1 ทิโมธี 3 คุณสมบัติผู้รับใช้

คุณสมบัติของผู้ดูแล ผู้ปกครองในคริสตจักร

ข้อความต่อไปนี้เป็นจริง คือ ถ้าใครต้องการจะดูแลคนในคริสตจักร เท่ากับเขากำลังปรารถนางานที่มีเกียรติ ผู้ปกครองดูแลคนนี้ต้องเป็นคนไร้ตำหนิ มีภรรยาคนเดียวรู้จักประมาณตน ควบคุมตนเองได้ น่านับถือ มีน้ำใจรับรองแขก มีทักษะในการสอน
1 ทิโมธี 3:1-2

กิจการ 20:28, 1 เปโตร 5:2 ,2:25, ทิตัส 1:7, 3:2, โรม 12:13

จากภาษาเดิม ความต้องการ..คือการยื่นมือออกไปเพื่อบางสิ่ง แต่ความปรารถนา เป็นความเร่าร้อนในใจ การเป็นผู้ดูแลนี้คือการเป็นคนที่รับผิดชอบในการนำคริสตจักร เป็นผู้ปกครอง ผู้กล่าวพระคำ (ฮีบรู 13:7) รวมไปถึงช่วยเหลือคนที่อ่อนแอฝ่ายวิญญาณ ผู้ที่ทำหน้าที่นี้เราเรียกกันว่า ผู้ปกครอง

ไม่เสพของมึนเมา ไม่ก้าวร้าวแต่สุภาพอ่อนโยน ไม่ชอบ
การทะเลาะวิวาท ไม่เห็นแก่เงิน เป็นคนจัดการครอบครัวตัวเองได้ดีดูแลลูกหลานให้เคารพเชื่อฟัง
1 ทิโมธี 3:3-4

ทิตัส 1:6-7, 2:2, 3:2, ฮีบรู 13:5, กิจการ 10:2

หากคนที่มีคุณสมบัติดังกล่าวได้ดูแลคริสตจักร จะดีมาก เพราะในคริสตจักรมี คนมาจากหลายครอบครัว มีนิสัยแตกต่างกันไป และเขาจะต้องจัดการดูแลคนที่แตกต่าง เหล่านี้ ช่วยให้อยู่ร่วมกันด้วยความรักห่วงใย กัน เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ของง่าย

หากเขาจัดการครอบครัวไม่ได้ จะมาดูแลคริสตจักรของพระเจ้าได้อย่างไรกัน เขาจะต้องไม่ใช่คนที่ เพิ่งเข้ามาเชื่อ ไม่อย่างนั้น เขาอาจกลายเป็นคนจองหอง ลืมตัว ถูกลงโทษอย่างพญามาร เขาต้องเป็นคนมีชื่อเสียงดีในหมู่คนภายนอก เพื่อว่าเขาจะไม่ต้องอับอายเสื่อมเสีย และติดกับดักมาร
1 ทิโมธี 3:5-7

เอเฟซัส 5:24, 5:32, กิจการ 20:28, 1เปโตร 5:5, อิสยาห์ 2:12, 2 โครินธ์ 8:21, โคโลสี 4:5, กิจการ 6:3

คริสตจักรเป็นที่ช่วยเปลี่ยนชีวิตคน ถ้าผู้นำยังพ่ายแพ้ คริสตจักรก็จะตกที่นั่งลำบาก ส่วนคนที่เพิ่งเข้ามาเชื่อ ยังต้องเรียนรู้ทางของพระเจ้าอีกนานพอสมควร หากผู้นำยังไม่ได้ เข้าใจทางของพระเจ้าอย่างถ่องแท้ จะเป็น ผลร้ายกับทุกคน นอกจากนั้นยังต้องมีชื่อเสียงดีทั้งนอกและในคริสตจักรด้วย ทั้งนี้เพื่อไม่ให้คริสตจักรติดกับดักมาร!

