สดุดี 20 การสู้รบเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า
2 เปโตร 1 เริ่มต้นที่ความเชื่อ
หนุนใจให้รู้ว่าพระเจ้าทรงทำอะไรเพื่อเรา
จากซีโมน เปโตร ทาสรับใช้และอัครทูตของพระเยซูคริสต์
ถึงพี่น้องที่ได้รับความเชื่ออันมีค่าเช่นเดียวกับเราผ่านทางความชอบธรรมของพระเจ้าและ พระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดของเรา
2 เปโตร 1:1
โรม 1:1, 12, 3:21, กิจการ 15:14,
ท่านเปโตรกำลังกล่าวถึงตนเองว่าเป็นทั้งทาสผู้รับใช้ของพระเจ้าเหมือนอย่างพี่น้อง และก็ยังอยู่ในฐานะอัครทูต คือผู้ที่พระเจ้า ทรงส่งออกไปประกาศพระนามด้วยความเชื่อที่มีอยู่นั้นทรงคุณค่าและเป็นความเชื่อที่เหมือนกัน มาจากพระเจ้าองค์เดียวกัน ได้มาเพราะความชอบธรรมของพระเยซูเหมือนกัน
ขอพระคุณและสันติสุขมีอย่างทวีคูณ เหนือพวกท่าน ในการรู้จักพระเจ้า และพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
2 เปโตร 1:2
ยูดา 1:2, 1 เปโตร 1:2, ยอห์น 17:3
การรู้จักพระเจ้าจริง ๆ รู้มากขึ้นทุกวันมีความหมายว่าสนิทสนมขึ้น ติดตาม และทำตามพระองค์มากขึ้น ความเชื่อของเรานั้น มีพื้นฐานอยู่ที่การรู้จักความจริงของพระองค์ ยิ่งเรารู้จักพระเจ้ามากเท่าไร พระคุณและสันติสุขในชีวิตจะเพิ่มมากขึ้นทวีคูณ (ไม่ว่าเหตุการณ์รอบข้างจะเป็นอย่างไรก็ตาม)
ฤทธิ์เดชจากเบื้องบนได้นำให้เรามีทุกสิ่ง ที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิต และการติดตามพระเจ้าด้วยการรู้จักพระเจ้าผู้ทรงเรียกเรามายังพระสิริและความดีเลิศของพระองค์
2 เปโตร 1:3
1 เปโตร 1:5, 1 เธสะโลนิกา 2:12, 2 เธสะโลนิกา 2:14, 1 เปโตร 5:10
คำกุญแจในหนังสือสองเปโตรนี้คือ “ความรู้ และการรู้จักพระเจ้า” เป็นความรู้จักพระบิดาและพระเยซูอย่างลึกซึ้ง และวิธีที่จะใกล้ชิดกับพระองค์ คือต้องสนิทสนมกับพระองค์ รู้จักพระลักษณะเฉพาะของพระองค์มากขึ้นทุก ๆ วัน นี่เป็นชีวิตที่มีเกียรติมาก ฤทธิ์เดชจากเบื้องบน ..พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงทำให้เราได้รับความรอด มนุษย์ไม่สามารถทำเองได้
คำว่า ความดีเลิศนี้ ภาษากรีกมีความหมายว่าเป็นคุณสมบัติ ลักษณะที่น่าปรารถนาทุกอย่างครบถ้วน (กรีก- อาเรเต คุณความดี ความล้ำเลิศ)
พื่อว่าโดยสิ่งเหล่านี้ พระองค์จึงประทานพระสัญญายิ่งใหญ่และล้ำค่าแก่เรา เพื่อว่าท่านจะได้เข้ามามีส่วนใน พระลักษณะของพระเจ้า จะพ้นจากความเสื่อมทรามของโลกที่เกิดจากความทะยานอยากที่ชั่ว
2 เปโตร 1:4
2 โครินธ์ 1:20, 7:1, 3:18,
พระสัญญานี้มีรากฐานมาจากพระสิริและ ความดีเลิศของพระองค์ พระเจ้าประทานสัญญาเพื่อให้เราได้เข้ามีส่วนในลักษณะของพระองค์ที่บริสุทธิ์ยิ่ง
การเข้ามีส่วน (กรีก:คอยโนนอย หมายถึงผู้เข้ามามีส่วนแบ่ง) เราไม่ได้เข้าไปมีส่วนในความเป็นพระเจ้าของพระองค์ แต่เรารับส่วนแบ่งพระลักษณะของพระองค์จนเราเป็นเหมือนพระองค์มากขึ้น
พระสัญญาที่ยิ่งใหญ่นั้น ขยายความในกิจการ 2:14-41 : การเทพระวิญญาณให้คนของพระเจ้า
ชีวิตแบบที่มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า
เพราะเหตุนี้เอง จึงขอให้ท่านทุ่มเทอย่างที่สุด จากความเชื่อที่มีอยู่ ให้เพิ่มความดีงาม จากความดีงามให้เพิ่มความรู้
2 เปโตร 1:5
2 เปโตร 3:18, 1 เปโตร 3:7, โคโลสี 2:3
การที่จะมีชีวิตเป็นลูกของพระเจ้า มีส่วนใน พระองค์นั้น ไม่ใช่ว่าได้แล้ว ก็จะอยู่เฉย ๆ หรือกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม พระเจ้าทรงให้เราทุ่มสุดกำลังของเราด้วย เพราะสิ่งที่เราได้มานั้น มีค่ายิ่งนัก จะทำเป็นเหมือนสิทธิที่ยังไง ๆก็เป็นของฉันไม่ได้ เริ่มต้นจากความเชื่อ ทำให้เราได้รับชีวิตนิรันดร์ จากนั้น ก็ต้องมีสิ่งดี ๆ ที่เพิ่มเติมเข้ามาในชีวิต ไม่เริ่มจากความเชื่อ ก็จะกลายเป็นแค่คนมีศีลธรรมเท่านั้น แต่ไม่มีชีวิตของพระเจ้า
จากความรู้ เพิ่มด้วยการควบคุมตนเองจากการควบคุมตนเองเพิ่มความอดทนลงไป จากความอดทนนั้น เพิ่มด้วยชีวิตมีคุณธรรมแบบพระเจ้า
2 เปโตร 1:6
ลูกา 21:19, 2 เปโตร 1:3, กิจการ 24:25
