กาลาเทีย 1 ข่าวประเสริฐแท้

ทักทายพี่น้อง

เปาโล อัครทูตที่ไม่ใช่มาจากมนุษย์หรือโดยมนุษย์แต่งตั้ง แต่โดยพระเยซูคริสต์และพระเจ้าพระบิดาผู้ทรงให้พระองค์คืนชีพจากความตาย และพี่น้องที่อยู่กับข้า มายังคริสตจักรกาลาเทีย
กาลาเทีย 1:1-2

กาลาเทีย 1:11-12; 1 โครินธ์ 1:1; กิจการ 9:15-16;โรม 1:1

ท่านเปาโลเป็นห่วงคริสตจักรในกาลาเทียเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่า มีคนสอนผิดไม่พอยังพยายามให้คนเลิกฟังข่าวประเสริฐที่ท่านประกาศไปก่อนหน้าไม่นานนัก คนเหล่านั้นพยายามให้พี่น้องที่เชื่อใหม่ทำตามบัญญัติเรื่องต่าง ๆ โดยบอกว่าการประพฤติตามบัญญัติจะทำให้รอด ท่านเปาโลได้ไปแถบกาลาเทียซึ่งอยู่ในเอเชียน้อยสองครั้ง (กิจการ16:6, 18:23) และท่านได้กล่าวชัดว่าท่านเป็นอัครทูตที่พระเยซูและพระบิดาทรงแต่งตั้ง

ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาและพระเยซูคริสต์เจ้าของเรามายังท่าน
พระเยซูประทานพระองค์เอง เพื่อบาปของเรา เพื่อกู้เราให้พ้นจากยุคที่ชั่วร้ายนี้ ตามพระประสงค์ของพระเจ้าพระบิดาของเรา ขอถวายพระสิริรุ่งโรจน์ตลอดไปเป็นนิตย์ อาเมน
กาลาเทีย  1:3-5

มัทธิว 20:28; กาลาเทีย 2:20;
โรม 11:36; ยูดา 1:25

คำอธิษฐานของท่านเปาโลเพื่อพี่น้องคือ ให้พวกเขามีพระคุณและสันติสุขของพระเจ้าเต็มล้นในชีวิตในสามข้อสั้น ๆ ท่านได้ทำให้เราเข้าใจได้ว่า พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะช่วยกู้เราจากโลกที่ชั่วร้าย. คนที่ถามว่าทำไมพระเจ้าปล่อยให้มีความตายหรือให้มีความทุกข์ยาก เป็นคำถามที่ต้องย้อนกลับไปดูตั้งแต่พระเจ้าทรงสร้างโลก ทรงประสงค์โลกที่สวยงาม เต็มด้วยความดีงามบรรพบุรุษคู่แรกของเราได้ทำบาป ความตายและความทุกข์ยากเข็ญความชั่วร้ายจึงเต็มโลกจนพระเจ้าทรงเสียพระทัยยิ่งนัก ปฐมกาล 6:5-6

ไม่มีข่าวประเสริฐอื่นใด

ข้าประหลาดใจที่ท่านละทิ้งพระองค์ผู้ทรงเรียกท่านด้วยพระคุณของพระคริสต์อย่างรวดเร็ว และหันไปหาข่าวประเสริฐแบบอื่น ความจริงนั้นไม่มีข่าวประเสริฐอื่นใดแต่มีบางคนต้องการทั้งกวนใจท่าน และบิดเบือนข่าวประเสริฐของ
พระเยซูคริสต์
กาลาเทีย 1:6-7

2 โครินธ์ 11:4; กาลาเทีย 5:7-8
กิจการ 15:24; กาลาเทีย 5:10

หลังจากที่ท่านเปาโลกล่าวอวยพรขอให้พระคุณและสันติสุขของพระเจ้าอยู่กับพวกเขา ท่านก็เข้าเรื่องเลย ดูเหมือนว่าท่านกำลังไม่สบายใจอย่างมากที่พี่น้องคริสเตียนแถบกาลาเทียกำลังสับสน ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรจึงถูกต้อง เมื่อมีคนเข้ามาสอนอีกแบบที่ไม่เหมือนท่าน ก็หลงเชื่อตามไปง่าย ๆ เป็นการหลงเชื่อที่อันตรายต่อชีวิตฝ่ายวิญญาณเสียด้วย ข่าวประเสริฐของพระเยซูมีแค่ไหน เราต้องเข้าใจให้ชัดเจนเพื่อว่าจะไม่หลงไปง่าย ๆ แบบพี่น้องเหล่านี้

