กิจการ 12 นักโทษที่หายไป!

อธิษฐานแล้ว …คำตอบก็มา

จุดจบเฮโรด

อธิษฐาน แล้วคำตอบก็มา
กิจการ 12:1-3
ชื่อเฮโรดเป็นเหมือนชื่อตำแหน่ง วงศ์ของเฮโรด เราจึงเจอเฮโรดหลายคนในพระคัมภีร์ ต้องดูดี ๆ ว่า เป็นคนไหน ส่วนคนนี้ นามว่าเฮโรด อะกริปปาที่หนึ่ง สืบเชื้อสายจากวงศ์ฮาสโมเนียนซึ่งมีเชื้อสายยิว เป็นเฮโรดที่เชื่อในศาสนายิว ดังนั้นเขาจึงพยายามเอาใจยิวให้มาก เขาได้จับยากอบพี่ชายของยอห์น แล้วประหารเสีย คนต่อไปที่เขาจะกำจัดคือ เปโตร และก็จับมาได้เสียด้วย เพราะอัครทูตไม่ได้อยู่หลบ ๆ ซ่อน ๆ แต่พวกเขาประกาศพระนามอย่างกล้าหาญ
น่าจะเป็นประมาณปี ค.ศ. 43-44 ที่เฮโรดผู้นี้เริ่มก่อกวน และตามข่มเหงคนของพระเจ้า เขาสนใจคนที่เป็นผู้นำ และมักจะทำงานร่วมกับพวกสภาแซนฮีดรินสะดูสี ส่วนพวกฟาริสีก็ไม่ได้ตามติดที่จะทำร้ายคริสเตียนนัก ดูกิจการ 5:33-39
กิจการ 12:4-5
เฮโรดตั้งใจว่า จบเทศกาลไร้เชื้อเมื่อไรค่อยจัดการปลิดชีวิตเปโตร โดยเป็นเทศกาลปัสกาด้วย (ซึ่งเป็นงานที่ระลึกถึงการที่พระเจ้าทรงปลดปล่อยพวกเขาจากการเป็นทาสอียิปต์) เฮโรดตั้งใจจะนำตัวเปโตรสอบสวนแล้วค่อยประหาร แต่ต้องรอให้เทศกาลจบเสียก่อนไม่อย่างนั้นผู้คนอาจลุกฮือขึ้นมาได้ เราคงจำได้ว่า พวกปุโรหิตจับพระเยซูมา แต่ก็จะไม่ทำอะไรในช่วงเทศกาล เพราะกลัวประชาชนลุกฮือ (มาระโก 14:2)
แต่พี่น้องไม่ได้อยู่เฉย พวกเขาไม่ได้ไปเดินขบวนประท้วง แต่พวกเขาร่วมใจกันอธิษฐานเพื่อเปโตรอย่างจริงจัง เขาไม่ต้องการให้เสียไปอีกคนหลังจากที่เสียยากอบไปแล้ว
กิจการ 12:6-7
พี่น้องอธิษฐานอย่างร้อนรนนอกคุก แต่เปโตรก็สามารถหลับได้อย่างเป็นสุขข้าง ๆ ทหารที่มาคุม ดูเขาไม่เดือดเนื้อร้อนใจสักเท่าไร น่าจะเป็นเพราะครั้งที่พระเยซูตรัสกับเขาที่ริมทะเลสาปกาลิลีว่า เมื่อเจ้าแก่ก็จะ
มีคนพาเจ้าไป.. ซึ่งทำให้เขารู้ว่า ครั้งนี้ไม่น่าจะเป็นวันตายของเขา (ยอห์น 21:18)
พระเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์มาให้นำเขาออกไป สิ่งแรกที่มหัศจรรย์คือ ทูตมา อย่างที่สองคือโซ่หลุดออก
กิจการ 12:8-10
ทูตสวรรค์สั่งให้เขาสวมเสื้อให้ครบครันทั้งรองเท้าและตามออกไป ตัวเปโตรเองก็ออกไปกับทูต แต่เวลานั้นเขาคิดว่าเขาฝันไป เป็นฝันที่มีความสุขเสียด้วย … ก็เดินผ่านทหารยามโดยไม่ได้มีใครมาจับไปล่ามโซ่อีก ดีจริง ๆ ฝันนี้
เมื่อเขาออกมาที่ถนน ทูตก็หายไป คราวนี้ เปโตรต้องจัดการตัวเองต่อแล้ว ไม่มีทูตมาช่วยพาไปอีก
กิจการ 12:11-12
พออยู่คนเดียว เขารู้สึกตัวและรู้ว่า นี่เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่ความฝัน จึงตัดสินใจไปหาพี่น้องที่บ้านของยอห์น มาระโก ความพยายามของเฮโรดที่จะทำลายคริสตจักร ต้องชะงักลงตรงนี้ เปโตรเข้าใจแล้วว่า พระเจ้าทรงอยู่กับคริสตจักร ทรงทำการร่วมกับพวกเขา
บ้านของมารีย์ซึ่งเป็นมารดาม่ายของยอห์นมาระโกน่าจะใหญ่พอสมควร เพราะต้อนรับพี่น้องให้มาอธิษฐานด้วยกันได้ และคงเป็นที่ ๆ เขานัดพบกันเสมอ เพราะเปโตรมั่นใจว่า จะพบพี่น้องที่นั่น ยอห์น มาระโกผู้นี้เป็นคนเดียวที่มีสองชื่อต่อกัน ยอห์นเป็นชื่อภาษายิว มาระโกเป็นชื่อที่ใช้ในโรม ต่อมาเขาได้รับใช้ร่วมกับบารนาบัส และเป็นผู้ที่เขียนพระกิตติคุณมาระโก
กิจการ 12:13-15
เมื่อเปโตรมาเคาะประตู มีสาวใช้มาตอบรับแต่แทนที่จะเปิดให้ กลับรีบวิ่งไปบอกพี่น้องว่าเปโตรออกมาจากคุก ทั้ง ๆที่ตั้งหน้าตั้งตาอธิษฐาน แต่เมื่อพระเจ้าตอบอย่างรวดเร็ว เหลือเชื่อขนาดนี้ ทำให้พวกเขาไม่แน่ใจหาว่า โรดา สาวใช้เสียสติไปเสียอีก ช่างย้อนแย้งเสียจริง
กิจการ 12:16-17
เปโตรไม่หยุดเคาะจนมีคนมาเปิดประตู และพบว่า เป็นเปโตรตัวจริง ..มันเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อสำหรับพวกเขา แต่เปโตรเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พวกเขาฟัง พี่น้องจึงเข้าใจว่า พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานอย่างไร
เปโตรกำชับพวกเขาให้แจ้งเรื่องนี้กับยากอบ ซึ่งเป็นน้องชายของพระเยซู เขาไม่ได้เชื่อพระองค์ตอนที่ยังอยู่บ้านเดียวกัน แต่ต่อมา ได้เชื่อและกลายเป็นผู้นำคนสำคัญสำหรับคริสตจักรยุคแรก เขาจะต้องเป็นคนที่ทุกคนรู้จักดีในเยรูซาเล็ม
และไม่อยู่อธิษฐานกับพวกเขา แต่เดินทางไปที่อื่น เขาคงมีแผนอะไรในใจ และเพื่อไม่ให้พี่น้องต้องลำบากหากเฮโรดตามมาเจอ
กิจการ 12:18-19
เสรีภาพของเปโตรเป็นความชื่นชมยินดีของพี่น้องคริสเตียน แต่กลับกลายเป็นว่าทหารยามทั้งหมดต้องถูกประหาร เป็นโทษฐานปล่อยนักโทษออกมา จากนั้น เฮโรดก็เลยลาไปพักผ่อนเพราะแผนล่มไปเสียแล้ว อยู่ก็เหนื่อยเปล่า