เมื่อเริ่มด้วยความเชื่อในพระเจ้าแล้ว เราต้องใช้ชีวิตให้ดี แสวงหาความรู้ในพระเจ้า รู้จักพระองค์มากขึ้นทุกวัน จากนั้นก็ต้องรู้จักบังคับตน ในโลกที่วุ่นวาย ซับซ้อน เต็มด้วยความบาปโดยเฉพาะบาปทางเพศที่มันเข้ามาประชิดตัวเราในสื่อสังคม ในอุปกรณ์ที่เราใช้ทุกวัน ความอดทนนั้นคือการสู้ต่อไปแม้มีการต่อต้าน รับภาระหนัก ๆ ได้ ชีวิตมีคุณธรรมแบบพระเจ้า กรีก: eusebeia มีความหมายครอบคลุมถึงการอุทิศถวายแด่พระเจ้า จริงใจ ซื่อตรง
จากชีวิตมีคุณธรรมแบบพระเจ้า เพิ่มด้วยความรักฉันพี่น้องจากความรักฉันพี่น้อง เติมลงไปด้วยความรัก
2 เปโตร 1:7
กาลาเทีย 6:10, โรม 12:10, 1 เปโตร 1:22
เมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว คริสเตียนยังต้องใช้ชีวิตอย่างที่สมควรกับพระเจ้าความรักในหมู่พี่น้อง คำนี้ใช้ในกรีก: ฟีลาเดเฟีย คือการที่จะมีความคิดที่เหมาะควรกับพี่น้อง มีน้ำใจต่อกันส่วนความรักสุดท้ายนั้น ท่านเปโตรใช้คำว่า อากาเป เป็นความรักขั้นสูงสุด เป็นการหาสิ่งดี สวัสดิภาพให้กับผู้อื่น แม้ต้องแลกด้วยการเสียสละ
เพราะหากว่าท่านมีคุณสมบัติตามที่กล่าวมา และยังมีเพิ่มพูนขึ้นอีก ท่านก็จะไม่เป็นคนไร้ค่า ไม่ไร้ผลในความรู้เรื่องพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา
2 เปโตร 1:8
ยอห์น 17:3, ฟีลิปปี 3:8, โคโลสี 1:10
คุณสมบัติดังกล่าวตั้งแต่ความเชื่อไปจนจบสมบูรณ์ที่ความรักนี้ จะต้องมีการพัฒนา เติบโต เพิ่มพูนขึ้น การที่ไม่มีการพัฒนาทำให้เราเป็นคนไร้ผล พูดง่าย ๆ คือ ถ้าทำธุรกิจแล้วละก็ เท่ากับประสบความล้มเหลว (คำว่าไร้ค่า= อารกูส ไร้ผล =อาคาพูส เป็นคนละคำในภาษากรีก) ผู้เชื่ออย่างเราจึงควรมีเป้าหมายในชีวิตที่จะเติบโตงดงาม ชีวิตทั้งมีค่าและเกิดผล การที่เรารู้ แล้วเชื่อฟัง แสดงว่าเรารู้จักพระเจ้าจริง
คนที่ขาดคุณสมบัติดังกล่าว ก็เป็นคนสายตาสั้นจนบอด เพราะได้ลืมไปว่า ตนได้รับการชำระจากบาปในอดีตแล้ว
2 เปโตร 1:9
เอเฟซัส 5:26,ทิตัส 2:14, 1 ยอห์น 2:11
แต่หากในชีวิตไม่มีคุณสมบัติที่กล่าวมาล่ะ ? จะเกิดอะไรขึ้น แสดงว่า เราไม่รู้จักพระเจ้าจริง เพราะเราไม่สนใจที่จะทำให้ชีวิตของเรามีกำไร เพียบพร้อมด้วยการเพิ่มพูนคุณความดีของพระเจ้าในชีวิต ท่านเปโตรถึงกับว่าเป็นคนตาสั้นจนบอด ท่านยากอบเรียกว่าความเชื่อที่ตายแล้ว (ยากอบ 2:17,26) การลืม ในที่นี้คือ การไม่เอาใจใส่ ไม่เข้าใจความหมายแท้ของการที่พระเจ้าได้ทรงไถ่
ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย จงหมั่นย้ำเตือนตนเองถึงการทรงเรียก และการทรงเลือกท่าน ตราบเท่าที่ท่านปฏิบัติตามทางนี้ ท่านจะไม่มีวันสะดุดล้มลง
2 เปโตร 1:10
2 โครินธ์ 13:5, 1 ยอห์น 3:19, ยากอบ 2:10, ยูดา 1:24
เมื่อเราได้ตามสิ่งที่ท่านเปโตรเตือนไว้ก่อนหน้านี้ เท่ากับว่า เรากำลังย้ำเตือนให้ตัวเองรู้ว่าพระเจ้าทรงเรียก(โดยผ่านข่าวประเสริฐ 2 เธสะโลนิกา 2:14) และทรงเลือกเรา (ก่อนการวางรากสร้างโลก เอเฟซัส 1:4)เราต้องเอาใจใส่ชีวิตที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ อย่าให้หลุด หลง สะดุดไปเพราะสิ่งที่ล่อหลอกในโลกนี้ ความดีทั้งแปดอย่างที่ท่านเปโตรกล่าวถึงเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นจากใจจริง แกล้งทำไม่ได้ เมื่อความดีต่าง ๆ นี้เกิดขึ้นในชีวิต เท่ากับเป็นการพิสูจน์ว่า เราได้บังเกิดใหม่จริง. กำลังเหมือนพระเยซูมากขึ้นทุกวัน
ด้วยวิธีนี้ ท่านจึงมีคุณสมบัติที่จะได้รับการต้อนรับเข้าสู่
อาณาจักรนิรันดร์ของพระเยซูคริสต์
ผู้ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระผู้ช่วยให้รอดของเราอย่างเหลือล้น
2 เปโตร 1:11
สดุดี 145:13, 1 ทิโมธี 6:17, 2 เปโตร 3:18
มีบางท่านให้ความเห็นว่าเป็นการเข้าโดยมีเสียงเพลงร้องต้อนรับเข้าไปที่นั่นเหมือนกับ นักรบที่ชนะกลับมาจากการรบ หรือนักกีฬาที่ชนะกลับมา ผู้คนต่างโห่ร้องต้อนรับด้วยความยินดียิ่งนัก เราจะเข้าไปในสวรรค์ด้วยวิธีไหน เข้าไปเงียบ ๆ หรือ มีการร้องไชโยที่ได้เข้ามา หรือว่าเข้าสวรรค์โดยหนีจากไฟนรก อย่างหวุดหวิด หนีออกมาแบบไม่คิดชีวิต ?
