1 โครินธ์ 11 อาหารมื้อสุดท้าย

เรื่องของผ้าคลุมศีรษะ

1 โครินธ์ 11:1-2
ขอให้ท่านทำตามอย่างข้า เหมือนที่ข้าทำตามอย่างพระคริสต์
ข้าขอชมท่านที่ได้คิดถึงข้าในทุกเรื่องและยังดำเนินตาม
สิ่งที่ข้าได้ส่งต่อให้พวกท่านไว้
1 โครินธ์ 11:3
แต่ข้าต้องการให้ท่านรู้ว่า พระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของผู้ชายทุกคน และผู้ชายเป็นศีรษะของผู้หญิง และพระเจ้าทรงเป็นศีรษะของพระคริสต์

1 โครินธ์ 11:4-5
ชายทุกคนที่อธิษฐานหรือเผยพระดำรัสของพระเจ้าโดยมีสิ่งปกคลุมศีรษะนั้น ก็นำความอับอายมายังศีรษะของเขา แต่ผู้หญิงทุกคนที่อธิษฐานหรือเผยพระดำรัสของพระเจ้าโดยไม่คลุมศีรษะก็นำความอับอายมายังศีรษะของเธอราวกับว่า เธอได้โกนผมไปแล้ว
1 โครินธ์ 11:6-7
ถ้าผู้หญิงไม่คลุมศีรษะ ก็ควรตัดผมออกเสีย แต่ถ้าเป็นสิ่งน่าอายเมื่อผู้หญิงตัดผมหรือโกนผม เธอก็ควรคลุมศีรษะ ผู้ชายไม่ควรคลุมศีรษะ เพราะเขาเป็นพระฉายาและสง่าราศีของพระเจ้า
ส่วนผู้หญิงเป็นสง่าราศีของผู้ชาย

1 โครินธ์ 11:8-10
เพราะผู้ชายไม่ได้มาจากผู้หญิง แต่ผู้หญิงมาจากผู้ชาย และผู้ชายไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อผู้หญิง แต่ผู้หญิงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อผู้ชาย เพราะเหตุนี้ และเพื่อเห็นแก่ทูตสวรรค์ ผู้หญิงจึงควรมีสัญลักษณ์แห่งสิทธิอำนาจนี้บนศีรษะของเธอ
1 โครินธ์ 11:11-12
อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงก็ต้องพึ่งพาผู้ชายและผู้ชายก็พึ่งพาผู้หญิงในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะว่าผู้หญิงมาจากผู้ชาย และผู้ชายก็เกิดมาจากหญิง และทุกสิ่งก็มาจากพระเจ้า

1 โครินธ์ 11:13-14
ที่ผู้หญิงจะอธิษฐานต่อพระเจ้าโดยที่ไม่มีผ้าคลุมศีรษะ? ธรรมชาติเองได้สอนท่านไม่ใช่หรือว่าผู้ชายที่ไว้ผมยาวก็เป็นสิ่งที่น่าละอาย?
1 โครินธ์ 11:15-16
แต่ถ้าผู้หญิงไว้ผมยาวก็เป็นศักดิ์ศรีของเธอ เพราะว่า ผมยาวที่ประทานให้เธอมาก็เพื่อปกคลุมศีรษะ แต่หากว่าใครจะคิดโต้แย้งเรื่องนี้ ทั้งเราและคริสตจักรก็ไ่ม่ได้มีธรรมเนียมปฏิบัติที่เป็นอื่น นอกเหนือจากที่กล่าวมา

งานเลี้ยงขององค์พระผู้เป็นเจ้า

1 โครินธ์ 11:17-18
สำหรับคำสั่งต่อไปนี้ ข้าไม่อาจชมท่านเพราะว่า การประชุมของท่านกลับเป็นผลเสียมากกว่าผลดี อย่างแรกคือ ข้าได้ยินมาว่า เมื่อมาประชุมกันในคริสตจักร พวกท่านแตกคอกัน และข้าก็คิดว่าต้องมีส่วนที่เป็นจริงอยู่บ้าง
1 โครินธ์ 11:19-21
เพราะคงมีการแตกแยกกันในพวกท่านเพื่อว่าจะเห็นชัดว่า ฝ่ายใดเป็นฝ่ายถูกเมื่อพวกท่านมาประชุมพร้อมกันนั้นจึงไม่ใช่การเข้ามาร่วมในงานเลี้ยงขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะในการกินอาหารนั้น คนหนึ่งก็กินอาหารของตนก่อน บางคนก็ยังหิวอยู่ และบางคนก็เมาค้าง
1 โครินธ์ 11:22
อะไรกัน? ท่านไม่มีบ้านของตนเองที่จะกินและดื่มหรือ? หรือท่านดูแคลนคริสตจักรของพระเจ้า และทำให้พี่น้องที่ขัดสนต้องอับอาย จะให้ข้าพูดอย่างไร? ชมเชยพวกท่านหรือ?
ข้าไม่อาจชมท่านในเรื่องนี้เลย