คุณสมบัติมัคนายก

ฝ่ายมัคนายกของคริสตจักร
ก็เช่นกัน เขาต้องเป็นคนที่น่านับถือ ไม่พูดจากลับไปมา ไม่เสพของมึนเมา ไม่เป็นคนโลภคดโกง จะต้องยึดมั่นในความเชื่อที่ลึกซึ้งด้วยจิตสำนึกอันบริสุทธิ์ ต้องตรวจสอบคนเหล่านี้ก่อน เมื่อเห็นว่า ไร้ข้อบกพร่อง ก็ให้เขารับใช้ดูแลงานต่าง ๆในคริสตจักร
1 ทิโมธี 3:8-10

ฟีลิปปี 1:1, เลวีนิติ 10:9, ยากอบ 3:10, 1 ทิโมธี 1:19, 1:5, 5:22, กิจการ 6:1-2

ท่านเปาโลต้องการให้มีการตรวจสอบคนที่จะเข้ามารับใช้พระเจ้า ต้องได้คนที่เหมาะสม ไว้ใจได้ เขาคนนั้นต้องพิสูจน์ว่าเขาเป็นคนจริง ไม่เสแสร้ง มีความเชื่อแท้ มั่นคง เชื่อในสิ่งที่ถูกต้อง
แต่สมัยนี้เราไม่ค่อยจะเข้มงวดในเรื่องนี้เท่าไร อาจเป็นเพราะหาคนที่มีคุณสมบัติดังกล่าวยากเกิน ก็เลยเรียก กันมาร่วมทำงานโดยไม่กลั่นกรอง

เช่นเดียวกัน ภรรยาของพวกเขาต้อง เป็นสตรีที่น่านับถือ ไม่ว่าร้ายผู้อื่น รู้จักประมาณตน วางใจได้ในทุกเรื่อง มัคนายกคริสตจักรต้องมีภรรยาคนเดียว ดูแลจัดการครอบครัวได้ดีผู้ที่รับใช้ดูแลงานในคริสตจักรเป็นอย่างดีก็ได้รับเกียรติมาก และ พวกเขามีความมั่นใจมากในความเชื่อของตนในพระเยซูคริสต์
1 ทิโมธี 3:11-13

ทิตัส 2:3, 3:2 ,สุภาษิต 10:18, 1 เปโตร 5:8, 4:10-11, ฮีบรู 6:10,

มีผู้ให้ความเห็นว่า คำว่าภรรยา ในภาษากรีก มีความหมายว่า “สตรี” เฉย ๆ ได้ด้วย ดังนั้น ท่านเปาโลอาจหมายถึงสตรีที่เป็นมัคนายก ผู้ดูแลคริสตจักรด้านอื่น ๆ ดังนั้นเราจึงสรุปได้ว่า ถ้าสตรีมา เป็นมัคนายก เธอก็ควรมีคุณสมบัติดังกล่าว การมีครอบครัวสามีเดียวภรรยาเดียวเป็นสิ่งที่ท่านเปาโลเน้นอย่างมากในบทนี้ ถ้าชายที่จะเป็นมัคนายกหรือผู้ปกครองผ่านข้อนี้ไม่ได้ ก็ไม่อาจทำหน้าที่นี้

ข้าหวังว่าจะมาหาเจ้าในไม่ช้านี้ แต่ที่เขียนมาก่อนก็เพื่อว่า หากข้าเกิดล่าช้า เจ้าจะได้รู้ว่า ควรทำอย่างไรในครอบครัวของพระเจ้าซึ่งก็คือคริสตจักรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ อันเป็นเสาหลักและเป็นรากฐานแห่งความจริง
1 ทิโมธี 3:14-15

ฟีเลโมน 1:22, 3 ยอห์น 1:14, 1 เปโตร 2:5, เอเฟซัส 2:21-22, ,มัทธิว 16:16

ท่านเรียกว่า คริสตจักรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ คริสตจักรที่กล่าวถึงนี้คือ ผู้เชื่อทั้งโลกที่อาศัยอยู่ตามที่ต่าง ๆ ในโลก แต่ละชุมชนคริสเตียน เป็น พระกายของพระองค์ คริสตจักรเป็นเสาหลัก และเป็นรากฐานแห่งความจริง หากคริสตจักรอ่อนแอ ไม่เชื่อฟังคำของพระเจ้าก็จะทำให้รากฐานอ่อนแอตามไปด้วย