จุดจบเฮโรด
กิจการ 12:20
และในช่วงนั้นเองเจ้าเมืองไทระและเจ้าเมืองไซดอนเข้ามาขอเป็นไมตรีด้วย ซึ่งเฮโรดตอบตกลง เป็นโอกาสที่เขาจะได้มีอำนาจมากขึ้น และมีผลประโยชน์อื่น ๆ มากขึ้นด้วย

กิจการ 12:21-23
ในวันที่เฮโรดจะทำสัมพันธไมตรีนั้นเอง เมื่อเขาพูดออกมา ประชาชนก็ร้องสรรเสริญเขาว่า เสียงของเฮโรดเป็นเสียงของพระ ซึ่งทำให้เขายิ่งภูมิใจตัวเอง .. ชายผู้ที่พยายามทำลายอาณาจักรของพระเจ้า ตอนนี้กำลังได้รับการเชิดชู แต่ในทันใดนั้นเอง มีทูตของพระเจ้าลงมาที่ผู้คนกำลังประชุมกันอยู่ เขาล้มลง และมีหนอนโผล่ออกมาจากตัวเขา เขาตายในอีกห้าวันต่อมา
ลูกามองว่าเหตุการณ์นี้ เป็นการพิพากษาของพระเจ้าต่อเฮโรดที่ยอมให้ประชาชนยกชูว่าเขาเป็นพระเจ้า
ไปรับเกียรติที่เป็นของพระเจ้าเพียงผู้เดียว อีกอย่างในสถานการณ์เช่นนี้ เป็นไปได้ไหมที่ พระเจ้าทรงทำให้เห็นว่า พระองค์ทรงหวงคนของพระองค์ และพระองค์จะทรงจัดการกับศัตรูที่พยายามทำลายคนของพระองค์ ทรงทำให้พี่น้องคริสเตียนได้รู้ว่า พระเจ้าทรงเอาจริงกับการขยายแผ่นดินของพระองค์ ทรงทำให้ยิวที่เกลียดชังคริสเตียนต้องระวังตัวมากขึ้น

กิจการ 12:24-25

พระวจนะของพระเจ้ายังคงเผยแผ่อีกต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ถึงแม้เฮโรดและยิวพยายามทำลายงานของพระเจ้า แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้เท่าพระองค์ ความรอดจากพระเยซูคริสต์เป็นสิ่งที่ผู้คนจำนวนมากยอมรับและยังคงสืบต่อมาจนทุกวันนี้ คนทั้งโลกได้รู้จักพระเจ้า
และเราได้เห็นว่า ยอห์นมาระโก เข้ามาร่วมในการรับใช้พระเจ้าในอันทิโอกนี้ด้วย


พระคำเชื่อมโยง

2* มัทธิว 4:21;20:23
3* อพยพ 12:15; 23:15
4* ยอห์น 21:18
7* กิจการ 5:19
9* สดุดี 126:1; กิจการ 10:3, 17; 11:5

10* กิจการ 5:19; 16:26
11* สดุดี 34:7; โยบ 5:19
12* กิจการ 4:32; 13:5, 13; 15:37; 12:5
15* มัทธิว 18:10
17* กิจการ 13:16; 19:33;21:40

20* มัทธิว 11:21; เอเสเคียล 27:17
23* 2 ซามูเอล 24:16,17; สดุดี 115:1
24* กิจการ 6:7; 19:20
25* กิจการ 11:30; 13:5,13; 12:12; 15:37

กิจการ 11 อันทิโอก…เปิดโลกคริสเตียน

บทนี้เป็นบทสั้น ๆ แต่เราจะเห็นการทำงานของพระวิญญาณในการเริ่มต้นนำคนต่างชาติเข้ามาหาพระองค์สมกับที่ตรัสไว้ในอิสยาห์ 45:6 ว่า “เพื่อจากที่ดวงอาทิตย์ขึ้น จรดที่ดวงอาทิตย์ตก มนุษย์จะรู้ว่า ไม่มีใครอื่นนอกจากเรา..”