ถึงแม้ว่าเราหรือทูตสวรรค์จะมาประกาศข่าวประเสริฐที่ ตรงข้ามกับข่าวประเสริฐที่เราประกาศ
ไปแล้วนั้น ก็ขอให้เขาถูกสาปอย่างที่เราได้พูดมาก่อนหน้านี้ เวลานี้ข้าก็ขอพูดอีก หากมีใครคนหนึ่ง ประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านที่ตรงข้ามกับที่ท่านเคยได้รับ ขอให้เขาถูกสาป
กาลาเทีย 1:8-9

2โครินธ์ 11:13-14; วิวรณ์ 22:18-19; 1 โครินธ์​16:22; สุภาษิต 30:6; วิวรณ์ 22:18-19

ข่าวประเสริฐเรื่องการรอดพ้นบาปโดยพระเยซูคริสต์นั้น ไม่มีแบบอื่น ไม่ต้องมีตัวกลางคนอื่นการเชื่อพระเยซูคริสต์ว่า พระองค์ทรงเป็นผู้รับ
โทษบาปของเราไปแล้วเป็นเรื่องที่ท่านเปาโลกำลังเน้นย้ำ ในโลกนี้ มีคนมากมายพยายามจะลดความหมายสำคัญที่ยิ่งใหญ่ของไม้กางเขน
ดังนั้น พวกเขาจึงพยายามหาเรื่องราวมาประกอบให้ความเชื่อในพระเยซูไขว้เขว บิดเบือนไปวันนี้เราไม่ต่างกับชาวกาลาเทีย มีคนที่เอาพระคัมภีร์ไปดัดแปลงและสอนให้คนอื่นเชื่อเช่นนั้น

บัดนี้ ข้ากำลังตามหาการยอมรับของมนุษย์หรือของพระเจ้ากัน?
หรือว่าข้าต้องการเอาใจมนุษย์?
หากข้าพยายามที่จะทำให้มนุษย์พอใจ ข้าก็ไม่ใช่ทาสรับใช้ของพระคริสต์
กาลาเทีย 1:10

1 เธสะโลนิกา 2:4; กิจการ 5:29; เอเฟซัส 6:6

ถ้าท่านเปาโลพยายามเอาใจมนุษย์ ท่านจะไม่สาป คนที่สอนข่าวประเสริฐผิด ๆ ท่านจะตามน้ำไปเพื่อไม่ให้ใครรู้สึกแย่ แต่ท่านไม่อาจทำอย่างนั้นเพราะข่าวประเสริฐแท้จริง ข่าวประเสริฐที่เป็นแผนการของพระเจ้าและมีพระเยซูทรงมาทำให้สำเร็จ เป็นทางเดียวที่มนุษย์จะได้รับความรอดไม่ใช่เชื่ออะไรตามใจมนุษย์ปั้นแต่งขึ้นมา ท่านถึงกับกล่าวว่า
หากตัวท่านเองบิดเบือนข่าวประเสริฐท่านก็สมควรถูกสาปแช่ง

ผู้ที่ทรงใช้ให้ไปประกาศ

พี่น้องเอ๋ย เพราะข้าอยาก
ให้ท่านทราบว่าข่าวประเสริฐ ที่ข้าประกาศไปนั้นไม่ใช่เป็นข่าวประเสริฐของมนุษย์ เพราะข้าไม่ได้รับสิ่งใดจากใครเลย และข้าไม่ได้รับคำสอนจากใคร แต่รับมาโดยการสำแดงของพระเยซูคริสต์
กาลาเทีย 1:11-12

1 โครินธ์ 11:23; เอเฟซัส 3:3-8;
กาลาเทีย 1:16; 2 โครินธ์ 12:1

ท่านเปาโลกำลังแจ้งให้ทราบว่า ข่าวประเสริฐที่ท่านเขียนในจดหมาย ที่ท่่านสอนในคริสตจักรนั้น ท่านไม่ได้เรียนมาจากโรงเรียนไหน อาจารย์ใดผู้ที่สอนท่านคือ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเยซูคริสต์ ท่านเปาโลเป็นคนหนึ่งที่โดดเด่นในการเป็นนักเรียนขององค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ท่ามกลางโลกที่เต็มด้วยคำสอนแปลก ๆ ตามความคิดของมนุษย์ ท่านเปาโลที่เก่งกาจในบทบัญญัติของโมเสส กลับไม่เรียนจากใคร แต่เรียนจากพระเจ้าโดยตรง