จำเป็นที่ต้องเตือนกันบ่อย ๆ
ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงจะเตือนท่านถึงเรื่องดังกล่าวเสมอไม่ขาด แม้ว่าท่านรู้อยู่แล้ว และได้ยืนมั่นในความจริงนั้น
2 เปโตร 1:12
ฟีลิปปี 3:1, 1 ยอห์น 2:21, ยูดา 1:5, 1 เปโตร 5:12
จากข้อ 1 -11 ท่านเปโตรได้แนะนำให้เรารู้ว่า ควรมีคุณสมบัติใดในชีวิตเพื่อให้เหมาะกับอาณาจักรของพระเจ้าที่ผู้เชื่อกำลังจะเข้าไป ท่านเปโตร ยินดีที่จะเตือนแล้วเตือนอีก เพื่อผู้เชื่อจำไม่ลืม ผู้ที่อ่านจดหมายของท่านเปโตรนี้จึงควรรักษาสิ่งดีต่าง ๆ นี้ตลอดเวลาทุกวันที่เราเดินตามพระเจ้าอยู่
ความเร่งด่วนในหัวใจ
ตราบเท่าที่ข้ายังอยู่ในเต็นท์นี้
ข้ามองเห็นว่าการคอยเตือนฟื้น
ความจำให้ท่านเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
2 เปโตร 1:13
2 เปโตร 3:1, 2 โครินธ์ 5:1,4
เพราะการที่จะได้เข้าไปสู่อาณาจักรนิรันดร์ เป็นเรื่องสำคัญมาก ดังนั้นคำว่า …ตราบที่ยังอยู่ใน เต็นท์นี้… เท่ากับตอนนี้ท่านเปโตร กำลังคิดถึงความตายท่านถือว่าร่างกายเป็นเพียงที่อาศัยของชีวิตเพียงชั่วคราวใ ช้พักพิงไม่นานนัก เหมือนกับที่ผู้เขียนสดุดีเคยอธิษฐานว่า“ขอทรงสอนให้เรานับวันเวลาของเรา เพื่อเราจะมีปัญญา” สดุดี 90:12
เพราะข้ารู้ว่า อีกไม่นาน
ข้าก็ต้องปล่อยเต็นท์นี้ไป
ดังที่พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงทำให้ข้าเห็นชัดเจนแล้ว
2 เปโตร 1:14
2 โครินธ์ 5:1, 2 ทิโมธี 4:6, ยอห์น 13:36, 21:18-19
ตอนที่ท่านเปโตรยังหนุ่มแน่น เป็นชาวประมงที่ออกมาติดตามพระเยซู ท่านมีพลังคนหนุ่ม แต่ใกล้วันที่พระเยซูจะเสด็จสู่สวรรค์ พระองค์ตรัส ให้เขาได้รู้ว่า ในยามชรา จะมีคนพาเขาไปในที่ ๆ
ไม่อยากไป ท่านรู้ดีว่า ท่านจะได้ตายอย่างที่ถวายพระเกียรติพระเจ้า ดูเหมือนท่านจะเห็นว่าอีกไม่นานท่านจะถูกลงโทษจากโรมแน่นอน
คำว่า ปล่อยเต็นท์นี้ หรือเอาเต็นท์นี้ออกไป หมายถึงความตาย และจากร่างนี้ไป
และข้าจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อว่า ท่านยังจะระลึกถึงสิ่งเหล่านี้เสมอยามที่ข้าจากไปแล้ว
2 เปโตร 1:15
เฉลยธรรมบัญญัติ 31:19-29
ความพยายามของท่านประสบความสำเร็จเกินคาด แม้เวลาจะผ่านไปสองพันปีแล้ว แต่จดหมายของท่านก็ยังช่วยให้คริสเตียนได้นำมาใช้เป็นเครื่องนำทางชีวิตอยู่จนทุกวันนี้ พระเจ้ายังทรงใช้งานเขียนของท่าน ให้เป็นรากฐานของคริสตจักร ของความเชื่อที่ถูกต้องมาทุกยุคทุกสมัย เราเองก็ควรคิดแบบท่านด้วยว่า เรามีอะไรดี ๆ ส่งต่อให้คนรุ่นต่อไปบ้าง
คำพยานที่จริงจากผู้เห็นเหตุการณ์
ตอนที่เราแจ้งให้ท่านทราบถึงฤทธิ์เดชและการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์เจ้านั้น เราไม่ได้พูดตามเรื่องราวที่มนุษย์ปั้นแต่งขึ้น แต่เราเป็นพยานที่ได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์ด้วยตัวเอง
2 เปโตร 1:16
1 โครินธ์ 1:17, มัทธิว 28:18, เอเฟซัส 1:19-22, 1 เปโตร 5:4, , มัทธิว 17:1-5, ลูกา 1:2
ท่านเปโตรยืนยันชัดเจนว่าท่านไม่ได้ใช้เรื่องราวจากเหล่าครูสอนผิดที่คิดเรื่องขึ้นมาเอง แต่ท่านเองเป็นคนที่เห็นสิ่งต่าง ๆที่เกิดขึ้นในชีวิตของพระเยซู เด็ดสุดก็คือวันที่ท่านได้เห็นพระเยซู องค์พระเมสสิยาห์บนภูเขา และทรงเปลี่ยนร่างจากมนุษย์เป็นพระเจ้าที่ทรงพระสิริรุ่งโรจน์ยิ่งนัก (มัทธิว 17:1-8) และทรงส่องแสงประกายราวกับดวงอาทิตย์ !
เพราะเมื่อพระองค์ทรงรับพระเกียรติและพระสิริรุ่งโรจน์จากพระเจ้าพระบิดาก็มีพระสุรเสียงจากพระสิริรุ่งโรจน์ที่ยิ่งใหญ่มายังพระองค์ว่า
“นี่คือลูกชายที่รักของเรา เป็นผู้ที่เราโปรดปรานมาก”
2 เปโตร 1:17
สดุดี 2:7, อิสยาห์ 42:1, มัทธิว 17:5, มาระโก 9:7, ลูกา 1:35, 9:35
Transfiguration of Jesus, 1520 (Oil on Canvas), by Raphael
ท่านเปโตรกำลังสื่อให้ผู้อ่านได้รับรู้ว่าพระเยซูที่ทรงเปลี่ยนร่างให้ท่านเห็นองค์นี้คือ พระเมสสิยาห์ผู้ที่ พระเจ้าทรงเจิมตั้งให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดบาปของชาวโลกจริง ๆ เพราะยังมีพระสุรเสียงของ
พระบิดาเจ้ายืนยันว่าทรงเป็นพระบุตรที่รัก ที่พระบิดาทรงโปรดปรานด้วย ดูสิ พระเจ้าผู้ที่เดินดินอย่างคนทั่วไป ได้สำแดงพระองค์จริงให้เปโตรและเพื่อนได้เห็น
และพวกเราเองได้ยินพระสุรเสียงนี้ จากสวรรค์ เวลาที่เราอยู่กับพระองค์
บนภูเขาบริสุทธิ์
2 เปโตร 1:18
มัทธิว 17:1
Painting: “Transfiguration”
[cropped] by the Danish Lutheran artist Carl Bloch