คริสตจักรเพื่อคนต่างชาติ

คริสตจักรขยายไปทางซีเรีย

คริสตจักรเพื่อคนต่างชาติ
กิจการ 11:1-3
เป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับคนต่างชาติที่ได้รู้ว่า พระเจ้าทรงห่วงใยและพร้อมที่จะรับเขาอยู่ในอาณาจักรของพระองค์ เป็นชุมชนผู้เชื่อในพระบุตร พระองค์ทรงส่งเปโตรไปประกาศ พวกเขาได้รับพระวิญญาณ และยังได้รับบัพติศมาด้วย แต่… มีคนกลุ่มหนึ่งกลับไม่พอใจ พวกนี้ยังคงยึดถือกฎของยิวอยู่
พวกเขาเป็นยิวที่อยู่ในเยรูซาเล็ม เป็นคนถือสุหนัต และเชื่อชัดเจนว่า พระเจ้าทรงเลือกคนยิวเท่านั้น ในการที่เขาเข้าไปในบ้านคนต่างชาติกินอาหารร่วมกับพวกเขา แถมยังพักในบ้านพวกเขาด้วย พวกเขาต่อว่าเปโตรอย่างไม่ไว้หน้า
กิจการ 11:4-7
แต่เปโตรเตรียมตัวไว้แล้ว จากที่เห็นเขาเอาพี่น้องไปด้วยอีกหกคน (อย่างไม่เกรงใจโครนิเลอัสเลย)
เปโตรอธิบายทุกอย่างที่เกิดขึ้น ว่า พระเจ้าทรงแจ้งให้เขาทราบว่า พระองค์ทรงเปิดทางให้คนต่างชาติแล้ว
กิจการ 11:8-11
แม้ตอนแรกเปโตรไม่ยอมฟังเสียงของพระเจ้า เพราะเขายังยึดถือกฎบัญญัติที่ห้ามอาหารมลทิน แต่พระเจ้าทรงบอกว่าพระองค์ชำระแล้ว อย่าเรื่องมาก ให้เข้าใจตามนี้ เปโตรเล่าเรื่องจนถึงที่ว่า มีคนจากบ้านของโครเนลิอัสมาตามเขา มาถูกบ้าน มาหาถูกคน นี่เป็นการส่งมาจากพระเจ้าจริง ๆ
กิจการ 11:12-14
ท่านเปโตรให้พี่น้องเข้าใจว่า พระวิญญาณเป็นผู้ทรงนำในเรื่องนี้ เขาไม่ได้เริ่มเอง เขาไม่เต็มใจในครั้งแรกเสียด้วยซ้ำ การที่พวกเขาได้ยินว่า พระเจ้าเองก็เยี่ยมเยียนโครเนลิอัสเหมือนกัน ทำให้เห็นว่า นี่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าจริง ไม่ใช่ว่าเปโตรอยากทำเอง
เปโตรได้กล่าวถึงพี่น้องหกคนที่ไปบ้านโครเนลิอัสด้วย ว่าพวกเขาเห็นเป็นพยานทุกอย่างที่เกิดขึ้น เป็นพี่น้องชาวยิวที่รับสุหนัตเช่นเดียวกับพวกนี้
กิจการ 11:15-18
ที่พระเจ้าประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้คนต่างชาติเหมือนกับที่ประทานให้พี่น้องในวันเพนเตคอสต์นั้น (2:4) ทำให้พวกเขาต้องจนมุม พวกเขาได้เห็นแล้วว่า พระเจ้าทรงดีต่อคนต่างชาติเหมือนที่ทรงดีต่อพวกเขา
เป็นสิ่งที่พระเยซูตรัสไว้ล่วงหน้าแล้วว่า พระองค์จะบัพติศมาผู้เชื่อด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (1:5) ต่อมา
เปาโลเองได้กล่าวใน 1 โครินธ์ 12:13 ว่า ไม่ว่าจะเป็นกรีกยิว ทาสหรือเสรีชน ต่างก็ได้รับบัพติศมาในพระวิญญาณองค์เดียวกันเข้าเป็นกายเดียวกัน พระวิญญาณทรงเป็นเหมือนน้ำที่ประทานให้เราได้ดื่มกันทุกคน

นี่เป็นเหมือนรูปแบบที่เมื่อคนหนึ่งมาเชื่อในพระเจ้า พระวิญญาณของพระองค์ก็ทรงรับเขาเป็นหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า

คริสตจักรขยายไปทางซีเรีย
กิจการ 11:19-21
เรื่องราวในบทที่ 7 ความตายของสเทเฟนจากการถูกหินขว้าง และการข่มขู่ของเซาโล ทำให้พี่น้องหนีไปไกลมาก พี่น้องเหล่านี้ ประกาศเรื่องพระเยซูเฉพาะคนยิว พวกเขายังติดอยู่ในกรอบความคิดเดิม และพบกันในศาลาธรรม แต่ในขณะเดียวกันมีคนไปยังเมืองอันทิโอก ประกาศกับคนกรีก ทำให้มีคนเชื่อมากมาย การถูกข่มเหงกลายเป็นหนทางที่ทำให้คนกลับมาหาพระเจ้าสมกับคำบัญชาของพระเยซูในกิจการ 1:8