อาหารมื้อสุดท้าย

1 โครินธ์ 11:23-24
สิ่งที่ข้าได้รับจากองค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าขอมอบให้พวกท่าน คือ ในคืนที่พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าถูกทรยศนั้น พระองค์ทรงหยิบขนมปัง หลังจากที่ทรงขอบพระคุณแล้วจึงทรงบิขนมปัง ตรัสว่านี่เป็นกายของเราที่ได้แตกสลายเพื่อเจ้าทั้งหลาย จงทำอย่างนี้ เพื่อระลึกถึงเรา
1 โครินธ์ 11:25
หลังจากอาหารเย็น พระองค์ทรงหยิบถ้วยด้วยวิธีการอย่างเดียวกันตรัสว่า “ถ้วยนี้เป็นพันธสัญญาใหม่โดยโลหิตของเรา ทุกครั้งที่เจ้าดื่มจากถ้วยนี้ จงดื่มเพื่อระลึกถึงเรา”

การสำรวจตนเอง

1 โครินธ์ 11:26-27
เพราะว่าครั้งใดที่พวกท่านกินขนมปังและดื่ม ท่านก็ประกาศการสิ้นพระชนม์ของพระองค์จนกว่าพระองค์จะเสด็จมา
ดังนั้น ใครที่กินขนมปังหรือดื่มจากถ้วยขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างไม่เหมาะสมก็เท่ากับเขาทำผิดต่อพระกาย และพระโลหิตขององค์พระผู้เป็นเจ้า
1 โครินธ์ 11:28-29
ทุกคนต้องสำรวจตนเอง ก่อนที่กินขนมปังและดื่มจากถ้วยนี้เพราะผู้ใดที่กินและดื่มโดยไม่ระลึกถึงพระกายขององค์พระผู้เป็นเจ้า ก็เท่ากับกินและดื่มเพื่อให้ตนเองถูกลงโทษ

1 โครินธ์ 11:30-32
ด้วยเหตุนี้ พวกท่านหลายคนจึงอ่อนแรงและเจ็บป่วย และบ้างคนก็ล่วงหลับไปแล้ว แต่ถ้าเราพิจารณาตัวเองอย่างถูกต้อง
เราก็จะไม่ถูกพิพากษา
เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพิพากษาเรานั้น พระองค์ทรงลงวินัยเรา เพื่อว่าเราจะไม่ถูกพิพากษา
พร้อมกันกับโลก

1 โครินธ์ 11:33-34
ดังนั้น พี่น้องของข้า เมื่อพวกท่านมากินอาหารร่วมกัน ก็ควรรอกันและกัน ถ้าใครหิว ก็ให้กินมาจากบ้านก่อนเพื่อว่าเวลามาประชุมกัน ท่านจะไม่ถูกกล่าวโทษ ส่วนเรื่องอื่น ๆ นั้น ข้าจะสอนท่านเมื่อข้ามา