ความล้ำลึกแห่งทางของพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่นัก ไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ นั่นคือ พระองค์ได้ทรงปรากฏในกายมนุษย์ พิสูจน์แล้วโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เหล่าทูตสวรรค์ได้เห็นพระองค์ ชาติทั้งหลายได้ยินการประกาศเรื่องพระองค์ ชาวโลกได้เชื่อในพระองค์ พระเจ้าทรงรับพระองค์ขึ้นไปสู่พระสิริรุ่งโรจน์
1 ทิโมธี 3:16

ยอห์น 1:14, โรม 16:25, ฮีบรู 1:3, โคโลสี 1:23, กิจการ 20:28

พระคำข้อนี้มหัศจรรย์ คือว่า พระเยซูทรงมาเกิดเป็นมนุษย์ เดินดินอย่างเรา(ยอห์น 1:14) พระวิญญาณทรงทำราชกิจพร้อมไปกับพระองค์ เมื่อทรงอยู่ในโลกนี้ (ยอห์น 16:7,10 โรม 1:4) และทรงให้พระองค์คืนชีพจากความตาย ทูตสวรรค์เอง ได้เห็นราชกิจและการคืนชีพนั้น พวกเขา ยังมาเป็นพยานในวันที่ทรงคืนชีพขึ้นมา (ยอห์น 20:12)มีการประกาศพระนามของพระองค์ไปทั่วโลก เริ่มจากสมัยคริสตจักรยุคแรกจนนาทีนี้ (โคโลสี 1:23) มีคนตอบรับพระองค์และได้รับความรอดเป็นพัน ๆ ล้านคน และพระองค์ทรงถูกรับขึ้นสู่สวรรค์ต่อหน้าต่อตาศิษย์ (กิจการ 1:9)จำนวนมากมาย

1 ทิโมธี 2 อธิษฐานมีพลัง…

คอลัมน์ซ้ายสุด เป็นพระคัมภีร์ถอดความ คอลัมน์กลางเป็นภาพและพระคัมภีร์เชื่อมโยง ส่วนคอลัมน์ขวาสุดสีครามนั้น เป็นคำอธิบายเพิ่มเติม

อธิษฐานเผื่อใครหรือ?

ดังนั้นก่อนอื่นใด ข้าขอกำชับให้เจ้าได้ทูลคำร้องขอ อธิษฐาน วิงวอนเพื่อผู้อื่น และขอบคุณพระเจ้า เพื่อทุกคน เพื่อกษัตริย์ทั้งปวง และผู้มีสิทธิอำนาจทั้งหลาย เพื่อว่าพวกเราจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบ สันติ อยู่ในทางของพระเจ้า อย่างสง่างาม
1 ทิโมธี 2:1-2

มัทธิว 6:9-10, เอสรา 6:10, โรม 13:1, เยเรมีย์ 29:7, 1 เปโตร 2:9-13

ทูลคำร้องขอ …. คือการขอจากพระเจ้าตามน้ำพระทัย
อธิษฐาน … สนทนา สื่อสาร สัมพันธ์กับพระเจ้า
วิงวอนเพื่อผู้อื่น ทูลขอเพื่อความจำเป็นของผู้อื่น
ขอบคุณพระเจ้า …เพื่อใคร…ทุกคน และผู้มีอำนาจ
ผลที่ได้คือ…..ชีวิตสงบที่เป็นเช่นนี้เพราะในโลกเรามีคริสเตียนที่ทนทุกข์เพื่อพระเจ้ามากมายจริง ๆ เราจำเป็นต้องมีผู้ปกครองที่เป็นธรรม.. ชีวิตจึงจะสงบสุขได้


การทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่ดีและเป็นที่พอพระทัย ของพระเจ้าผู้ช่วยให้รอดของเรา พระองค์ทรงประสงค์ที่จะให้ทุกคนได้รับความรอด
และมารู้จักกับความจริง

1 ทิโมธี 2:3-4

ฮีบรู 13:16, โรม 12:2, 2 ทิโมธี 1:9,

การอธิษฐานเพื่อคนอื่นไม่ใช่แค่คนที่เชื่อเท่านั้น แต่สำหรับคนที่ไม่ได้เชื่อด้วย พระเจ้าทรงประสงค์ให้ทุกคนได้พบความจริง คนที่เราคิดว่า ไม่มีทางรอดได้แล้ว เราก็ยังอธิษฐานขอพระเมตตาจากพระเจ้าต่อไป เผื่อว่าวันหนึ่งพระเจ้าจะทรงเมตตาเขา การอธิษฐานอย่างแรงกล้า ร้อนใจอย่างเอลียาห์จะเกิดผล (ยากอบ 5:17)

เพราะมีพระเจ้าเพียงองค์เดียว และมีคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์เพียงผู้เดียวเท่านั้น คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงสภาพเป็นมนุษย์ พระองค์ประทานชีวิตของพระองค์เองเป็นค่าไถ่ทุกคน คำยืนยันนี้เกิดขึ้นตาม เวลาอันเหมาะสม
1 ทิโมธี 2:5-6

1 โครินธ์ 8:6, กาลาเทีย 3:21, มาระโก 10:45

จากอิสราเอลโบราณที่ต้องมีปุโรหิตเป็นตัวกลางระหว่างพระเจ้ากับประชาชน แต่บัดนี้ ไม่มีตัวกลางอื่นแล้ว นอกจากพระเยซูเท่านั้น
(ฮีบรู 9:11-15) พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า และทรงเป็นมนุษย์ ไม่มีใครมีลักษณะเช่นนี้เลยในจักรวาล ( โรม 8:34)
เรามีพระเจ้าองค์เดียวคือพระบิดา มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวคือพระเยซู (1 โครินธ์ 8:6)

เรื่องของชาย หญิง ในคริสตจักร

และเพราะเหตุนี้ ข้าจึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ประกาศ และเป็นอัครทูต (ข้าพูดความจริง ไม่โกหก) ข้าเป็นครูสอนความเชื่อแท้จริงแก่บรรดาคนต่างชาติ ดังนั้น ข้าอยากให้ผู้ชายทุกแห่ง ได้ชูมืออันบริสุทธิ์อธิษฐาน โดยไม่โกรธขึ้งหรือโต้เถียงกัน
1 ทิโมธี 2:7-8

เอเฟซัส 3:7-8, 1 ทิโมธี 1:11, 2 ทิโมธี 1:11,

การรับแต่งตั้งเป็นผู้ประกาศข่าวดีของเปาโลนี้ มีการ ยืนยันหลายที่ เอเฟซัส 3:7-8 กาลาเทีย 1:15
ส่วนผู้ชายในที่นี้ หมายถึงผู้นำในการนมัสการ การยกมือขึ้นอธิษฐานเป็นแบบของคนยิว พวกเขาจะต้องมีชีวิต ที่สะอาด และท่านห้ามไม่ให้ พวกเขาโกรธกัน เถียงกัน สงสัยว่า นิสัยใจคอของคนที่นั่นคงจะเลือดร้อนกันไม่น้อย

ส่วนผู้หญิง ข้าขอให้แต่งกาย
สุภาพเรียบร้อย เหมาะสม
ไม่ใช่ถักผมประดับทอง ไข่มุก หรือสวมเสื้อผ้าราคาแพงแต่ประดับตัวด้วยการทำความดี ซึ่งเหมาะกับผู้หญิงที่ประกาศตัวว่าเป็นคนอยู่ในทางของพระเจ้า

