสะเทือนเลื่อนลั่นด้วยฤทธิ์แห่งพระสุรเสียงของพระองค์
กษัตริย์ดาวิดผู้เขียนสดุดี ตระหนักว่า แม้เสียงจากธรรมชาติอันน่ากลัวจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน แต่พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่า
ถึงแม้มนุษย์ที่เชื่อในพระเจ้าจะต้องพบเจอกับมรสุมขนาดไหน แต่การยกย่องพระเจ้าก็ไม่ได้หายไปจากชีวิตของเขา

ข้อสิบ ที่ว่าพระเจ้าประทับเหนือน้ำท่วม มีความหมายถึงน้ำท่วมใหญ่ครั้งที่โนอาห์สร้างเรือ (ปฐมกาล 6,7) กษัตริย์ดาวิดสรุปว่า ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ของโลกที่วิบัติขนาดไหน พระเจ้ายังทรงครองเป็นนิรันดร์

สดุดี 29:11
พระยาห์เวห์เหนือประชากรของพระองค์
จากประโยคแรกที่ผู้เขียนชวนให้คนถวายแด่พระเจ้า ในข้อสุดท้ายนี้กลับกลายเป็นพระเจ้าเป็นผู้ให้แก่อิสราเอล พระเจ้าจะประทานการปกป้องเมื่อพวกเขาต้องเผชิญกับสิ่งร้ายรอบตัว ท่ามกลางความยากเข็ญ พระองค์คือผู้ประทานสันติสุขที่ไม่เหมือนความสุขของโลกให้กับคนของพระองค์​ คนของพระเจ้าจะได้ทั้งกำลังกาย กำลังใจ จากพระเจ้า แถมสันติสุขอีกด้วย

บรรณานุกรม
biblehub.com
enduringword.com
net bible.org

ยอห์น 10 ผู้เลี้ยงแสนดี

พระเยซู:ผู้เลี้ยงที่แท้องค์เดียว

เผชิญหน้าอีกครั้ง

อธิบายเพิ่มเติมและพระคำเชื่อมโยง

พระเยซู:ผู้เลี้ยงที่แท้องค์เดียว

ยอห์น 10:1-4
เรื่องราวของคอกแกะ ประตู ขโมย โจร นั้น เป็นเรื่องที่ต่อมาจากการที่ชายตาบอดมองเห็นได้
เขาถูกผู้นำศาสนาไล่ออกจากพระวิหาร เพราะพูดจาไม่ไปทางเดียวกับพวกเขา
พระเยซูทรงเปรียบเทียบให้เห็นว่า พระองค์กับผู้นำศาสนายิวนั้น แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในสมัยโบราณนั้น คนที่เป็นผู้นำไม่ว่าจะทางการเมืองหรือในศาสนา มักถูกมองว่าเป็น ผู้เลี้ยงแกะ (อิสยาห์ 56:11)
แต่ทำไมพระองค์จึงตรัสว่า พวกเขาเข้าทางอื่น ไม่ใช่ทางประตู พวกเขาเป็นแค่ขโมยและโจร?
เพราะผู้นำเหล่านั้น ไม่ใช่แค่ทำตัวเหมือนขโมยที่เอาประโยชน์ลับ ๆ ล่อ ๆ. แต่พวกเขาพร้อมที่จะใช้ความรุนแรงเหมือนโจรด้วย ดูจากการที่พวกเขาไล่ชายตาดีที่เคยบอดนั้นออกไป และยังพร้อมจะเอาหินขว้างพระเยซู หลายครั้ง.
ผู้เลี้ยงจริง ๆ จะเข้าทางประตูคอก คือเข้ามาเพราะพระเจ้าทรงเป็นผู้เลือก เขาจะเรียกชื่อแกะ แกะเองพอได้ยินเสียงเจ้าของก็จะตามไปทันทีผู้เลี้ยงตัวจริง รู้จักแกะทุกตัว มีชื่อให้มัน รักและเอาใจใส่มันจริง ๆ แกะที่ตามผู้เลี้ยงไป มันไปเพราะมั่นใจว่า เขาจะพาไปยังทุ่งหญ้าอุดม .. 
1* มัทธิว 7:15, 1 ยอห์น 4:1 2* กิจการ 20:28, 1 เปโตร 5:4,
3* ยอห์น 20:16, 2 ทิโมธี 2:19, สดุดี 23:2-3 4* ฉธบ. 1:30, 1 เปโตร 5:3