เมืองอันทิโอกนี้ อยู่ทางเหนือ เป็นเมืองท่าใหญ่ที่มีผู้คนเดินทางผ่านเข้ามากมาย จากประเทศต่าง ๆ แม้พวกเปอร์เซีย อินเดีย มีแม้กระทั่งจากประเทศจีน เป็นเมืองเปิด ศาสนาต่าง ๆก็มีมากมาย ทำให้คนเปิดใจ ไม่ได้เคร่งครัดอย่างเดียว เป็นหนทางที่พ่อค้าซึ่งผ่านมาจะได้ยินพระคำของพระเจ้าด้วย
กิจการ 11:22-24
แล้วก็มีการส่งบารนาบัส ที่ใคร ๆ มองว่าเขาเป็น “ลูกชายแห่งการหนุนน้ำใจ” (4:36 ) ไปดูว่าเรื่องราวจริง ๆ เป็นอย่างไร ทำไมที่อันทิโอกจึงมีคนกลับใจมากมาย จะเห็นว่า เขาส่งคนที่ดีเป็นผู้นำ ส่งคนดีที่สุด บารนาบัสเป็นคนที่เต็มด้วยพระวิญญาณ
เมื่อบารนาบัสมาถึงอันทิโอก ก็รู้สึกได้รับกำลังใจมาก เพราะพระวิญญาณ ทรงทำการของพระองค์ ทรงสนับสนุนการที่พี่น้องประกาศพระนาม เขากลับกลายเป็นกำลังใจให้พี่น้องใช้ชีวิตติดตามพระเจ้ามากขึ้นไปอีก เราจะเห็นการทำงานร่วมมือกันอย่างเป็นระบบระเบียบในสมัยคริสตจักรยุคแรก คนมาเช่ือพระเจ้าเพิ่มขึ้นแสดงว่า เรากำลังมีคนเกิดใหม่ และมีคริสตจักรเกิดขึ้นในเมืองนี้
กิจการ 11:25-26
บารนาบัสเห็นว่า คริสตจักรต้องการผู้สอน ผู้นำที่ดี และ เขาคิดถึงเพื่อนรักอีกคน เขาได้รับการทรงนำจากพระเจ้าที่จะตามหาเซาโลให้เจอ (ซึ่งยังเป็นคนที่พี่น้องในเยรูซาเล็มไม่ค่อยไว้ใจเท่าไรนัก บารนาบัสเองเป็นคนที่จะปกป้องเปาโลต่อพี่น้องมาตั้งแต่ต้น)
ที่เมืองนี้เองที่ผู้เชื่อได้รับสมญานามว่า “คริสเตียน” เป็นครั้งแรก แต่ก่อนคนเรียกกันว่า พวก “ทางนั้น” นักประวัติศาสตร์สองคนเรียกคริสเตียนต่างกัน โจซีฟุสเรียกว่า เผ่าคริสเตียน อีกคนคือ ทาซิทัสเรียกว่า คริสเตียน ซึ่งเป็นชื่อที่หมายถึงคนที่ตามพระคริสต์
เราเห็นคริสตจักรเกิดใหม่ ผู้นำที่ทำงานเป็นทีมด้วยกัน ทั้งยิวและต่างชาติเกิดใหม่ พระวิญญาณทรงอยู่ท่ามกลางเขา คริสตจักรที่นี่ได้ส่งคนออกไปประกาศพระนามที่อื่นอีก
กิจการ 11:27-30
ผ่านทางองค์พระวิญญาณ อากาบัส ซึ่งเป็นผู้กล่าวพระคำของพระเจ้าได้พยากรณ์ว่า จะเกิดกันดารอาหาร คำของอากาบัส มีความหมายว่า ทั่วอาณาจักรโรม อากาบัสไม่ได้พูดเอาเองแต่เป็นการทรงนำ และต่อมาก็มีการกันดารอาหารเกิดขึ้นจริงประมาณปีค.ศ. 44-48
พี่น้องในคริสตจักรอันทิโอก ก็ได้ส่งความช่วยเหลือไปยังคริสตจักรแม่ที่อยู่ในยูเดีย และในเยรูซาเล็ม เท่ากับว่า พี่น้องที่เมืองนี้ มีทั้งชาวต่างชาติและชาวยิว พวกเขามีน้ำใจให้กับคนอื่นทันที เห็นได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตที่เกิดจากพระวิญญาณ คริสตจักรพร้อมที่จะช่วยเหลือคนที่ยากลำบากมาตั้งแต่ต้น
เมื่อมีการรวบรวมเงินเพื่อพี่น้อง ก็ได้ส่งบารนาบัส และเซาโลกลับไปยังเยรูซาเล็มเพื่อไปช่วยบรรเทาความลำบากของพี่น้อง จะเห็นได้ว่า แม้คริสตจักรมุ่งช่วยชีวิตฝ่ายวิญญาณ แต่ในเรื่องการช่วยเหลือแบบนี้ ก็เป็นสิ่งที่ทำกันเป็นเรื่องธรรมดาในหมู่พี่น้อง (กาลาเทีย 2:10)