1ทิโมธี 2:9-10

1 เปโตร 3:3-4

ท่านเปาโลขอให้สตรีแต่งกายแบบที่บ่งบอก จิตใจที่อ่อนสุภาพ ถ่อมตน การที่เพื่อไม่ให้ดึงสายตา ของผู้คนเมื่อเข้ามานมัสการพระเจ้า ดูเหมือนพระคำข้อนี้จะแตกต่างจากที่เราเห็นกันในคริสตจักรทุกวันนี้

ให้ผู้หญิงเรียนรู้เงียบ ๆ ยอมเชื่อฟัง ข้าไม่อนุญาตให้ผู้หญิงสั่งสอน หรือมีอำนาจเหนือผู้ชาย แต่ให้นิ่งสงบ
1 ทิโมธี 2:11-12

(โคโลสี 3:11) อธิบายเพิ่มเติม 1 ทิโมธี 2:11-12 ,1 โครินธ์ 14:34, ทิตัส 2:5

ที่ท่านเปาโลกล่าวอย่างนี้เพราะในช่วงเวลานั้นมีปัญหาในคริสตจักรเอเฟซัส คือมีกลุ่มผู้หญิงที่เข้ามาแล้วสอนเท็จในคริสตจักร ดังนั้นการที่ขอให้ผู้หญิงนิ่งและฟังคำสอนจึงน่าจะเป็นเรื่องเฉพาะของคริสตจักรที่ทิโมธีทำงานอยู่โดยตรง
ท่านเปาโล มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้หญิงที่เป็นผู้เชื่อ อย่างเช่นนางนุมฟาที่มีคริสตจักรในบ้าน (โคโลสี 4:15)เฟบี ที่เป็นผู้ดูแลงานในคริสตจักร​(โรม 16:1-2)
และท่านเองก็ใส่ใจเรื่องความเท่าเทียมกันด้วย

ด้วยว่า พระเจ้าทรงสร้างอาดัม ก่อนเอวา และอาดัมไม่ได้ถูกหลอกล่อ ผู้หญิงต่างหากที่ถูกหลอกล่อและได้ทำบาป แต่ผู้หญิงจะรอดได้ ด้วยการคลอดบุตร หากว่าเธอยังดำรงในความเชื่อ ความรัก ความบริสุทธิ์ การควบคุมตนเอง
1 ทิโมธี 2:13-15

1 โครินธ์ 11:8-9, ปฐมกาล 2:18,22, 27, 3:12-13, ทิตัส 2:12

คนที่พ่ายแพ้ต่อการล่อหลอกของมารคือเอวาจากนั้นเธอก็ทำบาปและชักชวนอาดัมให้ทำตาม และนี่ก็เป็นสิ่งที่น่าจะเชื่อมโยงกับการสอนผิด เป็นไปได้ไหมที่เมื่อมีการสอนผิด พวกผู้หญิงในคริสตจักรเอเฟซัส ก็พากันคล้อยตามไปง่าย ๆ