[Public domain], via Wikimedia Commons
ความมหัศจรรย์ครั้งนี้ยังเพิ่มระดับให้กับเปโตร และเพื่อนด้วยการที่พวกเขาได้ยินเสียงจากสวรรค์ ยากอบและยอห์นก็ได้เห็น ได้ยินเสียงนี้ด้วย ผู้ที่บันทึกเรื่องราวสำคัญคือ มัทธิว มาระโกและลูกา ครั้งนี้เป็นครั้งที่เปโตรเล่าถึงเหตุการณ์ด้วยตัวเอง ถ้าเราคิดให้ดี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นย่อมทำให้พวกเขายิ่งมั่นใจมากขึ้นว่า พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า เพราะพระบิดาเจ้าทรงมา แจ้งให้พวกเขาทราบด้วยพระองค์เอง
นี่เอง ที่ทำให้เรามีความมั่นใจคำพยากรณ์ในอดีตมากยิ่งขึ้น จะเป็นการดีหากท่านใส่ใจคำนั้น เพราะเป็นเหมือนกับตะเกียงที่สองแสงในที่มืด จนกว่าเช้าตรู่
ดาวประจำรุ่งก็จะส่องแสงเข้ามาในใจท่าน
2 เปโตร 1:19
ยอห์น 1:4-5, 9, สุภาษิต 4:18, วิวรณ์ 2:28, 22:16, 2 โครินธ์ 4:5-7
การที่ได้อยู่ในเหตุการณ์พระเยซูทรงเปลี่ยน
พระกายจากมนุษย์เป็นพระเจ้านั้น นับว่ามหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง แต่สำหรับเขาแล้ว สิ่งที่พระเจ้า ตรัสเกี่ยวกับพระเยซูมาตั้งแต่อดีตนั้น ยิ่งทำให้เขามั่นคง มั่นใจมากยิ่งขึ้น และท่านเองได้
ชักชวนให้เราใส่ใจคำพยากรณ์เรื่องพระเยซู
ผู้เชื่อในพระเจ้าควรใส่ใจพระคัมภีร์เดิมและคำสอน แท้จากอัครทูต คำเหล่านั้นเป็นแสงสว่าง
สำหรับชีวิตของทุกคน
อย่างแรกท่านต้องเข้าใจว่า ไม่ว่าใครจะ แปลความของพระผู้เผยพระคำตามใจตัวเองไม่ได้ เพราะคำจากผู้เผยพระคำ ไม่ได้เกิดจากความต้องการของมนุษย์. แต่เป็นการที่มนุษย์พูด เพราะเขาได้รับการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
2 เปโตร 1:20-21
โรม 12:6, เยเรมีย์ 23:26, 2 ทิโมธี 3:16, 2 ซามูเอล 23:2, ลูกา 1:70, กิจการ 1:16, 3:18, 1 เปโตร 1:11
คำพยากรณ์แท้จริงมาจากการที่พระเจ้าตรัส ผ่านคนของพระองค์ในเวลาที่เขาได้รับการขับเคลื่อนด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น ไม่ใช่จะพูดเมื่อไรตามใจของคนพูดได้ คำว่า ดลใจจากพระวิญญาณในภาษากรีกมี ความหมายถึงการไปตามกัน อย่างเช่นเรือถูกลมพัดไป เรือแล่นไปตามกระแสน้ำ พระวิญญาณทรงนำให้เขาพูดตามพระองค์ ผู้เชื่อจะต้องไม่หลงเชื่อตามความเห็นครูสอนผิด
ยอห์น 8 คำอธิบายและพระคำอ้างอิง
ผู้หญิงที่ถูกจับมา
ยอห์น 8:1-2
เทศกาลอยู่เพิงเพิ่งเสร็จ เรื่องที่เกิดขึ้นในพระวิหารคงยังเป็นเรื่องที่คุยกันในเมือง รุ่งเช้าวันต่อมาพระเยซูเสด็จกลับมาที่พระวิหาร หลังจากที่ไปพักที่ภูเขามะกอกเทศ ไปถึงก็ทรงนั่งสอน. ผู้คนก็เข้ามาห้อมล้อมพระองค์มากมาย เวลาสอนนั้น อาจารย์ในสมัยโบราณจะนั่งและมีผู้คน รุมล้อมฟังอาจารย์… พระองค์ทรงสอนในพระวิหารบ่อย ๆ (5:19-47, 7:14-52) ดูสิว่า พระเยซูทรงกล้าหาญที่จะกล่าวถึงพระบิดาของพระองค์ไม่หยุด..
1 **.มัทธิว 21:1, ลูกา 19:37. 2** ยอห์น 8:20, 18:20
ยอห์น 8:3-6
6 แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ที่สร้างความตระหนกให้ทุกคน ธรรมาจารย์กับฟาริสี ไปจับผู้หญิงที่บอกว่ากำลังล่วงประเวณีมาให้พระเยซูตัดสินลงโทษ พวกเขาตั้งใจหาเรื่อง ต้องการหาจุดอ่อนเพื่อกล่าวโทษพระเยซู ไม่ได้ต้องการความยุติธรรม หรือการทำตามบัญญัติโมเสส. พวกเขาต้องการทำลายทั้งผู้หญิงและพระเยซูต่อหน้าสาธารณชน หลายคนเชื่อว่า พวกเขาจัดฉากให้เกิดขึ้นเพื่อทำลายพระเยซูโดยเฉพาะ
5 ในบัญญัติโมเสส เฉลยธรรมบัญญัติ 22:23,24. มีโทษสำหรับคนล่วงประเวณี พวกที่จับผู้หญิงมา ต้องการให้พระเยซูพูดอะไร ๆ ที่ค้านบัญญัติของโมเสส. เขาถามพระเยซูชัดเจนว่า “ท่านจะว่าอย่างไร?” พวกเขาต้องการคำตอบทันที 6 ถ้าพระเยซูห้ามไม่ให้เอาหินขว้าง .. เท่ากับพระองค์ทรงทำผิดบัญญัติโมเสส. และถ้าให้เอาหินขว้างก็เท่ากับขัดกับกฏหมายของโรมที่กุมอำนาจอยู่ เพราะโรมห้ามยิวจัดการลงโทษคนของตนเอง พระเยซูไม่ตรัสตอบทันที แต่กลับโน้มพระกายเขียนพื้นซึ่งคงเป็นพื้นทรายหรือดิน .. ไม่มีใครทราบว่า พระองค์ทรงเขียนอะไรที่พื้นดิน แต่คำกรีกที่ใช้นั้น เขียนว่า กราฟีอิน ซึ่งอาจหมายความว่า เขียนบันทึกกล่าวหา … ในพระคัมภีร์แปลบางเล่มมีคำ.. ราวกับว่าพระองค์ไม่ทรงได้ยินพวกเขา
3- 4** อพยพ 20:14, 5** เลวีนิติ 20:10, เฉลยธรรมบัญญัติ 22:21-24 6* *มัทธิว 22:15,18, 19:3
ยอห์น 8:7-8
8 แต่พวกเขาก็ถามไม่หยุด พระองค์จึงทรงยืน และมองพวกเขาตาต่อตา. คำของพระองค์นั้น ทำให้ทุกคนตะลึง ใครจะไปคาดคำตอบเช่นนี้..