อธิบายเพิ่มเติม

เรื่องของผ้าคลุมศีรษะ
1 โครินธ์ 11:1-2
แม้ว่าพี่น้องชาวโครินธ์จะมีปัญหาหลายอย่างในคริสตจักร แต่อย่าลืมว่า พวกเขาเขียนจดหมายมาหาท่านเพื่อขอคำแนะนำ (บทที่ 7) แสดงว่า มีคนที่เป็นห่วงคริสตจักร และต้องการทำสิ่งที่ถูกต้องพวกเขาไม่ได้เสียหายไปหมด ทั้งคริสตจักร มีคนที่ไม่เชื่อฟัง และมีคนที่ต้องการติดตามพระเจ้าจริงจัง ท่านเปาโลบอกถึงหลักการที่ควรเดิน และวิธีที่ต้องเดินไปตามนั้น ที่สำคัญท่านให้เราเดินตามอย่างที่ท่านสัมพันธ์กับพระเจ้า
1 โครินธ์ 11:3
พระเจ้าทรงเป็นศีรษะของพระคริสต์ ยอห์น 17:28 “พระบิดาทรงยิ่งใหญ่กว่าเรา” พระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของชายทุกคน นั่นคือพระองค์ทรงเป็นผู้นำของชีวิตชายทุกคนที่เชื่อ ผู้ชายเป็นศีรษะของผู้หญิง ทั้งบิดา ทั้งสามีเป็นผู้นำชีวิตของผู้หญิงนี่เป็นเหมือนสายงานว่า ใครเป็นคนต้น ใครเป็นคนต่อไป เป็นหลักการในการยอมรับผู้ที่มีสิทธิอำนาจหนือตน พระเยซูทรงเป็นต้นแบบให้เห็นชัดเจน
1 โครินธ์ 11:4-5
อย่าลืมว่า นี่เป็นหลักการของผู้เชื่อในโครินธ์ซึ่งมีวัฒนธรรมแตกต่างจากเรา ดังนั้นนี่จึงเป็นข้อปฏิบัติของพี่น้องชาวโครินธ์ ทั้งชายและหญิงต่างมีหน้าที่ในการอธิษฐาน และการเผยพระดำรัสของพระเจ้าให้ผู้อื่นเข้าใจเช่นกัน ต่อมาในศตวรรษที่ 3-4 ผู้ชายยิวก็เริ่มใช้ผ้าคลุมศีรษะเพราะได้รับอิทธิพลจากกลุ่มตัลมุด ในศาสนายิว
1 โครินธ์ 11:6-7
ผู้หญิงที่อธิษฐานหรือกล่าวพระคำโดยไม่ได้คลุมศีรษะ ก็เหมือนกับว่า เธอไม่ให้เกียรติต่อสามี หรือบิดาซึ่งเป็นดั่งศีรษะของเธอ (ผู้นำของชีวิตเธอ)ผู้หญิงในสมัยของเปาโล ผู้หญิงคริสเตียนก็มักจะมีผ้าคลุมผมเมื่อเข้ามาอยู่ในการประชุมกับพี่น้อง ในสมัยนั้น ผู้หญิงที่ทำงานในวิหารเทพ มักจะไว้ผมสั้นกว่าปกติ และไม่คลุมศีรษะ เพื่อสื่อให้รู้ว่า เธอทำอาชีพอะไร ท่านเปาโลไม่ต้องการให้มีการเข้าใจผิดเกิดขึ้นกับพี่น้องคริสเตียนที่เป็นผู้หญิง
1 โครินธ์ 11:8-10
ท่านเปาโลกำลังให้เหตุผลว่าเหตุที่ผู้ชายเป็นศีรษะของหญิงนั้น มาจากการทรงสร้างของพระเจ้าเลยแต่เสียดายที่เวลาล่วงเลยไป ผู้ชายจำนวนมากได้สละสิทธิของตนด้วยการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะกับตำแหน่งที่พระเจ้าประทานให้ และที่กล่าวถึงทูตสวรรค์เพราะมีความเชื่อว่า ในการนมัสการพระเจ้า นอกจากที่พระเจ้าประทับอยู่เหนือการนมัสการแล้ว ยังมีวิญญาณของทูตสวรรค์เข้ามาเฝ้าดูด้วย 1 เปโตร 1:12
1 โครินธ์ 11:11-12
ที่สุดของที่สุดคือ ทั้งชายและหญิงมีต้นกำเนิดมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า เอวามาจากอาดัม แต่ลูก ๆก็มาจากเอวา และทั้งสองฝ่ายต่างต้องมีกันและกันจึงจะมีลูกหลานสืบต่อไปได้ ทั้งสองฝ่ายเท่าเทียมกันต่างต้องช่วยเหลือกันในการมีชีวิตอยู่และในการรับใช้พระเจ้าในหน้าที่ บทบาทแตกต่าง แต่ความสำคัญของชีวิตฝ่ายวิญญาณนั้นเท่ากัน กาลาเทีย 3:28 ทุกคนต่างเป็นหนึ่งเดียวในพระคริสต์
1 โครินธ์ 11:13-14
แล้วในที่สุด ท่านเปาโลก็บอกให้พวกเขาตัดสินเอาว่า อะไรพอเหมาะ พอควรสำหรับคริสตจักร พี่น้องเองก็ต้องหาจุดที่ลงตัวสำหรับพวกเขา
ที่ว่าผู้ชายไว้ผมยาวน่าละอายนั้น คือในสังคมส่วนใหญ่ผู้หญิงจะต้องมีผมที่ยาวกว่า ผู้ชายที่ไว้ผมยาวแบบผู้หญิงแสดงว่า อยากเป็นหญิง เป็นสิ่งที่น่าละอายในสายตาของสังคมโบราณ