สดุดี 73 คำอธิษฐานของอาสาฟ

1 ความจริงก็คือ พระเจ้าทรงดีต่ออิสราเอล
ทรงดีต่อคนที่มีใจสะอาดบริสุทธิ์
2 แต่สำหรับตัวข้า เท้าของข้าเกือบสะดุด
ย่างเท้าของข้าเกือบพลาดพลั้งไป
3 เพราะข้าไปอิจฉาคนที่เย่อหยิ่ง
เมื่อข้าเห็นคนชั่วร้ายรุ่งเรืองขึ้น
4 พวกเขาไม่ต้องสู้ชีวิตอย่างคนอื่น
ร่างกายก็อ้วนท้วน กินดีอยู่ดี
5 พวกเขาไม่ต้องลำบากอย่างคนอื่น
ทั้งยังไม่เจอความทุกข์ยากดังคนทั่วไป
6 ดังนั้น ความเย่อหยิ่งคือสร้อยประดับคอของพวกเขา
ความโหดร้ายรุนแรงเป็นเสื้อคลุมปกปิดเขา
7 ดวงตาของเขาถลนออกมาจากความอ้วน
ใจของพวกเขาเต็มด้วยความคิดชั่วร้ายไร้ขอบเขต
8 พวกเขาเยาะเย้ย กล่าวร้าย
ใช้ปากขู่เข็ญคุกคามอย่างโอหัง
9 ปากของพวกเขาต่อต้านท้าทายสวรรค์
ลิ้นก็เอ่ยคำกลั่นแกล้งหาเรื่องไปทั่วแผ่นดิน
10 ดังนั้น คนของพระองค์หันกลับไปหาพวกเขา
กลืนกิน เชื่อทุกคำพูดที่พวกเขาเอ่ย
11 และพวกเขากล่าวว่า “พระเจ้าทรงรู้ได้อย่างไร?
องค์ผู้สูงสุดจะทรงรู้อะไร?”
12 ดูให้ดี พวกนี้เป็นคนชั่วร้าย อยู่สบายเสมอ
และร่ำรวยขึ้นเรื่อย ๆ
13 ที่ข้าชำระใจไปก็ไร้ประโยชน์ ที่ข้าล้างมือ
แสดงความบริสุทธิ์ใจก็ไร้ค่าอย่างนั้นหรือ?
14เพราะข้าถูกโจมตีทั้งวัน
ถูกลงทัณฑ์ทุกเช้า

15 หากข้ากล่าวว่า “ข้าจะพูดตามอย่างพวกเขา”
เท่ากับเป็นการทรยศต่อลูกหลานของพระองค์
16 แต่เมื่อข้าพยายามที่จะเข้าใจเรื่องนี้
ข้าก็ท้อแท้ อ่อนใจ
17 จนกระทั่งข้าได้เข้ามายังที่บริสุทธิ์ของพระเจ้า
ข้าจึงหยั่งลึกถึงจุดจบของชีวิตพวกเขา
18 ที่จริง พระองค์ทรงวางพวกเขาไว้ในที่ลื่น
ทรงเหวี่ยงพวกเขาลงไปสู่หายนะ
19 พวกเขาถูกทำลายล้างชั่วพริบตา
ถูกกวาดพัดสูญสิ้นไปอย่างน่ากลัว
20 โอ้องค์เจ้านาย เมื่อทรงลุกขึ้น เหมือนตื่นจากฝัน
ทรงถือว่า พวกเขาเป็นดั่งภาพลวงตา*
21 เมื่อวิญญาณข้าขมขื่น และส่วนลึกข้างในถูกทิ่มแทง
22 ข้าช่างโง่เขลา ไร้ความคิด
ทำตัวเหมือนสัตว์ป่าต่อพระพักตร์พระองค์
23 ถึงกระนั้น ข้าก็ยังอยู่กับพระองค์เสมอ
พระองค์ทรงกุมมือขวาของข้าไว้
24 พระเจ้าทรงนำข้าด้วยคำปรึกษาของพระองค์
และจะทรงรับข้าเข้าสู่พระสิริรุ่งโรจน์
25 ข้ามีใครในสวรรค์เล่า นอกจากพระองค์?
และในโลกนี้ ข้าไม่ต้องการสิ่งใดนอกจากพระองค์
26 กายและใจของข้าอาจท้อแท้
แต่พระเจ้าทรงเป็นพลังแห่งหัวใจ  เป็นส่วนของชีวิตตลอดไป
27 ดูให้ดี คนที่ห่างจากพระองค์จะพินาศ
พระองค์ทรงนำจุดจบมายังทุกคนที่ไม่ซื่อต่อพระองค์
28 แต่สำหรับข้า การได้อยู่ใกล้พระเจ้านั้นดีจริง ๆ
ข้าทำให้พระองค์ผู้เป็นพระเจ้าเป็นที่หลบภัยของข้า เพื่อข้าจะได้บอกให้รู้ถึงพระราชกิจทั้งสิ้นของพระองค์
*ภาษาเดิมไม่ชัดเจน