ยอห์น 10: 5-9
เมื่อพระเยซูกล่าวเรื่องผู้เลี้ยง แกะ ประตู คอก ขโมย โจร เป็นความหมายเปรียบเทียบโยงไปถึงพระบิดา พระองค์เอง คนอิสราเอล ผู้นำศาสนายิว และอื่น ๆ คนที่ฟัง กลับไม่เข้าใจความหมายของพระองค์เลย เขามองไม่เห็นสิ่งที่พระเยซูทรงสื่อให้เขา เขาไม่เข้าใจว่าพระเยซูกำลังตรัสว่าทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดีของอิสราเอล
แล้วพวกเราจะเข้าใจไหม?
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเราเห็นว่า ผู้นำศาสนาไล่ชายขอทานที่เคยตาบอดออกไป ในขณะที่พระเยซูทรงรับเขาเข้ามา และเขาก็เป็นเหมือนแกะที่จะตามพระเยซูไปคนที่มาก่อน คือ ศาสนายิวมาก่อน แต่ศาสนาไม่ได้ช่วยให้คนรอด นอกจากปล่อยให้พินาศไปและพระเยซูตรัสว่า ใครที่เข้ามาหาพระเจ้าโดยผ่านพระองค์ เขาจะรอด เขาจะมีอาหารฝ่ายวิญญาณที่บริบูรณ์ เขาจะไปไหนมาไหนอย่างเสรี ไม่ถูกจำกัดอย่างการอยู่ในกฎของศาสนา.
การพบทุ่งหญ้าคือ พระคำของพระเจ้าจะเป็นอาหารที่เขาจะเติบโต สุขภาพดี …
5* วิวรณ์ 2:2, 1 ยอห์น 4:5-6, 6* ยอห์น 16:25, อิสยาห์ 6:9-10
7* ยอห์น 14:6, เอเฟซัส 2:18 8* เอเสเคียล 34:2, 22:25-28 9* ยอห์น 14:6, โรม 5:1-2

ยอห์น 10: 10-11
เรานึกถึงคนที่เป็นอาจารย์แบบหาแต่ประโยชน์เข้าตัว บังคับให้คนอื่นทำโน่นนี่ฟาริสี และผู้นำศาสนายิวเป็นอย่างนั้นโดยเคร่งครัด พวกเขาไม่ได้สนใจที่จะให้ประชาชนที่ไม่รู้เรื่องเจริญขึ้น แต่กลับทำตัวเป็นใหญ่ ไม่ได้เป็นผู้รับใช้
แต่พระเยซูทรงแตกต่าง ทรงมาเพื่อนำชีวิตใหม่ และเป็นชีวิตที่ครบบริบูรณ์ยิ่งกว่านั้น พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อรับโทษแทนความผิดบาปของทุกคนที่ เชื่อวางใจพระองค์ด้วย
10* ลูกา 19:10, ยอห์น 6:51
11* ยอห์น 15:13, สดุดี  23:1, 1 ยอห์น 3:16
, อิสยาห์ 40:11

ยอห์น 10:12-13
พระเยซูยังทรงอธิบายต่อไปว่า ยังมีคนอีกประเภทที่รับจ้างเลี้ยงแกะ และเมื่อเห็นภัยมาพวกเขาจะวิ่งหนีไป เอาตัวรอด นั่นคือ จริง ๆ แล้ว ผู้คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ยังมีอีกมากมาย พวกเขาเหล่านี้ อาจจะไปเจอผู้เลี้ยงที่แค่เป็นอาชีพ พวกเขาไม่ได้สนใจชีวิตฝ่ายวิญญาณของผู้ที่เขาต้องดูแล จริง ๆ ชีวิตของเขาเองก็ไม่อาจจะดูแลใครได้ด้วย คนอย่างนี้ก็มีมาก
พวกเขาเป็นยอดของการเห็นแก่ตัว ดูแลก็เพื่อจะได้ผลประโยชน์เข้าตัว
12* เศคาริยาห์ 11:16, 2 เปโตร 2:3, 13* ฟีลิปปี 2:20