พระคำเชื่อมโยง

2* กิจการ 10:45
3* กิจการ 10:28; กาลาเทีย 2:12
4* ลูกา 1:3
5* กิจการ 10:9
12*. 16:13; กิจการ 10:23
13* กิจการ 10:30
15* กิจการ 2:1-4
16* ยอห์น 1:26,33; อิสยาห์ 44:3

17* กิจการ 15:8-9; 10:47
18* โรม 10:12-13; 15:9, 16
19* กิจการ 8:1, 4
20* กิจการ 6:1; 9:29
21* ลูกา 1:66; กิจการ 9:35; 14:1
22* กิจการ 4:36; 9:27
23* กิจการ 13:43; 14:22

24* กิจการ 6:5; 5:14; 11:21
25* กิจการ 9:11, 30
27* 1 โครินธ์ 12:28
28* กิจการ 21:10; 18:2
29* 1 โครินธ์ 16:1
30* กิจการ 12:25




ยอห์น 21 พบกันที่กาลิลี

โอกาสบอกรัก เปโตรคืนดี….

คำอธิบายเพิ่มเติม พบกันที่กาลิลี
ยอห์น 21:1-3
ทะเลสาบทิเบเรียสเป็นอีกชื่อของทะเลสาบกาลิลีทางเหนือของอิสราเอล
หลังจากที่พบพระเยซูในห้องแล้ว พวกเขาก็ชวนกันไปจับปลา สิ่งที่เห็นชัดเจนมากคือเปโตรเป็นคนมีลักษณะทำอะไรรวดเร็ว พุ่งไปข้างหน้าและมีความเป็นผู้นำที่เพื่อน ๆ จะทำตาม เขาเป็นคนที่ต้องได้รับการปั้นให้เป็นผู้นำที่ใช้การได้ กล้าหาญ และสามารถช่วยให้คนอื่นมีชีวิตที่ดีขึ้น
เราไม่ทราบเหตุผลจริง ๆ ที่ไปจับปลา ขาดเงิน ไม่รู้จะทำอะไร หรือ ในเมื่อต้องมารอพระเยซูตามที่ทรงบอกไว้ก็น่าจะหาอะไรทำไปด้วย แต่จากการจับปลาครั้งนี้ พวกเขาต้องผิดหวังมาก ๆ ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเป็นชาวประมงมาก่อน น่าจะได้อะไรบ้าง
ยอห์น 21:4-6ก
มีใครคนหนึ่งปรากฏตัวที่หาดทราย ถามคำถามง่าย ๆ และเมื่อพวกเขาตอบว่าไม่มีปลา ก็ชวนให้เขาโยนอวนลงทางขวามือของเรือ …​พอเขาผู้นี้บอก เหล่าศิษย์ก็ทำตามทันทีไม่ได้คิดอะไรมาก
ยอห์น 21:6ข-7
แล้วยอห์น คิดเร็วมาก จำได้ว่า พระเยซูเคยทำอย่างนี้กับพวกเขามาก่อนครั้งหนึ่ง จึงบอกกับเปโตรว่า นั่นคือพระเยซู เปโตรจึงเห็นด้วย กระโจนลงจากเรือมาหาพระองค์ก่อนใคร เขาดีใจมาก
ดูสิ ยอห์นสังเกต และสรุปได้เร็ว แต่คนที่พุ่งลงมาจากเรือคือเปโตร ลักษณะนิสัยของทั้งสองต่างกันมาก ตรงนี้เราเห็นเลยว่า ผู้รับใช้ของพระเจ้าอาจจะมีลักษณะนิสัยต่างกัน แต่พระเจ้าทรงรักและส่งแต่ละคนไปทำงานได้เช่นกัน …​
ยอห์น 21:8-10
ส่วนเพื่อน ๆ ค่อย ๆ ลากเรือตามมา พระเยซูทรงจุดไฟเพื่อย่างปลาให้แล้ว พระเยซูไม่ได้ทรงรอให้พวกเขาคอยปรนนิบัติ แต่พระองค์ทรงทำให้พวกเขาที่เหน็ดเหนื่อยอยู่ได้รู้สึกทั้งดีใจและอิ่มอกอิ่มใจ
พระเยซูทรงปรากฏพระองค์อย่างเป็นธรรมชาติมาก ไม่ได้เป็นภาพลวงตา แต่ทรงกินอาหารเช้ากับพวกเขาบนหาดทราย พวกศิษย์ไม่ได้ตาฝาดไป ใช่.. พระองค์สิ้นพระชนม์บนกางเขน ใช่.. มีการเก็บพระศพเอาไว้ แต่วันนี้เป็นครั้งที่สามที่เขาได้พบพระเยซูผู้ทรงคืนพระชนม์ขึ้นมาแล้วจริง ๆ
ยอห์น 21:11-12
พวกเขานับปลาได้ 153 ตัว ซึ่งมากเกินพอสำหรับพวกเขา มีพอให้กับคนอื่น ๆ ในช่วงแรกที่พระเยซูทรงเรียกให้เขาเป็นศิษย์ของพระองค์ ทรงชวนให้เขาตามพระองค์ไปนั้น พระองค์เคยทำอย่างนี้กับพวกเขาหนหนึ่ง ทรงให้ถอยไปที่น้ำลึก แล้วจับปลาอีกครั้งหลังจากที่เขาหาปลาทั้งคืนไม่ได้เลย (ลูกา 5:1-11) พระเยซูทรงย้ำให้พวกเขารู้ว่า แม้ในงานมือ งานหนักที่เราทำอยู่ พระองค์ก็ทรงช่วยเราได้ให้ประสบความสำเร็จ หากเราฟังเสียงของพระองค์ การจับปลาครั้งสุดท้ายนี้ ช่วยเน้นย้ำให้เขารู้ว่า พระเยซูจะทรงให้เขาเป็นผู้จับคน แทนการจับปลา อย่างที่ทรงบอกไว้ตั้งแต่ครั้งแรกนั้น
ยอห์น 21:13-14
นี่เป็นครั้งที่สามที่พระเยซูปรากฏพระองค์แก่เขา การคืนพระชนม์นี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า พระองค์ทรงทำการที่พระเจ้าทรงใช้พระองค์มาทำจนสำเร็จลุล่วง การได้กินอาหารร่วมกับพระองค์ในครั้งนี้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ในชีวิตของศิษย์ทุกคน เขาเห็นพระเจ้าและเจ้านายของเขา เขาได้แตะต้องร่างของพระองค์ เขาได้นั่งล้อมวงกับพระองค์ คุยกับพระองค์จริง ๆ เปโตรได้บอกเราชัดเจนใน 1 เปโตร 1:3 ว่า “ถวายพระพรแด่พระเจ้าคือพระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา!พระองค์ทรงให้เราเกิดใหม่ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่เข้ามาสู่ความหวังที่มีชีวิตโดยการที่พระเยซูคริสต์ทรงคืนชีพจากความตาย
โอกาสบอกรัก เปโตรคืนดี
ในเมื่อเปโตรได้ปฏิเสธพระเยซูสามครั้งต่อหน้าคนหลายคน พระเยซูทรงให้โอกาสเขาที่จะตอบรับ เปลี่ยนคำที่พลาดไปนั้นสามครั้งต่อหน้าคนอื่นเช่นกัน และพระเยซูทรงเป็นผู้เริ่มต้นการคืนดีครั้งนี้ด้วยพระองค์เอง การพลาดพลั้งของเปโตรเกิดจากความมั่นใจในตัวเองมากเกินไป… เขาบอกพระองค์ไว้ก่อนหน้าที่จะสิ้นพระชนม์ว่า แม้เขาจะต้องตายกับพระองค์ เขาก็จะไม่ปฏิเสธพระองค์เลย..มัทธิว 26:35
ยอห์น 21:15
สังเกตไหมว่า ครั้งนี้ พระเยซูทรงเรียกเปโตรว่า ซีโมน ลูกชายยอห์น พระองค์กำลังตรัสให้เขารู้ว่า ตอนนี้ต้องมีการคุยแล้วนะ .. เจ้าซีโมน..