1 โครินธ์ 11:15-16
ท่านเปาโลสรุปว่า ผมยาวของผู้หญิงเป็นเหมือนกับสิ่งที่มาใช้คลุมศีรษะ เป็นอันว่า ในสมัยโบราณ ไม่เห็นด้วยกับการที่ผู้หญิงจะโกนศีรษะหรือตัดผมสั้นแบบผู้ชาย ไม่ชอบผู้ชายที่ไว้ผมยาวแบบผู้หญิง ในการที่จะแต่งตัวมาในที่ประชุม เป็นเรื่องของมารยาท ความเหมาะสมในสังคม เป็นเรื่องที่ทุกคริสตจักรจะต้องมีธรรมเนียมปฏิบัติที่เหมาะสมเอง เช่น ไม่ควรแต่งตัวเย้ายวนเพื่อดึงสายตามาที่ตัวเองเป็นต้น
1 โครินธ์ 11:17-18
การเข้ามาประชุมกันเป็นเรื่องนี้ท่านเปาโลได้กล่าวถึงในบทที่ 1:10-17 มาก่อนหน้านี้ แต่ครั้งนี้เน้นไปที่การเข้ามาชุมนุมกันเพื่องานเลี้ยงอาหารที่เรียกภาษาเดิมว่า การเลี้ยงแห่งความรัก เป็นงานเลี้ยงเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ ความรักในหมู่พี่น้องมีการแบ่งปันซึ่งกันและกัน เมื่อเลี้ยงกันแล้วก็มักจะตามด้วยพิธีศีลมหาสนิทเพื่อระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์

1 โครินธ์ 11:19-21
“งานเลี้ยงขององค์พระผู้เป็นเจ้า” ซึ่งเป็นงานเลี้ยงที่ทุกคนเอาอาหารมาแบ่งกันในงาน เป็นงานที่คนฐานะดีกว่า จะได้มีโอกาสแบ่งปันอาหารให้กับคนยากจน ขัดสน แต่ครั้งนี้ กลับมีการแตกแยกกัน มีความหมายเป็นภาพของผ้าที่ขาดออกจากกัน จากที่ท่านเปาโลกล่าวคือ บางคนกินของที่ตนเองเอามาเสียจนอิ่ม ส่วนคนยากจนไม่ได้มีอาหารมาแบ่งคนอื่น ก็ต้องหิวท้องกิ่วและยิ่งกว่านั้น ยังมีคนที่เมาราวกับงานเลี้ยงของคนภายนอก สับสนมาก
1 โครินธ์ 11:22 ท่านเปาโลกำลังบอกว่า ถ้าอยากจะกินอย่างคนตะกละ อยากกินตามใจตัวเอง ขอกลับไปกินที่บ้านให้สบายใจเถิด อย่ามาทำให้พี่น้องที่ยากจนกว่า ต้องอับอายเพราะหิว ไม่มีอะไรกินทั้งที่เป็นงานเลี้ยง เจ้าของอาหารกับพรรคพวกกินเองหมดแล้ว สภาพเช่นนี้ เป็นการดูหมิ่นความรักของพระเจ้าโดยตรง พฤติกรรมดังกล่าวสืบเสื่องมาจากพวกเขาเคยกินเลี้ยงกันอย่างสุรุ่ยสุร่าย เห็นแก่ตัวครั้งยังไม่เชื่อพระเจ้า

อาหารมื้อสุดท้าย
1 โครินธ์ 11:23-24
ที่จะพูดต่อไป เปาโลไม่ได้คิดขึ้นมาเองแต่ได้รับมาโดยตรงจากองค์พระเยซู ว่าในคืนสุดท้ายก่อนถูกตรึงบนไม้กางเขน พระองค์ทรงถูกศิษย์ทรยศ ทรงขอบพระคุณ ทรงบิขนมปังที่เป็นสัญลักษณ์ของร่างกายที่แตกออกเพื่อศิษย์ทุกคน พระองค์ทรงสั่งให้พวกเขาทำอย่างพระองค์ เพื่อระลึกถึงพระองค์ ไม่ใช่เป็นพิธีเพื่อพิธี แต่เพื่อผู้ที่ร่วมกินขนมปังไร้เชื้อ (ซึ่งหมายถึงร่างกายที่ไร้บาป) จะระลึกย้อนไปในวันที่ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อพวกเขา 
1 โครินธ์ 11:25
ครั้งนี้ พระเยซูทรงหยิบถ้วยให้เขาระลึกถึงพระโลหิตที่พระเยซูได้ทรงหลั่งบนไม้กางเขนเพื่อเรา ไม่ใช่เลือดสัตว์เหมือนในพันธสัญญาเดิมดื่มเพื่อระลึกถึง ไม่ใช่ดื่มเฉย ๆ เป็นพิธีตามที่คริสตจักรได้ทำมาตลอดสองพันปี แต่ทุกครั้งที่ดื่ม ให้ระลึกถึงพระองค์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ และ
ทำให้เราทั้งหลายได้พ้นจากการพิพากษาของพระเจ้า ดื่มเพื่อที่จะมีชีวิตต่อไปเพื่อพระนามของพระองค์ ไม่ใช่มีชีวิตเพื่อตัวเอง