ยอห์น 10:14-16
คำยืนยันของพระองค์คือ ทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดี ทรงรู้จักแกะ และแกะรู้จักพระองค์ ทรงสละชีวิตเพื่อฝูงแกะ และยังพาแกะฝูงอื่นเข้ามาเป็นแกะฝูงเดียวกัน
การที่ผู้เลี้ยงรู้จักแกะ และแกะรู้จักผู้เลี้ยงนั้น แสดงว่าทั้งสองฝ่ายมีสัมพันธ์สนิทต่อกัน เป็นความสัมพันธ์อย่างที่พระบุตรและพระบิดาทรงมีต่อกัน พระบุตรทรงติดตาม ทำตามพระบิดาอย่างใกล้ชิด แกะของผู้เลี้ยงท่านนี้ย่อมติดตามใกล้ชิดและทำตามน้ำพระทัยของพระผู้เลี้ยงด้วย
แกะอื่น มีความหมายถึงคนต่างชาติที่ไม่ได้เป็นคนเชื้อสายอิสราเอล คนเหล่านี้จะมาเชื่อในพระเยซูคริสต์ และเขาจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน
14* 2 ทิโมธี 2:19, 1:12, วิวรณ์ 2:2. 15* มัทธิว 11:27, ยอห์น 15:13,19:30, อิสยาห์ 53:10
16* อิสยาห์ 42:6, 56:8, เอเฟซัส 2:13-18, ยอห์น 11:52

ยอห์น 10:17-18
พระบิดาทรงรักพระบุตรอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร แต่พระเยซูได้ทรงเน้นให้คนที่ฟังได้รู้ว่า พระบิดาเป็นผู้ที่ทรงบัญชาให้มีการสละชีวิต (ซึ่งคนฟังก็ยังไม่เข้าใจ) และพระเยซูเองก็ทรงพร้อมที่จะสละชีวิตอยู่แล้วจะเห็นจากคำตรัสของพระคัมภีร์ชัดเจนเลยว่า เพราะพระเจ้าทรงรักโลกยิ่งนัก จึงประทานพระบุตรของเดียวของพระองค์ลงมา (ยอห์น 3:16)
17* ยอห์น 5:20, ฮีบรู 2:9, อิสยาห์ 53:7-12. 18* ยอห์น 2:19, 5:26, 6:38, 14:31, 17:4, กิจการ 2:24,32

ยอห์น 10:19-21
เรื่องราวของผู้เลี้ยงที่ดี จบลงตอนนี้ และทำให้คนยิวเกิดความคิดเห็นที่แตกต่างกัน พวกหนึ่งเห็นว่าการที่พระเยซูตรัสว่าทรงเป็นพระบุตรพระเจ้า เหมือนคนถูกผีสิง แต่อีกพวกก็เห็นว่า การที่พระเยซูทำให้คนตาบอดเห็นได้ จะมาจากอำนาจผี
ได้อย่างไร … เกิดคนที่ไม่เชื่อ แบ่งแยกจากคนที่ไม่เชื่อ เหมือนกับที่ 7:12, 43 และ 9:16
19* ยอห์น 7:43, 9:16. 20* ยอห์น 7:20, มาระโก 3:21, ยอห์น 8:52 21* อพยพ 4:11, ยอห์น 9:6,7,32,33

การเผชิญหน้าในเทศกาลถวายคืนพระวิหาร

ยอห์น 10:22-25
นี่เป็นช่วงเวลาห่างจากข้อยี่สิบเอ็ดมาสองสามเดือน เทศกาลฉลองพระวิหารนี้ จริง ๆ แล้วเป็นการระลึกถึงเวลาที่ยูดาส มัคคาบีและพรรคพวกได้ต่อสู้นายทหารซีเรียชื่อแอนติโอคุสที่สี่ ซึ่งได้เข้ามากดขี่คนอิสราเอลอย่างโหดเหี้ยม
และยังดูหมิ่นพระวิหารด้วยการเอาหมูเข้ามาสักการะเทพจูปิเตอร์ ห้ามไม่ให้คนยิวรักษาวันสะบาโต ห้ามการทำสุหนัต เขาต้องการเปลี่ยนยิวเป็นกรีก
แต่แล้วเกิดกบฎมัคคาบีนำโดยยูดาส มัคคาบีและโค่นแอนติโอคุสได้สำเร็จ ในปี 164 ก่อนคริสตศักราช ยิวจึงจัดเทศกาลฮานุกกะห์ขึ้นเพื่อระลึกถึงการถวายคืนพระวิหารแด่พระเจ้าหลังจากที่ถูกทำให้เป็นมลทินจากคนต่างชาติพวกเขาจะจุดไฟตลอดแปดวันเทศกาล
อากาศหนาว พระเยซูจึงทรงสอนอยู่ในบริเวณเฉลียงโซโลมอนยิวหลายคนได้มาถามพระเยซูอีกว่า ทรงเป็นใครกันแน่
แต่ดูเหมือนปัญหาอยู่ที่คนฟัง …​พวกเขาต้องการคำตอบจากพระเยซูอย่างที่เขาคาดคิด ไม่ใช่คำตอบที่เป็นจริง
22* – 23กิจการ 3:11, 5:12 24 ยอห์น 1:19, ลูกา 22:67-70 25* ยอห์น 5:36, 10:38, 8:58, 8:12