“ใครไม่บาปก็ขว้างเป็นคนแรกเลย” … แทนที่จะเอาผิดกับผู้หญิง พระเยซูทรงชี้ความผิดของทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น !! คนที่เป็นพยาน เห็นความบาปของผู้หญิงคนนั้น ไม่ได้มีส่วนร่วมในบาป ก็เอาหินขว้างได้ พวกเขาต้องการให้พระเยซูติดกับดัก แต่พระเยซูกลับทรงย้อนพวกเขาว่า ถ้าเขาไม่มีบาปแบบนี้จริง ๆ ละก็ เขาลงโทษเธอได้
8 แล้วพระเยซูทรงให้เวลาพวกเขาคิด..ได้อ่านสิ่งที่ทรงเขียนบนดิน
7** ฉธบ. 17:7, โรม 2:1-3, 21-25, 8**-
ยอห์น 8:9-11
11 พวกเขาได้คิดจริง ๆ. เริ่มรู้ตัวว่าพระเยซูหมายความอย่างไร คนที่อายุมากกว่าก็เข้าใจสิ่งที่พระเยซูตรัสทันที คนอื่น ๆ อาจจะยังเถียงกันไปมา แต่แล้ว ก็ไม่มีใครเหลืออยู่เลย.. ยกเว้นผู้หญิงที่ถูกกล่าวหา ยืนอยู่ตรงนั้น
10 ขณะที่พระเยซูทรงก้มเขียนดิน พวกเขาเดินออกไป พระเยซูทรงยืดพระกาย.. ถามเธอว่า ไม่มีใครเอาผิดหรือ? ลองคิดดูว่าตอนนั้นเธอจะรู้สึกอย่างไร อาจตกใจมากอยู่… แต่แล้ว เธอก็ได้รับพระคุณยิ่งใหญ่..
11 พระเยซูไม่ได้เอาผิดหญิงคนนี้ แต่พระองค์ทรงยกโทษให้และขอให้เธอหยุดทำบาป สมกับเป็นองค์พระเยซูที่ตรัสว่า บรรดาผู้ลำบากเหน็ดเหนื่อยจงมาหาเรา … เพราะว่าเราสุภาพอ่อนโยน และใจอ่อนน้อม มัทธิว 11:28,29. เราจะเห็นคนบาปสองแบบคือ คนที่ดูดีมีฐานะ มีความรู้ หรือเป็นคนดีมาก ๆ แต่หลบซ่อนบาปของตัวเองไว้ กับคนบาปที่ทำบาปให้เห็น พวกแรกก็ชอบวิจารณ์ ชอบหาความผิด คอยกล่าวหาผู้อื่นไม่หยุดหย่อน คิดว่าตัวเองดีกว่าใคร ๆ
พระเยซูทรงทำให้หญิงที่ถูกกล่าวหาได้รู้ว่า พระเจ้าทรงรักเธอ พระองค์พร้อมที่ให้เธอกลับใจ การเปลี่ยนชีวิตของเธอเกิดขึ้นช่วงเดียวกับที่เธอเห็นความอ่อนโยนที่พระองค์ปฏิบัติต่อเธอ
9* โรม 2:22 , ปัญญาจารย์ 7:22, 1 ยอห์น 3:20, 10** อิสยาห์. 41:11-12 11* ยอห์น 3:17, 5:14, อิสยาห์ 1:16-18
องค์ผู้เป็นแสงสว่างแห่งโลก
ยอห์น 8:12-14. คำสนทนาเรื่องความสว่างของโลก
12. กลับมาที่คำสนทนาระหว่างยิวฟาริสี ธรรมาจารย์กับพระเยซู เป็นคำสนทนาที่ยาวพอสมควร …. ครั้งที่สองที่พระองค์ตรัสว่า “เราเป็น…..” ก่อนหน้านี้ ตรัสว่า เราเป็นอาหารแห่งชีวิต (6:35 ตอนที่ทรงเลี้ยงคน 5000 คน ) และก่อนหน้านี้ พระองค์ยังชวนให้คนเข้ามาหาน้ำแห่งชีวิต ซึ่งพระองค์หมายถึงองค์พระวิญญาณ (7:37-38)
เมื่อไรที่มีการพูดถึงความสว่าง คนยิวจะคิดถึงการสถิตอยู่ของพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นการทรงสร้างความสว่าง หรือการที่ทรงเป็นเสาไฟยามกลางคืนเมื่ออิสราเอลเดินในถิ่นกันดาร ดังนั้น เมื่อพระองค์ตรัสว่าทรงเป็นความสว่างเท่ากับ พระองค์ตรัสว่า “เราเป็นพระเจ้า” ชัดมาก ทำให้พวกเขาโกรธที่พระองค์ยืนยันเช่นนี้(อิสยาห์เคยกล่าวไว้ว่า ผู้รับใช้ที่พระองค์จะส่งมา คือแสงสว่างของโลก อิสยาห์ 42:6, 49:6) จริง ๆ แล้วเทศกาลอยู่เพิงเป็นเทศกาลแห่งไฟด้วย จะมีการจุดไฟสว่างเอาไว้ตลอดเทศกาลระลึกถึงการเดินในถิ่นกันดาร
13. เราก็อาจงงว่า ทำไมฟาริสีพูดเช่นนั้น หาว่า พระองค์เป็นพยานให้ตนเอง คำของพระองค์จึงเชื่อถือไม่ได้ว่าทรงเป็นแสงสว่าง ในระบบศาลของยิวจะต้องมีพยานสองปากขึ้นไป
14. พระองค์กำลังบอกว่าที่คำพยานของพระองค์เชื่อถือได้เพราะ เป็นพยานเดียวก็ได้ แม้จะไม่ตรงตามบัญญัติของโมเสส พระองค์ทรงรู้ว่าทรงมาจากสวรรค์ ทรงเป็นพระเจ้า ( 7:29, 33-34) แต่พวกเขาต่างหากที่ไม่รู้
12** ยอห์น 1:4, 9:5, 12:35, 1 เธสะโลนิกา 5:5,อิสยาห์ 49:6 13** ยอห์น 5:31 14** ยอห์น 7:28, 9:29
ยอห์น 8:15-18
15.พระเยซูบอกให้ฟาริสีรู้ว่า พวกเขาไม่ได้มีสิทธิจะตัดสินพระองค์เลย พระองค์ต่างหากที่เป็นพระเจ้าสามารถตัดสินพวกเขาได้ (อ่านดาเนียล 7:9-14) พวกเขากำลังประเมินพระองค์แบบมนุษย์ การรู้จัก และความเห็นของตัวเองที่มีต่อพระองค์ พวกเขาเห็นว่าพระองค์เป็นลูกช่างไม้ ไม่ได้เรียนในธรรมศาลาเหมือนพวกเขา
16. ถึงอย่างนั้น พยานของพระองค์มีสองท่านคือ ตัวพระองค์เอง และพระบิดา ดังนั้นจึงถูกต้อง
17.ตามธรรมบัญญัติที่วางไว้ว่าต้องมีพยานสองคนขึ้นไปจึงจะเชื่อถือได้. (ฉธบ.17:6)
18. (ตอนที่พระเยซูทรงรับบัพติศมาจากยอห์นนั้น พระบิดาได้ลงมาตรัสว่า ผู้นี้เป็นบุตรที่รักของพระองค์ ให้คนจำนวนมากที่อยู่ในเหตุการณ์ได้เห็น รวมถึงพวกฟาริสี ธรรมาจารย์บางคนที่ออกไปรับบัพติศมา).