การสำรวจตนเอง
1 โครินธ์ 11:26-27
พระกิตติคุณถูกย้ำในพิธีศีลมหาสนิท ชี้ไปถึงการเกิด การสิ้นพระชนม์เพื่อมนุษย์ การคืนพระชนม์ และการเสด็จมาครั้งที่สองครั้งใดที่เราเข้ามามีส่วนในศีลมหาสนิท เราคิดถึงการสิ้นพระชนม์ และเรายังนึกถึงอนาคตที่พระองค์จะเสด็จกลับมาด้วย การเข้าร่วมพิธีศีลมหาสนิท
เป็นการยอมรับพร้อมกับพี่น้องว่า พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมาในอนาคต ส่วนการกินขนมปัง ดื่มจากถ้วยอย่างไม่เหมาะสมคือการกินดื่มโดยไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า กินดื่มโดยยังมีความขมขื่นในกับพี่น้องอยู่เต็มหัวใจ จะต้องมีการสำนึกผิด สารภาพบาป กลับใจก่อนเข้ามาร่วมในพิธีนี้
1 โครินธ์ 11:28-29
การสำรวจตนเองก่อนกินและดื่มจากถ้วยขององค์พระผู้เป็นเจ้าแค่ก่อนพิธีนั้น อาจไม่พอ เราเองควรจะสำรวจตัวเองเสมอ ก่อนหน้าที่จะมาร่วมพิธีนี้เราทุกคนได้มีโอกาสทำผิดต่อพระเจ้าในเรื่องนี้ไม่เว้นใครเลย การที่ท่านเปาโลเน้น ย้ำ ก็เพื่อปกป้องพี่น้องไม่ให้ทำผิดต่อพระเจ้าเพิ่มเติมวางรากฐานของการร่วมศีลมหาสนิทอย่างถูกต้องให้กับคริสตจักร เมื่อเข้าร่วมพิธี ต้องเข้าใจถึงความบริสุทธิ์แห่งพิธีนี้
1 โครินธ์ 11:30-32
การไม่สำรวจตนเอง แล้วเข้าไปร่วมในพิธีอย่างไม่สมควร ทำให้พี่น้องในคริสตจักรโครินธ์อ่อนแอเจ็บป่วย และตายไป คำพูดของท่านน่ากลัวมากท่านกำลังกล่าวถึงการตายก่อนเวลาอันสมควรพระเจ้าทรงเปิดโอกาสให้เราพิจารณาชีวิตของตนเอง ยังไม่ต้องถูกคนอื่นพิจารณาหรือตัดสินเสียด้วยซ้ำ การกลับใจใหม่เสียก่อนดีกว่า แต่บางครั้งพระเจ้าทรงลงวินัยเพื่อคนที่ทำผิด จะไม่ถูกพิพากษาอย่างชาวโลก
1 โครินธ์ 11:33-34
สิ่งที่ท่านเปาโลได้กล่าวมาทั้งหมดนี้ เพื่อให้พี่น้องได้เข้าใจถึงการกินอาหารร่วมกันว่า เป็นไปเพื่อส่งต่อความรักของคนต่างฐานะ ให้โอกาสคนที่ยากจนได้กินอาหารด้วย ให้มีมารยาทที่จะรู้จักรอกันและกัน ไม่เห็นแก่ตัวเอง ทั้งหมดนี้ทำเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาทำอะไรผิดมากไปกว่าที่เป็นอยู่ และสร้างระเบียบในการกินอาหารพร้อมกับพิธีมหาสนิทที่จะระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า

พระคำเชื่อมโยง

1* เอเฟซัส 5:1
3* เอเฟซัส 1:22; 4:15; 5:23; ปฐมกาล 3:16; ยอห์น 14:28
4* 1 โครินธ์ 12:10
5* เฉลยธรรมบัญญัติ 21:12
6* กันดารวิถี 5:18
7* ปฐมกาล 1:26,27; 5:1; 9:6
8* ปฐมกาล 2:21-23

9* ปฐมกาล 2:18
11* กาลาเทีย 3:28
16* 1 ทิโมธี 6:4; 1 โครินธ์ 7:17
18* 1 โครินธ์ 1:10-12; 3:3
19* 1 ทิโมธี 4:1; เฉลยธรรมบัญญัติ 13:3
21* ยูดา 12
22* 1 โครินธ์ 10:32; ยากอบ 2:6
23* 1 โครินธ์ 15:3, มัทธิว 26:26-28

26* ยอห์น 14:3
27* ยอห์น 6:51
28* 2 โครินธ์ 13:5
31* 1 ยอห์น 1:9
32* สดุดี 94:12
33* 1 โครินธ์ 14:26