ยอห์น 10:26-30
พระเยซูทรงบอกพวกเขาชัดเจนว่า ราชกิจมหัศจรรย์เป็นพยานสำคัญ แต่พวกยิวก็ไม่ยอมรับคำตอบ
ที่พวกยิวปฏิเสธพระเยซูนั้น พระองค์จึงทรงอธิบายให้พวกเขาฟังว่า เพราะพวกเขาไม่ใช่แกะของพระองค์! พวกเขาไม่เป็นฝ่ายพระองค์ พวกเขาไม่ฟัง ไม่เชื่อสิ่งที่พระองค์ตรัสเลย
แล้วทรงอธิบายว่า แกะที่เป็นของพระองค์มีลักษณะอย่างไร .. ฟังเสียงพระองค์ ทรงรู้จักแกะเหล่านั้น พวกมันติดตามพระองค์ และจะได้ชีวิตนิรันดร์จากพระองค์ด้วย ไม่มีใครจะดึงเขาออกไปจากพระหัตถ์ของพระองค์ และพระบิดาได้เลย
นี่เป็นพระสัญญาที่เรามั่นใจได้ว่า พระบิดาและพระเยซูทรงยึดเราไว้มั่น ขอให้เราทำหน้าที่ของแกะที่เชื่อฟัง
ทรงยืนยันอีกครั้งว่า พระบิดากับพระองค์เป็นหนึ่งเดียว นั่นก็หมายความว่าพระบิดากับพระองค์นั้น เป็นพระเจ้าเหมือนกัน นี่เป็นฐานรากของความจริงเรื่องตรีเอกานุภาพ เพราะบ่งว่า ในองค์พระเจ้า มีมากกว่าหนึ่งบุคคล แต่ทรง
เป็นหนึ่งเดียวกัน
26* ยอห์น 8:47,b 1 ยอห์น 4:6, 2 โครินธ์ 4:3-4 27* ยอห์น 10:4,14, วิวรณ์ 3:20, ฮีบรู 3:7
28* ยอห์น 6:39-40, 6:37, ฮีบรู 7:25 29* ยอห์น 14:28, 17:2, 6, 12, 24 30* ยอห์น 17:11,21-24

ยอห์น 10:31-33
คราวนี้ ยิวก็หยิบก้อนหินพร้อมที่จะขว้างพระองค์ พระองค์ทรงถามทันทีว่า ก็ให้เห็นราชกิจพระเจ้าที่ทำแล้ว ยังจะขว้างอีกหรือ ?
เราสรุปได้อย่างหนึ่งว่า พระราชกิจของพระเจ้าที่พระเยซูทรงทำนั้นเป็นพยานว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าจริง ๆ (ดูยอห์น 5:36) พระองค์ตรัสว่า ราชกิจที่พระองค์ทรงทำสำเร็จนั้น เป็นพยานว่าพระบิดาทรงส่งพระองค์มา เป็นคำพยานที่หนักแน่นกว่าคำกล่าวของยอห์นผู้ให้บัพติศมาเสียอีก!
แต่พวกเขาชัดเจนมาก ที่จะขว้างก็เพราะเขาเห็นว่าพระองค์เป็นมนุษย์ทำตัวเสมอพระเจ้า ทั้งที่ความจริงคือ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่ลงมาเป็นมนุษย์ ยิวเข้าใจกลับทาง !
31* ยอห์น 8:59, กิจการ 7:52, ยอห์น 5:18. 32* 1 ยอห์น 3:12, กิจการ10:38, 2:22
33* ยอห์น 5:18, เลวีนิติ 24:16, ฟีลิปปี 2:6