คำถามแรกคือ “เจ้ารักเรามากกว่าเหล่านี้หรือ?” แล้วพระองค์ทรงสั่งให้เขาเลี้ยงดูลูกแกะของพระองค์ คือผู้เชื่อใหม่ ๆ นั่นเอง คำนี้เป็นความหมายว่า เลี้ยงดูด้วยพระคำของพระองค์ ครั้งแรกที่ทรงสั่ง ลูกแกะต้องการอาหารเลี้ยงดู
พระเยซูทรงถามเปโตรว่า เจ้ารักเรามากสุดชีวิต สุดจิต สุดใจ (ἀγαπᾷς με อากาปาส เม ) หรือไม่​… แต่คำตอบของเปโตรคือ ใช่เขารักพระองค์อย่างเพื่อนมากทีเดียว เขารักพระองค์อย่างรักพี่น้องทั่วไป ( φιλῶ σε ฟิโล เซ)
นี่เป็นคำถามที่เราต้องตอบพระองค์เช่นกัน… อย่ามั่นใจในว่าตนเองเข้มแข็งกว่า อุทิศตัวมากกว่าคนอื่น
ยอห์น 21:16
ครั้งที่สองทรงถามว่า เจ้ารักเรามากสุดชีวิต สุดจิต สุดใจ (ἀγαπᾷς με อากาปาส เม ) หรือไม่​… แต่คำตอบของเปโตรคือ ใช่เขารักพระองค์อย่างเพื่อนมากทีเดียว รักอย่างรักพี่น้อง ( φιλῶ σε ฟิโล เซ) พระองค์ทรงสั่งให้เขา ดูแลแกะของพระองค์ คราวนี้เป็นคำว่า แกะหรือฝูงแกะของเรา ซึ่งแกะนี้ต้องการให้ผู้เลี้ยงนำพาไปอย่างถูกต้อง ถูกที่ทาง ไปพบกับอาหารที่สมบูรณ์
ยอห์น 21:17
ในเมื่อเปโตรปฏิเสธพระเยซูสามครั้ง พระองค์ทรงให้โอกาสเขาบอกรักพระองค์สามครั้ง …
และพระองค์ทรงลดระดับความหมายให้เขาด้วย
ครั้งที่สาม พระองค์ทรงลดระดับความรักลงมากว่า เปโตร เจ้ารักเราอย่างเพื่อนใช่ไหม? (Φιλεῖς με ฟิเลส เม) หรือไม่​… แต่คำตอบของเปโตรคือ ใช่เขารักพระองค์อย่างเพื่อนมากทีเดียว ( φιλῶ σε ฟิโล เซ)
พระเยซูทรงสั่งให้เขา เลี้ยงดูแกะของพระองค์ เปโตรจะต้องทั้งให้อาหาร และนำพาพวกเขาไปตามทางของพระเจ้านั่นคือหน้าที่ของเปโตร พระเยซูทรงให้หน้าที่ยิ่งใหญ่กับเปโตร เพราะผู้ที่เป็นผู้เลี้ยงนั้นจะต้องจัดหา นำ ปกป้อง และเป็นเพื่อนของแกะ เขามีอำนาจเหนือ และยังเป็นผู้นำของพวกมันด้วย พระเยซูทรงแต่งตั้งงานที่ยากมากให้กับเปโตร โดยที่ไม่มีพระองค์อยู่ด้วย แต่จะมีองค์พระวิญญาณเป็นผู้ทรงนำเขาไปตลอดชีวิต
และยอห์นเองก็บันทึกเรื่องนี้ไว้เพื่อให้พวกเราได้รับรู้ว่า เปโตรเองได้มีโอกาสกลับตัวกลับใจ บอกความตั้งใจของเขาตรง ๆ กับพระเยซูด้วย ก่อนหน้านี้เขาคงไม่สบายใจมาก ๆ ที่ได้ปฏิเสธพระเยซูขึงขัง การคืนดีครั้งนี้ ทำให้เราเข้าใจว่า นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เปโตรกล้าหาญอย่างยิ่งในหนังสือกิจการ
ยอห์น 21:18-19
พระเยซูเพิ่งคุยกับเปโตรเรื่องที่จะทรงใช้เขาดูแลคนของพระองค์ แล้วมาตอนนี้ก็ทรงบอกเขาล่วงหน้าว่า จะตายอย่างไร พระเยซูทรงทราบล่วงหน้าแล้วว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับเปโตรในเวลาต่อมา
การที่ตรัสว่าเจ้าแก่ เจ้าจะยื่นมือออก มีคนช่วยคาดเอง พาไปในที่ ๆ ไม่อยากไป ดูเหมือนเป็นการบอกล่วงหน้าว่า เขาจะต้องอยู่ใต้การควบคุมของโรม ที่จะพาเขาไปสู่ความตาย ซึ่งมีเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมาว่า เขาถูกตรึงบนไม้กางเขนกลับหัว
พระเยซูตรัสให้เปโตรตามพระองค์ไป นั่นคือทำตามอย่างพระองค์ รับใช้อย่างพระองค์ พระองค์เป็นผู้เดียวที่เราควรทำตามอย่าง ตอนนี้เรากำลังทำตามใครอยู่ ลองสังเกตตัวเองให้ดี? ทรงให้ความสำคัญกับการตามพระองค์ไปจริง ๆ การติดตามพระเยซูเป็นเรื่องที่เราต้องใช้ทั้งชีวิตกับพระเยซูผู้ที่จะทรงนำไปตามทางที่พระเจ้าทรงวางแผนให้กับชีวิตของแต่ละคน (สดุดี 139:16)
ยอห์น 21:20-21
ศิษย์ที่พระเยซูทรงรัก เป็นชื่อที่ยอห์นเรียกตนเองในการเขียนหนังสือเล่มนี้ และนี่ก็เป็นเรื่องเดียวกับชีวิตเรา ยอห์นมักเรียกตัวเองเช่นนี้ เขาพึ่งพาความรักของพระเจ้าที่มีต่อเขา ไม่ใช่ความรักของเขาที่มีต่อพระเจ้า ..​นี่เป็นความหมายลึกซึ้งที่ยอห์นกำลังบอกเรา….
เปโตรเองอดถามถึงอนาคตของยอห์นไม่ได้ ในเมื่อพระเยซูทรงบอกอนาคตของเขา
ยอห์น 21:22-23
เปโตรควรจะสนใจการตามพระองค์ไปมากกว่าจะไปสนใจเรื่องของคนอื่น เขาต้องตามพระองค์ไป ใครจะเป็นอย่างไร เขาก็ยังต้องตามพระองค์ พวกเขาเข้าใจผิดไปว่า พระเยซูจะให้ยอห์นมีชีวิตอยู่ ไม่ตาย เรื่องแบบนี้ก็น่าสนใจ น่าอิจฉาด้วยในสายตาของพวกเขา ตรงนี้ช่วยบอกเราเลยว่า เมื่อรับใช้พระเจ้า ไม่ต้องไปสนใจว่าใครมีการรับใช้ดูดีกว่า หรือ พระเจ้าทรงนำมากกว่า ให้ดูที่ตัวเองว่า เราตามพระองค์ไปหรือไม่… การคิดเรื่องของคนอื่น การเปรียบเทียบกัน สร้างปัญหาให้มากกว่าที่จะสร้างเสริมชีวิตฝ่ายวิญญาณ
คำสุดท้ายของพระเยซูในพระธรรมยอห์นคือ ให้ตามพระองค์ไป… เป็นคำสำคัญมาก “​ตามเรามา” ไม่ว่าใครจะตามไปหรือไม่ เราจะตามพระองค์ไป.
ยอห์น 21:24-25
สิ่งสำคัญที่ยอห์นได้บันทึกไว้นั้น ประเด็นอยู่ที่สิ่งเขาเขียนเป็นความจริง ไม่ใช่ว่าจะเขียนทุกเรื่อง เขาเลือกเรื่องที่จะเขียนลงไปเป็นอย่างดี เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพชัด และมั่นใจในพระเยซู พระบุตรของพระเจ้าที่มาบังเกิดเป็นมนุษย์ ทำหน้าที่ของพระองค์ตามที่พระบิดาทรงใช้มาอย่างสมบูรณ์แบบ และทรงพร้อมให้เราเข้าไปมีส่วนในครอบครัวใหญ่ของพระองค์ด้วย