ยอห์น 13 อาหารมื้อสุดท้ายกับการล้างเท้า

ทรงล้างเท้าเหล่าศิษย์

คนหนึ่งจะทรยศเรา

บัญญัติใหม่เพื่อเจ้า

ทรงบอกล่วงหน้าเรื่องเปโตร

อธิบายเพิ่มเติมและพระคำเชื่อมโยง

 พระเยซูทรงล้างเท้าเหล่าศิษย์
 ข้อ 1-4

ในคืนวันที่รับประทานอาหารด้วยกัน พระเยซูผู้เดียวที่ทรงรู้ว่า การสิ้นพระชนม์ การคืนพระชนม์ การเสด็จกลับไปหาพระบิดา ใกล้เข้ามาทุกที
พระองค์ทรงรักศิษย์ของพระองค์จนถึงที่สุด เป็นความรักที่พวกเขาไม่รู้เลยว่า ยิ่งใหญ่มากเพียงใด
และความรักที่พระเจ้าให้กับคนของพระองค์นั้น ก็ล้ำลึก ลึกซึ้ง แตกต่างจากคนที่ไม่ใช่ของพระองค์ด้วย ที่ว่าทรงรักเขาจนถึงที่สุดนั้น มีความหมายว่าทรงรักสุด ๆ ไม่ใช่เป็นรักตื้น ๆ อย่างที่คนเรารักกัน
เราจะเห็นว่าหัวใจพระเยซูกับหัวใจของยูดาส แตกต่างกันมาก ใจของยูดาสถูกชักนำโดยซาตาน มันชวนให้เขาทรยศพระเยซู! และเขาก็เดินตามการชักชวนของมารด้วย
แม้ว่าพระเยซูจะทรงทราบว่า มีอะไรเกิดขึ้นในใจของยูดาส แต่พระองค์ไม่ได้กังวล พระองค์ไม่ไล่มารออกจากใจของยูดาด้วย เพราะว่า ทุกอย่างอยู่ในแผนการของพระเจ้า ยูดาสเองวางแผนล่วงหน้าแล้วว่าจะทรยศพระองค์ เขาได้เงินค่าจ้างมาจากเหล่าปุโรหิตเรียบร้อยแล้ว พระเยซูทรงทราบทั้งสิ้น แต่สิ่งที่พระบิดาจะทรงให้เกิดนั้น พระเยซูทรงยอมทำตาม

1* ยอห์น 12:1 , 16:28 2*ยอห์น 13:11,27 ; 6:70,71 3*ยอห์น 17:2; มัทธิว 11:27; วิวรณ์ 2:27; ยอห์น 8:42; 16:28 4* ยอห์น 21:7; ลูกา 22:27


ข้อ 5-11
ในห้องนั้น มีอ่างน้ำที่เจ้าของบ้านเตรียมไว้สำหรับแขกที่จะล้างเท้า คนที่จะทำหน้าที่ล้างเท้าแขกคือทาสต่างชาติ และจะล้างก่อนที่จะรับประทานอาหาร
แต่แล้วพระเยซูก็ทรงทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด เวลานั้นทรงล้างเท้าพวกศิษย์ด้วยพระองค์เอง ทรงเช็ดเท้าให้พวกเขาด้วยผ้าคาดเอว พระอาจารย์กำลังลดพระองค์เองไปเป็นดั่งทาส ต่างชาติที่คุกเข่าลงปรนนิบัติเหล่าศิษย์ที่ควรจะทำให้พระองค์ รู้ไหมว่า คนยิวด้วยกันยังไม่ล้างเท้าให้กันเลย
แต่แล้วเปโตรไม่ยอมให้พระองค์ทำ จึงทรงบอกว่า เขาจะไม่มีส่วนในพระองค์เลย เท่านี้ เปโตรก็ยอมและขอให้พระองค์ล้างทั้งตัวด้วย
การล้างเท้าศิษย์ครั้งนี้ มีความหมายล้ำลึกมาก พระองค์ตรัสว่า เปโตรอาบน้ำแล้ว ไม่ต้องชำระอีก ยกเว้นเท้าที่ต้องล้างเพราะเดินทางมาโดนฝุ่นผงสกปรกตามทาง
ความหมายของพระดำรัสตอนนี้มีผู้แปลให้กระจ่างว่า เราทุกคนที่ได้รับความรอดจากพระเจ้าเหมือนกับที่ได้อาบน้ำแล้ว เป็นคนชอบธรรมในพระเจ้าแล้ว แต่ว่ายังมีบาปทุกวันที่เราทำ ต้องการการชำระจากพระเจ้าเสมอ ดังนั้น เราจึงมาหาพระเจ้า และสารภาพบาป ที่ต้องชำระทุกวัน
เมื่อพระองค์ล้างเท้าพวกเขาเสร็จ ก็ทรงบอกให้พวกเขาล้างเท้าซึ่งกันและกัน ซึ่งมีความหมายว่า พี่น้องจะต้องรับใช้ช่วยเหลือ ดูแลซึ่งกันและกัน ถ่อมใจลงรับใช้ ไม่ถือตัว แต่เป็นเหมือนทาสรับใช้อย่างที่พระเยซูทรงทำเป็นตัวอย่าง
(เรื่องพิธีล้างเท้านี้ มีหลายคริสตจักรได้รับมาทำอย่างตรงไปตรงมา แต่ในประวัติศาสตร์คริสตจักรยุคแรก ก็ไม่ได้มีการบันทึกว่า ทำเช่นนั้น เรื่องนี้น่าจะเป็นการตัดสินใจของแต่ละที่ แต่ละแห่งว่าควรทำเช่นไร พิธีอย่างนี้เมื่อทำแล้ว ความรู้สึกที่ได้มันก็ชัดเจน แต่สิ่งที่สำคัญคือ เมื่อมีพิธีแล้ว ก็ยังต้องมีการรับใช้อย่างถ่อมตนในชีวิตประจำวันด้วย เราคงมาล้างเท้ากันเป็นพิธีทุกวันไม่ได้ แต่เรารับใช้กันทุกวันได้)