ยอห์น 10:34-36
พระเยซูทรงอ้างถึงพระคัมภีร์เดิมบ่อย ๆ ในสดุดี 82, อพยพ 21:6, 22:8-9 บางครั้งพระเจ้าจะทรงเรียกผู้ปกครอง ผู้มีอำนาจว่า เป็นเทพ หรือเป็นพระ คนพวกนั้นเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา แต่มีตำแหน่งหน้าที่ในการปกครองพระเจ้ายังทรงเรียกพวกเขาว่า พระ หรือเทพ
ดังนั้นในเมื่อพระองค์ทรงทำราชกิจของพระเจ้าให้เห็นมากมาย และทรงแจ้งด้วยว่า พระบิดาทรงแต่งตั้ง เลือกพระองค์ และส่งพระองค์มา จึงทรงคุณสมบัติทั้งปวงที่จะเป็นพระเจ้า เมื่อพระองค์ตรัสว่า พระคำเป็นจริง ไม่อาจลบล้างได้ นั้นหมายความว่า พระคำทุกตอนเป็นจริง เชื่อถือได้ (ซึ่งเรื่องนี้คนที่ต่อต้านพระองค์ก็ยอมรับ)
พระองค์ตรัสว่าทรงถูกแต่งตั้งให้มานั้น โยงไปถึงเยเรมีย์ 1:5, อพยพ 40:13
34* สดุดี 82:1,6-7, อพยพ 7:1. 35* มัทธิว 5:17-18 ,24:35, 1 เปโตร 1:25
36* ยอห์น 6:27, 3:17, 5:17-18, ลูกา 1:35

ยอห์น 10:37-39
เวลานั้น หินอยู่ในมือของพวกยิว แต่พระเยซูก็ไม่ได้กลัวพวกเขาเลย ทรงย้ำให้พวกเขาเห็นว่า ราชกิจของพระเจ้าที่ทรงทำนั้น เป็นเรื่องของการอัศจรรย์จากพระเจ้าล้วน ๆ มนุษย์ทำไม่ได้หรอก
แต่เมื่อพระองค์ตรัสว่า พระบิดาทรงอยู่ในเรา และเราอยู่ในพระบิดา เป็นการจุดความโกรธสุดเหวี่ยงให้กับพวกเขา
รับไม่ได้จริง ๆ ที่พระเยซูตรัสว่า พระองค์กับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวเป็นอย่างเดียวกัน แต่ในเวลานั้น พระองค์ก็ไปจากเขาทันที น่าจะรวดเร็วจนพวกนั้นมองไม่เห็นว่าทรงไปทางไหน
37* ยอห์น 10:25,15:24 38* ยอห์น 5:36, 14:10,11 39* ยอห์น 7:30,44

ยอห์น 10:40-42
จากคนไม่เชื่อที่เราเห็นมาแต่ต้นบท พระเยซูทรงหลบหินขว้างและทรงไปที่แม่น้ำจอร์แดน ซึ่งเป็นที่ ๆ ยอห์นได้ให้บัพติศมาแก่พระองค์ก่อนที่จะทรงเริ่มพระราชกิจ ที่นั่นเอง คนทั้งหลายที่เคยได้ยินยอห์นพูดถึงพระเยซู ได้ย้อนคิดและยอมรับว่า สิ่งที่ยอห์นกล่าวถึงพระองค์ เป็นความจริงทั้งสิ้น
นี่เป็นผลของการที่ยอห์นเต็มใจทำงานเป็นผู้เตรียมทางให้พระเยซูตามที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งเขาไว้ ในวันแรกที่ทำงาน อาจยังไม่มีคนเชื่อ ไม่เข้าใจแต่เมื่อเวลาผ่านไป พระเจ้าทรงราชกิจในตัวคนเหล่านั้น และพวกเขาก็เห็นความจริง และพวกเขาก็ได้มาถึงชีวิตนิรันดร์ โดยที่ยอห์นเองไม่ต้องทำการอัศจรรย์ หมายสำคัญใด ๆ เลย
40* ยอห์น 1:28
41* ยอห์น 1:29,36, 3:28-36, 5:33

บรรณานุกรม
Biblehub.com
Enduringword.com
ESV.org
netbible.org