ลูกา 3:21-22 พระบิดาทรงมาเยี่ยมเยี่ยนในวันที่พระเยซูทรงรับบัพติศมาจากยอห์น อ่านยอห์น 1:29-34, 3:22-35 ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเป็นพยานเรื่องพระเยซู
15** ยอห์น 7:24, 3:17,12:47, 18:36 16** ยอห์น 16:32 17** ฉธบ. 17:6, 19:15 18** ยอห์น 5:37
ยอห์น 8:19-20
19. บิดาของท่านอยู่ที่ไหน? พวกเขาถามถึงบิดาที่เป็นมนุษย์ แต่พระเยซูกำลังตรัสถึงพระบิดาผู้อยู่ในสวรรค์ ฟาริสีมองฝ่ายเนื้อหนัง พระเยซูทรงกล่าวถึงพระบิดาผู้ทรงเป็นพระวิญญาณ
คนละมุมมอง เหมือนพูดกันคนละเรื่อง
เอากันจริง ๆ ฟาริสีและธรรมาจารย์รู้อยู่แล้วว่าพระองค์ไม่เหมือนใคร อย่างไร พระองค์พิเศษอย่างไร ถ้าเขารู้จักพระองค์จริง ๆ เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะรู้จักพระบิดาด้วย … แต่ตอนนี้ฟาริสีและธรรมาจารย์ตามืด ตาบอด ขอเพียงแต่ได้ทำลายพระเยซูเป็นพอ
ลองคิดถึงเปโตรในวันที่พระเยซูทรงถามเขาว่า ท่านว่าเราเป็นใคร เขาตอบอย่างชัดเจนเพราะเขารู้จักพระองค์ว่า “พระองค์คือพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า”. (มัทธิว 16:16)
20. ยอห์นได้บันทึกว่า เหตุการณ์นี้อยู่ในที่สาธารณะ คลังพระวิหารนั้นอยู่ด้านหน้าสุดของพระวิหาร เป็นที่ ๆ อยู่ใกล้ ๆ กับเจ้าหน้าที่และยามพระวิหาร ผู้คนไม่น้อยได้ฟังคำสนทนาที่เกิดขึ้น
19** ยอห์น 16:3, 14:7, 20** มาระโก 12:41, 43, ยอห์น 2:4, 7:30, ยอห์น 7:8
ยอห์น 8:21-23
21. จากการที่ฟาริสีและธรรมาจารย์ได้พยายามต่อต้านพระองค์ขนาดนี้ พวกเขาไม่ยอมรับผู้ที่พระเจ้าส่งมา พระเยซูจึงทรงบอกอนาคตของพวกเขารู้กันไปเลย ว่าที่ ๆ พระองค์จะไปพวกเขาไปไม่ได้ พระองค์กำลังตรัสถึงการสิ้นชีพ คืนชีพและเสด็จสู่สวรรค์
22. แต่พวกเขากลับเห็นว่าพระองค์จะฆ่าตัวตาย และที่สุดก็ไปนรก (ในความเชื่อยิวนั้น นรกเป็นที่สุดท้ายของคนที่ฆ่าตัวตาย)
ดูสิ พระองค์ตรัสว่าจะทรงไปสวรรค์ แต่เขากลับเข้าใจว่าพระองค์จะไปนรก เราจะเห็นได้ชัดว่าฟาริสีเหล่านั้น ไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำ ไม่รู้อะไรในเรื่องฝ่ายวิญญาณเลย
23. แล้วพระเยซูจึงสรุปให้เข้าใจจริงว่า อะไรเป็นอะไร พระองค์มาจากสวรรค์ แต่พวกเขาเป็นคนที่ต่อต้านพระเจ้า มาจากเบื้องล่าง ในภาษาเดิมเป็นการเล่นคำด้วย ยอห์นบอกมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าพระเยซูทรงเป็นผู้ใด ทรงเป็นพระดำรัสของพระเจ้าที่ทรงอยู่มาตั้งแต่ต้น ทรงเป็นความสว่างที่ลงมาในโลก พวกเขาไม่ได้เข้าใจอะไรเลย
21** ยอห์น 7:34, 13:33, 8:24, 22** สดุดี 22:6 23** ยอห์น 3:31, 4:5
ยอห์น 8:24-26
24. แล้วพระเยซูทรงแจ้งตรงไปตรงมาว่า หากพวกเขาไม่เชื่อว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พวกเขาจะต้องตายเพราะบาป ในภาษาเดิมพูดว่า ถ้าเจ้าไม่เชื่อว่า เราคือ “เราเป็น” (อีโกอีไมซึ่งเป็นชื่อที่พระเจ้าทรงเรียกพระองค์เองในวันที่พระองค์ทรงบอกชื่อของพระองค์แก่โมเสสที่พุ่มไม้ไฟ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เรียนได้อีกลึกซึ้งมาก )
25. ได้ยินอย่างนี้ พวกเขาก็โกรธยิ่งขึ้น เอาอีกแล้ว ชายคนนี้ทำตัวเสมอพระเจ้าอีกแล้ว… “ท่านเป็นใครกัน?” พวกเขาถามอย่างนี้บ่อย ๆ แต่เมื่อพระเยซูทรงตอบว่าทรงเป็นพระคริสต์ ก็ไม่ยอมรับ (เฉลยธรรมบัญญัติ 32:39) พวกเขาต้องได้คำตอบแบบที่ตนต้องการจึงจะพอใจ
26. พระเยซูกำลังตรัสแก่ยิวและแก่เราว่า หากไม่เชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ที่พระองค์ทรงบอกแล้วละก็ เขาจะต้องตายเพราะบาปของเขา (ยอห์น16:9 บอกเราชัดว่า การไม่เชื่อคือการอยู่ในสถานะบาป)
24** ยอห์น 8:21, มาระโก 16:16 25** ยอห์น 4:26 26** ยอห์น 7:28, ยอห์น 3:32, 15:15
ยอห์น 8:27-30
27. ความที่ไม่ยอมรับพระบุตรและพระบิดาตามที่พระเยซูตรัส พวกเขาจึงไม่เข้าใจอะไรเลย ไม่รู้ว่าพระเยซูกำลังบอกเขาว่า มีพระเจ้าพระบิดาผู้ทรงส่งพระองค์มา และพระบิดาตรัสอะไร พระเยซูก็จะบอกตามนั้น
28. แล้วพระองค์ก็ตรัสถึงอนาคตอันใกล้ว่า เมื่อไรที่ยิวยกพระองค์ขึ้น (ไม่ได้หมายความว่ายกย่อง) แต่เป็นการยกไม้กางเขนที่มีร่างของพระองค์ติดอยู่ แล้วตั้งขึ้น เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พวกเขาจึงจะรู้ว่า พระองค์ทรงทำทุกอย่างตามพระบิดาบัญชา
29. และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พระบิดากับพระเยซูใกล้ชิดกันเสมอ เพราะเป็นพระบุตรที่ทำให้พระบิดาพอพระทัย 30. แปลกที่เวลานั้น มียิวหลายคนตัดสินใจเชื่อพระองค์ ! แต่เชื่อแบบไหนกัน เราดูต่อไป
27** อิสยาห์ 6:9 , 2 โครินธ์ 4:3-4 28** ยอห์น 3:14, 12:32, 19:18, โรม 1:4, ยอห์น 5:19,30, 3:11 29** ยอห์น 14:10, 8:16, 16:32, 4:34,5:30,6:38 30** ยอห์น7:31, 10:42, 11:45
ลูกอับราฮัมหรือลูกมาร ?