พระคำเชื่อมโยง
1* ยอห์น 6:1
2*ยอห์น 20:24; 1:45-51; 2:1; มัทธิว 4:21
4* ยอห์น 20:14
5* ลูกา 24:41
7*ยอห์น 13:23; 20:2 24:41

12* กิจการ 10:41
14* ยอห์น 20:19,26
15* กิจการ 20:28
16* ฮีบรู 13:20; สดุดี 79:13
17* ยอห์น 2:24-25; 16:30

18* กิจการ 12:3-4
19* 2 เปโตร 1:3,14; มัทธิว4:19; 16:24
20* ยอห์น 13:23; 20:2; 13:25
22* วิวรณ์ 2:25; 3:11; 22:7,20
24* ยอห์น 19:35
25* ยอห์น 20:30; อาโมส 7:10

ยอห์น 20 ทรงฟื้นขึ้นมาแล้ว

ยอห์นบันทึกเรื่องราวการคืนพระชนม์ ถ้ำเก็บศพที่ว่างเปล่า พระเยซูทรงพบมารีย์และศิษย์ในห้องที่พวกเขาชุมนุมกันอยู่สองครั้ง

ถ้ำเก็บศพที่ไม่มีศพ

พระเยซูทรงพบมารีย์มักดาลา

พระเยซูทรงพบศิษย์

พระเยซูทรงพบโธมัส


คำอธิบายเพิ่มเติม ยอห์น 20
ถ้ำเก็บศพที่ไม่มีศพ
ยอห์น 20:1-2
เช้าวันต้นสัปดาห์คือเช้าวันอาทิตย์ ขณะที่ยังมืดมาก มารีย์ และเพื่อนผู้หญิงด้วยกัน พากันไปยังถ้ำเก็บศพพระเยซู เพื่อนำเครื่องหอมไปชโลมพระศพอีก (ลูกา 24:1)
มารีย์คิดอย่างเดียวว่า มีคนมาขโมยพระศพไป แทนที่จะคิดว่า พระองค์ทรงฟื้นคืนชีพอย่างที่ทรงเคยบอกไว้ ดูเหมือนว่า เรื่องการคืนพระชนม์ไม่ได้อยู่ในหัวของเธอเลย เธอรีบกลับไปบอกข่าวพระศพหายไปกับอัครทูตสองท่าน เธอให้ข่าวผิด ๆ ว่า มีคนเอาพระองค์ไป
การคืนพระชนม์ในวันต้นสัปดาห์ ทำให้คริสเตียนได้เริ่มต้น มาประชุมนมัสการกันในวันนั้น และทำติดต่อกันมาจนทุกวันนี้
ยอห์น 20:3-5
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ทั้งสองก็รีบไปดูสถานที่เกิดเหตุเลย ยอห์นเข้าไปหน้าถ้ำก่อน เห็นแถบผ้าวางอยู่แม้ยอห์นจะเข้าไปเห็นก่อน แต่คนที่แซงเข้าไปในถ้ำคือเปโตร เราจะเห็นนิสัยที่พุ่งของเปโตรได้ชัดเจนเลย น่าแปลกที่ศิษย์คนอื่นไม่ได้สนใจจะวิ่งมาดูเหมือนสองคนนี้
ยอห์น 20:6-10
หลักฐานว่า พระศพไม่อยู่ก็คือ พระองค์หายไป มีผ้าพันพระศพวางไว้ ผ้าพันพระเศียรพับวางไว้ต่างหากด้วย แม้ตอนนั้นยังนึกไม่ออก ไม่เข้าใจว่า พระเยซูจะต้องคืนชีพ เขาก็เชื่อสิ่งที่ตาเห็น คนยิวในสมัยนั้น จะเก็บศพโดยใช้ผ้าพันศีรษะกับผ้าพันร่างกายคนละผืน
พระเยซูทรงพบมารีย์มักดาลา
ยอห์น 20:11-13
มารีย์ยังไม่ไปไหน แต่ร้องไห้เสียใจไม่เห็นพระศพ แต่ขณะนั้นเอง เธอก็ก้มลงไปมองในถ้ำ ก็เห็นทูตสวรรค์นั่งอยู่ทางด้านพระเศียรกับด้านพระบาท ท่านทั้งสองถามมารีย์ ว่าร้องไห้ทำไม? เพื่อเป็นการเตือนสติเธอ และมารีย์ก็ตอบซื่อ ๆ ว่า พระเยซูถูกคนเอาไป เธอเข้าใจผิดแต่ก็มั่นใจเหลือเกิน
ยอห์น 20:14-15
แต่ขณะกำลังคุยกับทูตสวรรค์ ซึ่งเวลานั้นเธอก็คงไม่รู้ว่าเป็นทูตสวรรค์ เธอหันกลับมาเจอบุรุษคนหนึ่ง เธอคิดว่าเป็นคนสวน ความที่อยากได้พระศพคืน เธอจึงถามเขาว่า พระศพอยู่ที่ไหน จะได้รับไป… เธอกล่าวคำที่ยังเป็นข่าวปลอมอยู่ คือ คิดว่ามีคนเอาพระศพไป ทั้ง ๆ ที่เธอไม่สามารถจะจัดการกับศพได้ (หากว่ามีจริง เพราะเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง) แต่เธอก็พร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ศพคืน
ยอห์น 20:16-17
แต่เวลานั้นเอง พระเยซูตรัสเรียกว่า มารีย์เอ๋ย เท่านั้นแหละเธอก็ร้องออกมาว่า รับโบนี ซึ่งแปลว่าอาจารย์ ตาของเธอเปิดออก เห็นพระเยซูแล้ว เห็นเพราะเธอได้ยินเสียงเรียกของพระองค์
ตอนนี้ เธอรู้แล้วว่า พระเยซูคืนพระชนม์ แต่ยังตกใจมาก พระเยซูห้ามไม่ให้เธอรั้งพระองค์ไว้ แต่ทรงสั่งให้เธอไปบอกพี่น้องว่า พระเยซูกำลังจะไปหาพระบิดา พระเจ้าทั้ง..​ของพระองค์ และของพวกเขา
นี่เป็นครั้งแรกที่พระเยซูทรงเรียกศิษย์ว่า พี่น้อง (แต่ก่อนทรงเรียกว่า ผู้รับใช้ เรียกว่าเพื่อน) และทรงบอกด้วยว่า พระบิดาเป็นของพระองค์และของเขา เท่ากับพระองค์ทรงรับพวกเขาเป็นพี่น้องของพระองค์ด้วย …​
พระเยซูทรงพบศิษย์
ยอห์น 20: 18-19ก
แล้วมารีย์ก็ทำตามคำสั่งพระเยซู ทุกอย่าง คืนวันนั้นเอง ศิษย์มารวมตัวกัน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ไม่คาดฝัน พวกเขาต้องมาคุยกันให้รู้เรื่อง พระเยซูฟื้นขึ้นมา แต่พระองค์อยู่ที่ไหนกันล่ะ? พวกเขายังกลัวเหล่าผู้นำยิวอยู่ จึงปิดประตูแน่นหนา เวลานั้นต้องมีข่าวออกมาแล้วว่า พระศพหายไป และคนที่น่าจะถูกกล่าวหาว่า ขโมยพระศพก็คือพวกศิษย์นั่นเอง ในเวลานั้น โทษของการขโมยศพคือประหารชีวิต