5* 2 พงศ์กษัตริย์ 3:11 7* ดู ข้อ36 ยอห์น 12:16; 15:15; 8* มัทธิว 16:22 ; 1 โครินธ์ 6:11 ; เอเฟซัส 5:26; ทิตัส 3:5 10* ปฐมกาล 18:4; ยอห์น 15:3; ยอห์น 13: 18 11* ยอห์น 13: 2 ; 6:64; 2:24,25



ในข้อ 12-17 พระเยซูทรงย้ำให้เขาทุกคนทำตามอย่างพระองค์ และนี่เป็นทางแห่งความสุขที่พระเยซูทรงวางแบบไว้ให้กับเราทุกคน ทุกวันนี้ พระเยซูยังทรงล้างเท้าให้กับผู้เชื่อในพระองค์ ด้วยการส่งคนผู้รับใช้ของพระองค์ออกไปปรนนิบัติคนทั้งหลาย นั่นก็คือพวกเราที่รับใช้พระองค์ในชีวิตประจำวัน
ข้อ 18-20 ขณะที่พระเยซูตรัสสอนพวกเขา ยูดาสเองก็อยู่ในเหตุการณ์ตลอดเวลา พระเยซูไม่ได้ทรงเลือกว่าจะล้างเท้าใคร ไม่ล้างเท้าให้ใคร แม้แต่คนที่กำลังทรยศพระองค์อยู่ ก็ทรงทำให้เขาด้วย …
ในสมัยโบราณนั้น การกินขนมปังร่วมโต๊ะกันมีความหมายว่า คนที่กินขนมปังก้อนเดียวกัน ก็เป็นส่วนของกันและกัน เป็นเพื่อนที่ใช้ชีวิตด้วยกัน
สำหรับพระเยซูแล้ว ทรงรู้ทุกอย่างในจิตใจของยูดาส อิสการิโอท และพระองค์ทรงแจ้งให้ทุกคนทราบว่า มีคนหนึ่งยกส้นเท้าใส่พระองค์ นั่นคือมีคนหนึ่งในพวกเขาจะทรยศพระองค์


12* ยอห์น 13:4,7 ; 13* ลูกา 6:46; มัทธิว 23:8,10; 1 โครินธ์ 8:6; 12:3; ฟีลิปปี 2:11; 14* 1 ทิโมธี 5:10; 1 เปโตร 5:5;
15* มัทธิว 11:29; 16* ยอห์น 15:20; มัทธิว 10:24; 17* ลูกา 11:28; ยากอบ 1:22; 18* ยอห์น 13:10-11; 6:70; 15:16,19; มาระโก 3:13; 19* ยอห์น 14:29; 16:4 20* มัทธิว 10:40



คนหนึ่งจะทรยศเรา
ข้อ  21-26

ใคร ๆ ก็อยากรู้ว่าคนนั้นคือผู้ใด พระเยซูเองก็ทรงบอกเลยไม่ได้อ้อมค้อม คนที่พระองค์ทรงส่งขนมปังให้กิน คนนั้นแหละ!
และขณะที่ยูดาสกินขนมปัง “ซาตานก็เข้าสิงเขา” พระเยซูทรงบอกให้เขารีบไปทำสิ่งที่เขาตั้งใจจะทำ แต่ไม่มีใครเข้าใจความหมายที่พระเยซูตรัสกับยูดาสเลย มัทธิว 26:25 ทำให้เรารู้ว่า ยูดาสเองรู้ว่า พระเยซูทรงทราบทุกสิ่งในใจของเขา
แต่ยูดาสเองเปิดใจให้กับซาตานแล้ว เงินสามสิบเหรียญที่ได้จากศัตรูมีความหมายมากกว่าชีวิตของพระอาจารย์