ยอห์น 8:31-34
31-32 แทนที่พวกเขาเชื่อ แล้วพระองค์จะเอาใจ พระองค์กลับตรัสสิ่งที่แรงมาก นั่นคือพระองค์ตรัสสื่อว่า พวกเขาเป็นทาสอยู่ เมื่อไรที่เขารู้ความจริง เขาจะเป็นอิสระ ความจริงของพระเจ้าเท่านั้น ที่ช่วยให้เราไม่ตกไปเป็นทาสคำโกหกของใคร
33. พวกเขาโกรธและคิดว่าตัวเองไม่เคยเป็นทาสใคร (พวกเขาลืมไปว่า ในทางการเมืองแล้วพวกเขาเป็นทาสโรม ในทางความเชื่อ พวกเขาเป็นทาสกฎบัญญัติอย่างสุดโต่ง พวกเขาคิดว่าตนเองเป็นคนมีศีลธรรม ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นทาสบาป)
34. อย่างไรก็ตามพระเยซูทรงสนพระทัยฝ่ายวิญญาณ ทรงบอกเขาว่าถ้าเขาทำบาป เขาก็เป็นทาสของบาป พอได้ยินอะไรแบบนี้ที่เหมือนจะดูถูกตัวพวกเขา พวกเขาก็จะรับไม่ได้เลย
พระเยซูทรงยื่นชีวิตอิสระที่มาจากการมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า และการถูกลบบาปโดยพระองค์เอง แต่พวกเขารับคำของพระองค์ไม่ได้เลย
31** ยอห์น 14:15,23, 32** ยอห์น 1:14,17, 14:6 โรม 6:14,18,22, 33** เลวีนิติ 25:42, มัทธิว 3:9, ลูกา 3:8 34** สุภาษิต 5:22, โรม 6:16, 2 เปโตร 2:19
ยอห์น 8:35-38
35. คนยิวคิดว่าตนเองเป็นลูกในครอบครัวของพระเจ้า ในฐานะที่เป็นลูกหลานอับราฮัม แต่พระเยซูกลับทรงแจ้งให้พวกเขารู้ว่าเขาเป็นเพียงทาสไม่ได้อยู่ในบ้านของพระเจ้านาน ๆ หรอก พระบุตรเท่านั้นที่อยู่ตลอดไป
36. การเป็นอิสระจริง ๆ ที่พระเยซูกล่าวถึง คือการเป็นอิสระจากภาวะทาสบาป
37 พระเยซูทรงรู้ว่าพวกเขาเป็นยิวแท้ เป็นลูกหลานของอับราฮัม ที่พระองค์ตรัสว่า เจ้าไม่มีคำของเราในตัว ความหมายคือ คำของพระเยซูไม่ได้เกิดผลในชีวิตของพวกเขาเลย ไม่ได้เปลี่ยนความคิดเดิมของพวกเขา ถ้าเป็นอับราฮัม เขาจะไม่คิดฆ่าพระเยซู
38. และเมื่อพระองค์ตรัสว่า เจ้าทำสิ่งที่เจ้าฟังมาจากพ่อของเจ้า พระองค์ทรงหมายถึงมาร แต่พวกเขาคิดว่าพ่อของพวกเขาคืออับราฮัม เป็นการสนทนาที่น่างุนงง ดูไปดูมา การสนทนานี้เหมือนว่า พระบิดาทรงสนทนากับเหล่าฟาริสีโดยตรง เพราะพระเยซูได้ตรัสว่า พระองค์ตรัสตามที่พระบิดาทรงสอนไว้ (ข้อ 28)
35** ปฐมกาล 21:10; กาลาเทีย 4:30, ลูกา 15:31 36** โรม 8:2, 2 โครินธ์ 3:17, กาลาเทีย 5:1
37** ยอห์น 7:19 38** ยอห์น 3:32, 5:19,30, 14:10
ยอห์น 8:39-41
39 บางคนเริ่มสับสนแล้ว ยังยืนกรานว่าตนเองเป็นลูกหลานอับราฮัม แต่พระเยซูก็ทรงยืนยันว่า อับราฮัมจะไม่ทำอย่างที่พวกเขากำลังพยายามทำอยู่ พวกเขาเป็นลูกหลานอับราฮัมแค่เชื้อสาย แต่ไม่ใช่ด้วยความเชื่อ
40. “แต่เจ้าพยายามฆ่า คนที่บอกความจริง” ในฐานะมนุษย์พระองค์เป็นคนที่ได้รับทุกสิ่งมาจากพระเจ้า ก่อนที่มาจากเป็นมนุษย์
41 ตอนนี้พวกเขากำลังกล่าวหาว่า พระเยซูเป็นลูกนอกสมรสของมารีย์ เวลาอีกฝ่ายไม่สามารถต่อสู้ความในศาล หรือในการโต้แย้งได้ สิ่งที่มักทำกันคือ การกล่าวหาทำให้อีกฝ่ายหมดความน่าเชื่อถือ. คำตอบของพวกเขาทำให้เรารู้สึกว่า เขาภูมิใจที่เชื่อพระเจ้าองค์เดียว ไม่ได้เป็นเหมือนคนต่างชาติที่มีพระมากมาย เวลาพวกเขาพูดถึงพระเยซูว่าเป็นชาวสะมาเรีย (ข้อ 48) หรือกล่าวว่าพระองค์จะไปหาคนต่างชาติ (7:35) พวกเขาพูดด้วยความรู้สึกดูถูกคนเหล่านั้น พวกเขารู้สึกจริง ๆ ว่าเขาเหนือชนชาติอื่น ๆ เพราะพวกเขาเป็นคนของพระเจ้า
39** มัทธิว 3:9, ยอห์น 8:37, โรม 2:28, กาลาเทีย 3:7,29 40** ยอห์น 8:37,26, 41** ฉธบ 32:6, อิสยาห์ 63:16, มาลาคี 1:6
ยอห์น 8:42-44 ก
42. คำตรัสของพระเยซูตอนนี้ เด็ดจริง ๆ ถ้าพวกเขาเป็นคนของพระเจ้าจริง เขาจะรักพระองค์ พระองค์ไม่ได้มาเอง แต่พระบิดาทรงส่งพระองค์มาในโลก
43. พระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา แต่ในขณะเดียวกันก็ทรงเป็นคนละองค์ ทรงออกมาจากแก่นแท้ของพระเจ้า มาอยู่ในโลกมนุษย์ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง !
คำสนทนาตอบโต้กันนี้ แรงตลอด … สิ่งที่พระเยซูตรัสชัดเจน พวกเขาไม่มีอาจรับสิ่งที่พระองค์ตรัสได้เลย
44 ก.พระองค์ทรงถามเขา แล้วพระองค์ทรงตอบให้ว่า อาการจริง ๆ ของการไม่ยอมรับพระองค์มาจากไหน ไม่ใช่แค่ ว่าพวกเขาเป็นทาสบาปเท่านั้น แต่เป็นเพราะ พวก เขาเป็นของลูกของมาร และพวกเขากำลังทำตามความต้องการของมารอยู่ ถ้าเขาเป็นลูกอับราฮัมจริง ๆ เขาจะไม่ทำเช่นนี้
42** 1 ยอห์น 5:1, ยอห์น 16:27, 17:8, 25, 5:43, กาลาเทีย 4:4 43** ยอห์น 7:17, 44ก** มัทธิว 13:38, 1 ยอห์น 3:8, 2:16, 3:8-10, 15
ยอห์น 44ข- 47
44ข. จากนั้นพระเยซูก็ทรงอธิบายให้ชัดว่าอะไรเป็นอะไร พระองค์อธิบายนิสัยใจคอของมาร พ่อของพวกเขาคือมารได้โกหก และฆ่ามนุษย์มาตั้งแต่แรก มารไม่ยืนในความจริง มันเป็นพวกมุสาไปเสียทุกเรื่อง ถึงจะพูดจริงบางส่วนก็เพียงเพื่อเอาไว้ล่อให้คนตายใจ มันเรียกดีว่าชั่ว เรียกชั่วว่าดี มันเป็นผู้สนับสนุนความชั่วร้ายทุกรูปแบบ
45. คนที่เชื่อคำโกหกมานาน ๆ เมื่อเจอกับความจริงกลับทำใจให้เชื่อไม่ได้
46. ทั้ง ๆ ที่พวกเขาไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าพระองค์ทำบาปเลย แต่ก็ไม่มีใครเชื่อพระองค์
น่าแปลกที่คนยิวที่กำลังอยู่ตรงนี้ ไม่ได้ปฏิเสธว่า เขาต้องการฆ่าพระองค์
47. พระองค์สรุปว่า คนของพระเจ้าจะฟังพระดำรัส ทรงถามเขา และทรงตอบให้อีก
44 ข** ยูดา 6 45** 2 ทิโมธี 4:3-4, 2 เธสะโลนิกา 2:10 46** มาระโก 11:31 47** ลูกา 8:15, ยอห์น 10:26, 1 ยอห์น 4:6
ยอห์น 8:48-51
48. คราวนี้พวกเขาทนแทบไม่ได้ พวกเขาไม่อาจปฏิเสธคำของพระเยซู ดังนั้นจึงเลี่ยงไปกล่าวหาว่าพระเยซูเป็นชาวสะมาเรีย ซึ่งเป็นกลุ่มเชื้อชาติที่ยิวทั้งดูหมิ่นและเกลียดชัง ไม่แค่นั้น หาว่าพระองค์ถูกผีสิงด้วย! พวกเขาใช้วิธีกล่าวหาอีกฝ่ายเมื่อไม่สามารถสู้คำของพระองค์ได้
49-50 เมื่อพระองค์ตรัสว่า เราถวายเกียรติพระบิดา ไม่ได้หาเกียรติให้ตัวเอง และพระเจ้าจะทรงเป็นผู้ตัดสินทุกอย่าง เท่ากับว่าพระองค์ไม่ได้มีผีสิงแน่นอน เพราะผีจะไม่ถวายเกียรติพระเจ้า พวกเขาต่างหากที่เป็นลูกมาร
51. การทำตามคำของพระองค์ มีความหมายว่า เชื่อในพระองค์ จะไม่เห็นความตาย คือจะไม่ตกนรกไป
48** ยอห์น 7:20, 10:20, 49** ยอห์น 5:41 50** ยอห์น 7:18, ฟีลิปปี 2:6-8 51** ยอห์น 5:24, 11:26
ยอห์น 8:52-54
52. ความตายในที่นี้ พระเยซูทรงหมายถึงความตายของจิตวิญญาณ
53. แต่ฟาริสีคิดถึงความตายฝ่ายร่างกาย พวกเขามองว่าพระเยซูยกตัวเองใหญ่กว่าอับราฮัม
54. เกียรติของพระเยซูไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้คนเหล่านี้. แต่พระเจ้าต่างหากทรงให้เกียรติพระเยซูอย่างสูงส่งที่สุด
52** ยอห์น 7:20, 10:20, เศคาริยาห์ 1:5, ฮีบรู 11:13 53** ยอห์น 10:33, 19:7 54** ยอห์น 5:31,32,41, กิจการ 3:13
ยอห์น 8:55-56
55. อับราฮัมยินดีที่เห็นวันของเรา นั่นคือ อับราฮัมได้เห็นพระสัญญาของพระเจ้าว่า จะให้เชื้อสายของเขาได้เป็นพระพรต่อโลก พระเยซูคือเชื้อสายอับราฮัมที่ทำให้ทั้งโลกได้รับพรจริง ๆ แต่ยิวไม่เข้าใจสิ่งที่พระเยซูพูด เพราะพวกเขาไม่ยอมรับการเป็นพระเจ้าของพระองค์
56. เป็นไปได้อย่างไรที่อับราฮัมจะเห็นวันนี้ได้ ในเมื่อตายไปแล้ว แต่พระเยซูกลับกล่าวถึงอับราฮัมราวกับว่า เขามีชีวิตอยู่
55** ยอห์น 7:28,29, 15:10 56** ลูกา 10:24, มัทธิว 13:17, ฮีบรู 11:13
ยอห์น 8:57-59
57-58 คนในพระวิหารที่คุยอยู่กับพระเยซูโกรธมากที่พระองค์ยืนยันว่าทรงเป็นพระเจ้า พระองค์ตรัสชัดเจนต่อหน้าพวกเขาว่าพระองค์อยู่ก่อนอับราฮัมเสียอีก ดังนั้น ถ้ามีใครมาพูดว่า พระเยซูไม่เคยอ้างว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ก็ต้องมาดูพระคัมภีร์บทนี้ พระองค์ตรัสแล้วตรัสอีก ยืนยันอยู่ตลอดเวลา
59. ในที่สุดความโกรธของยิวถึงระดับที่จะเอาหินขว้างพระองค์ ! ซึ่งเป็นวิธีการลงโทษที่ไม่ต้องใช้การพิจารณาคดีเลย เป็นที่ยอมรับกันในหมู่ยิวเมื่อเห็นใครท้าทายบทบัญญัติของโมเสสหรือประเพณีที่สืบต่อกันมา พวกเขาเห็นว่าพระเยซูดูหมิ่นพระเจ้า แถมยังบอกว่าอยู่มาก่อนอับราฮัม ดังนั้นจึงพร้อมที่จะขว้างพระองค์ด้วยตัวเอง
เราเริ่มต้นบทนี้ด้วยการพยายามจะเอาหินขว้างหญิงล่วงประเวณี แต่แล้วกลับหันมาต้องการขว้างใส่พระเยซู
57- 58** มีคาห์ 5:2, ยอห์น 17:5, ฮีบรู 7:3, วิวรณ์ 12:13, อพยพ 3:14, อิสยาห์ 43:13, ยอห์น 17:5, 24, โคโลสี 1:17, วิวรณ์ 1:8 59 ยอห์น 10:31, 11:8, ลูกา 4:30, ยอห์น 10:39