เราลองคิดดูว่า ในวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันแรกที่ทรงคืนพระชนม์นั้น จะโกลาหลเพียงใด ข่าวจะแพร่สะพัดออกไปทั่ว ใคร ๆ ก็ต้องการคำอธิบาย มีมารีย์ เพื่อน ๆ เปโตร และยอห์นที่เป็นผู้เห็นว่า ไม่มีพระศพจริง ๆ ในเช้ามืดวันนั้น แต่มีคนเดียวที่ได้พูดกับพระองค์คือมารีย์ คำของมารีย์จะมีความน่าเชื่อถือเพียงใด?
ยอห์น 20:19ข-21
แต่ถึงปิดประตูแล้ว สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น!! พระเยซูทรงมาหาพวกเขา ด้วยความที่ยังมีความกลัว กังวลใจ เป็นทุกข์ พระเยซูตรัสให้สันติสุขอยู่กับเขา ทรงให้เขาดูพระหัตถ์ และสีข้าง ซึ่งพวกเขาก็ต้องได้ยินจากยอห์นมาแล้ว ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพระองค์บ้าง พระเยซูตรัสให้เขามีสันติสุขถึงสองครั้ง และตรัสว่าสิ่งสำคัญยิ่งคือ พระองค์จะส่งพวกเขาออกไปแบบที่พระบิดาทรงส่งพระองค์มา
พระเยซูไม่ได้ตำหนิพวกเขาเลย และเวลานี้ พระองค์มาหาเขาด้วยวิธีแปลกมา เข้ามาได้อย่างไร ในเมื่อ ลั่นกลอนไว้อย่างดี
ยอห์น 20:22-23
จำได้ไหม พระเยซูตรัสเรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์มาหลายครั้ง แต่พวกเขายังไม่เข้าใจ พระองค์ตรัสสั่งให้เขารับพระวิญญาณของพระองค์ และทรงกำชับให้เขายกโทษให้ผู้อื่น … ใช่แล้ว อย่างที่พระองค์ทรงทำบนไม้กางเขน!
พระเยซูทรงพบโธมัส
ยอห์น 20:24-25
หลังจากนั้น เมื่อพระเยซูไม่อยู่กับเขาแล้ว โธมัสก็เข้ามารวมกลุ่ม .. ทุกคนเห็นองค์พระเยซู แต่เขาไม่เห็น ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาจะไม่เชื่อ ถ้าไม่เห็นรอยตะปูและรอยแทงที่สีข้าง ขอเอานิ้วแหย่เข้าไปด้วย …​
มีคนอย่างโธมัสในโลกมากมาย ต้องขอเห็นหน่อย ต้องขอแตะด้วย ต้องใช้ประสาทสัมผัสเพื่อให้เกิดความเชื่อ แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงต่อว่าเขาเลย … พระองค์ทรงตอบสิ่งที่อยู่ในใจของโธมัส
ยอห์น 20:26
ต่อมาอีกสัปดาห์ อีกครั้งที่ประตูลงกลอนแน่น แต่พระเยซูก็มาอยู่ท่ามกลางพวกเขา ตรัสให้พวกเขามีสันติสุขอีก คราวนี้ โธมัสอยู่กับพวกเขา เอ พระเยซูทรงหายไปไหนนะ ไม่มาเลย แต่พระองค์กลับมาพบพวกเขาอีกในหนึ่งสัปดาห์ให้หลัง
ยอห์น 20:27-29
คราวนี้ พระองค์ยื่นพระหัตถ์ให้โธมัสเอามือแยงเข้าไปในสีข้างของพระองค์ด้วย พอโธมัสได้ทำอย่างนั้น เขาก็ร้องว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า และพระเจ้าของข้าพเจ้า” เขาไม่สงสัยการคืนพระชนม์อีกต่อไป ที่ทรงคืนพระชนม์มาให้เขาเห็นครั้งนี้ พิสูจน์แล้วว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแท้จริง พระเยซูทรงมีร่างใหม่เมื่อทรงคืนพระชนม์ แต่กลับทรงเก็บรอยแผลสำคัญนั้นไว้
ด้วยความสงสัยของโธมัสนี่เองที่ทำให้เราได้พระพรกัน เพราะเมื่อเราเชื่อพระเยซูทั้งที่ไม่เห็นพระองค์ เราจึงมีความสุขมาก
ยอห์น 20:30-31
พระเยซูทรงทำหมายสำคัญมากมายที่เล็งถึงการเป็นพระเมสสิยาห์ องค์ผู้ถูกเจิม แต่ยอห์นไม่ได้บันทึกเอาไว้ เขาได้ให้เหตุผลที่เขียนเรื่องราวทั้งหมด ก็เพื่อผู้อ่านจะได้เชื่อว่า
​​​พระเยซูคือผู้ที่พระเจ้าทรงเจิม ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า และจะได้ชีวิตนิรันดร์ ในพระนามของพระองค์
อย่างหนึ่งที่เราต้องเข้าใจคือ พระนามของพระเจ้ามีความหมายไม่ใช่แค่ชื่อ แต่พระนามเป็นตัวแทนของพระองค์ทั้งหมด การมีชีวิตในพระนาม ก็คือ การมีชีวิตในพระเจ้าองค์นี้ ผู้ทรงนามพระเยซู
บางทีเราเชื่อพระเยซูมานาน และไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ตอนนี้ถึงเวลาที่เราจะต้องเข้าใจ รู้จัก สัมพันธ์สนิทกับพระองค์ต่างไปจากที่เคยแล้ว อย่าบอกแค่ว่า ฉันเป็นคริสเตียน แต่ลองตามพระเยซูจริง ๆ แล้วจะรู้ว่า การตามพระองค์นั้น เปลี่ยนชีวิตเราขนาดไหน

ข้อพระคำเชื่อมโยง
1*มัทธิว 28:1-8;27:60,66; 28:2
2* ยอห์น 21:23,24; 13:23; 19:26; 21:7,24
3* ลูกา 24:12
5* ยอห์น 19:40
7* ยอห์น 11:44
8* ยอห์น 21:23,24
9* สดุดี 16:10

11* มาระโก 16:5
14* มัทธิว 28:9 ยอห์น 21:4
16* ยอห์น 10:3
17* ฮีบรู 4:14, 2:11; มาระโก 16:19;
ยอห์น 16:28; 17:11; กิจการ 1:9
เอเฟซัส 1:17
18* ลูกา 24:10,23
19* ลูกา 24:36; ยอห์น 9:22; 19:38; 16:6; 14:27; 16:33
20* กิจการ 1:3; ยอห์น 16:20,22

21* ยอห์น 17:18-19
22* ยอห์น 16:20-22
23* มัทธิว 16:19; 18:18
24* ยอห์น 11:16
27* 1 ยอห์น 1:1; มาระโก 16:14
29* 1 เปโตร 1:8
30* ยอห์น 21:25
31* ลูกา 1:4; 1 ยอห์น 5:13; ลูกา2:11; ยอห์น 3:15-16; 5:24