21* ยอห์น 12:27; มัทธิว 26:21; มาระโก 14:18; ลูกา 22:21; กิจการ 1:17. 22* ลูกา 22:23 23* ยอห์น 19:26; 20:2; 21:7, 20 ลูกา 16:22 25* มาระโก 4:36; ยอห์น 21:20 26 * มัทธิว 26:23; มาระโก 14:20; นางรูธ 2:14; มัทธิว 26:25; ยอห์น 6:71


ข้อ 27-30
พระเยซูทรงบอกให้ยูดาสไปทำตามแผนการของตนเอง แต่ทุกคนในที่นั้นยังไม่เข้าใจ แต่พระเยซูได้ทรงบอกศิษย์ที่เหลือว่า ทุกอย่างที่ทรงบอกในวันนี้ เมื่อเกิดขึ้นจริงในอนาคต พวกเขาจะเข้าใจว่ามันคืออะไร และทรงบอกให้มั่นใจด้วยว่า ถึงแม้พระองค์จะดูเหมือนพ่ายแพ้ แต่ศัตรูไม่ได้มีอำนาจเหนือพระองค์แม้แต่น้อย


27*ลูกา 22:3; 1 โครินธ์ 11:27; ลูกา 12:50 29* ยอห์น 12:6 ; ยอห์น 13:1; ยอห์น 12:5 30* 1 ซามูเอล 28:8



บัญญัติใหม่เพื่อเจ้า
ข้อ 31-35

หลังจากที่ยูดาสออกไป พระเยซูตรัสถึงพระเกียรติ หลายครั้ง เป็นพระเกียรติของพระบิดากับพระบุตรที่ส่งต่อกันและกัน เวลานั้น พวกศิษยไม่เข้าใจว่าพระเยซูทรงหมายถึงอะไร แต่สำหรับพระองค์ นั่นคือ ความอับอายที่พระองค์ต้องเผชิญต่อหน้าสาธารณชน มงกุฎหนาม การถูกเยาะเย้ย ความตายบนไม้กางเขน
นี่เป็นสภาพที่ใคร ๆ ก็เผชิญไม่ได้ แล้วพระเยซูก็ทรงให้คำบัญชาใหม่ที่พวกเขาคาดไม่ถึงนั่นคือ ให้พวกเขารักกันและกันเพื่อโลกจะได้รู้ว่า พวกเขาเป็นศิษย์ของพระองค์จริง ๆ และคำบัญชานี้ ก็มีเพื่อเราทุกคนในวันนี้ด้วย เป็นสิ่งที่ต้องฝึกฝน ต้องขอพระเจ้าให้เกิดขึ้นในชีวิตของเรา


31* ยอห์น 7:39; 14:13; 15:8; 17:1,4; 1 เปโตร 4:11 32* ยอห์น 17:1,5; ยอห์น12:23 33* ยอห์น 7:33-34; 8:21 34* 1 ยอห์น 2:7,8; ยอห์น 3:11; 2 ยอห์น 5; ยอห์น15:12,17; 1 ยอห์น 3:23; เลวีนิติ 19:18; โรม 16:8; โคโลสี 3:14; 1 เธสะโลนิกา 4:9; 1 ทิโมธี 1:5; ยอห์น 15:12; เอเฟซัส 5:2; 1 ยอห์น 4;10-11 35* 1 ยอห์น 3:14; ยอห์น4:20


ทรงบอกล่วงหน้าเรื่องเปโตร
ข้อ 36-38
เปโตรเองเป็นคนที่มีความตั้งใจจะติดตามพระองค์ เขาและเพื่อน ๆ คิดว่า พระเยซูกำลังจะออกเดินทางไปไหนสักแห่ง พระองค์ตรัสตอบชัดเจน พระองค์ทรงกำลังเดินไปสู่ความตาย
ไม่ใช่เป็นที่ ๆ เปโตรหรือใคร ๆ จะไปกับพระองค์เดิน ทางสายนี้มีพระองค์เดียวเท่านั้นที่จะไปได้
เปโตรเองมั่นใจมากว่า เขาสามารถพลีชีวิตให้กับพระองค์ได้ แต่หารู้ไม่ว่า เขาเองจะกลัวตายจนกระทั่งกล่าวว่า เขาไม่รู้จักพระองค์


36* ยอห์น 13:7; 7:34; 14:2; 21:18-19 2 เปโตร 1:14 37* มัทธิว 26:33-35; มาระโก 14:29-31; ลูกา 22:33-34 38* ยอห์น 18:27