เพราะท่านรู้ถึงชีวิตในอดีต ตอนที่ข้าเชื่อศาสนายิวว่า ข้าได้ข่มเหงคริสตจักรของพระเจ้าอย่างรุนแรง และพยายามที่จะทำลายคริสตจักรด้วย
กาลาเทีย 1:13

กิจการ 8:3; 1 ทิโมธี 1:13; 1 โครินธ์ 15:9; กิจการ26:4-5

นักเรียนขององค์พระวิญญาณผู้นี้ เคยมีอดีตที่เป็นคนเชื่อศาสนายิว ถือกฎบัญญัติของโมเสสอย่างเคร่งครัด แดมยังมีกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ช่วยกันตั้งขึ้นมาในช่วง 400 ปีก่อนที่พระเยซูมาบังเกิด ท่านเปาโลเองตกอยู่ภายใต้กฎเหล่านี้ ท่านมองว่า การเชื่อพระเยซูเป็นสิ่งที่บ่อนทำลายศาสนายิว ดังนั้นจึงต้องกำจัดความเชื่อในพระเยซูให้สิ้นซาก

ข้ามีความเข้าใจลึกซึ้งในศาสนายิวมากกว่าคนพวกเดียว กันที่อายุเท่ากัน
ข้ากระตือรือร้นสุดโต่ง
เพื่อความเชื่อของบรรพบุรุษ
กาลาเทีย 1:14

กิจการ 26:5; 1 เปโตร 1:8; โคโลสี 2:8; ฟีลิปปี 3:4-6

เราจะเห็นชัดว่า ท่านเปาโลเป็นคนที่ไปจนสุด
ไม่ว่าในเรื่องอะไร เมื่อท่านข่มเหงคนของพระเจ้าท่านก็ทำอย่างสุดหัวใจ เมื่อท่านเรียนรู้บทบัญญัติของโมเสส ท่านก็มีความลึกซึ้ง
มีความเข้าใจมากกว่าเพื่อน ๆ รุ่นเดียวกัน
และยังมีแรงผลักดันที่จะให้ความเชื่อดั้งเดิม
นั้นคงอยู่อย่างมั่นคงด้วย ท่านได้ให้เราได้ทราบถึงเบื้องหลังของชีวิตท่านด้วยตัวเอง
นี่เป็นคำพยานของคนที่ต่อต้านพระเยซูอย่าง
สุด ๆ แล้วต้องมาสยบให้พระองค์

แต่เมื่อพระองค์ทรงพอพระทัย
พระเจ้าทรงเลือกข้าออกมา
จากครรภ์มารดา
ทรงเรียกข้ามาโดยพระคุณของพระองค์
กาลาเทีย 1:15

เยเรมีย์ 1:5; อิสยาห์ 49:1,5; 2 ทิโมธี 1:9

เมื่อเราได้ยินคำอธิบายนี้ เราก็ต้องย้อนไปดูว่า
พระเจ้าทรงทำอะไรก่อนทรงสร้างโลกนี้
เอเฟซัส 1:4 กล่าวว่า เพราะพระองค์ได้ทรง
เลือกเราไว้ในพระคริสต์ ตั้งแต่ก่อนที่พระองค์
ทรงสร้างโลก เพื่อห้เราบริสุทธิ์ และไร้ตำหนิ
ในสายพระเนตร… ทรงเลือกเรามานานแล้ว
และที่พระเจ้าทรงยอมให้ท่านเปาโลข่มเหงคนของพระองค์ก่อนที่จะมาถึงจุดนี้ล่ะ ท่านอธิบายว่าอย่างไร? ใน 1 ทิโมธี 1:16 เพื่อพวกเราจะได้เห็นว่า พระเจ้าทรงอดกลั้นแค่ไหนกับคนบาป

ทรงพอพระทัยที่จะสำแดงพระบุตรของพระองค์ในข้า เพื่อว่าข้าจะได้ประกาศพระองค์ท่าม กลางคนต่างชาติ
ตอนนั้นข้าไม่ได้ขอคำแนะนำจากใครเลย
กาลาเทีย 1:16

มัทธิว 16:17; เอเฟซัส 3:5-10, 6:12; 3:1

พระเจ้าทรงประสงค์ให้คนได้เห็นพระเยซูคริสต์ในตัวของท่านเปาโล ในอดีตท่านเป็นคนที่มองว่าคนต่างชาติเป็นคนต่ำกว่าคนยิว เป็นคนไร้ค่าแต่แล้วพระเจ้ากลับทรงใช้ท่านให้ไปปรนนิบัติคน
เหล่านั้น นี่เป็นการพลิกการมองโลกของท่าน
หน้ามือเป็นหลังมือ อีกประการ ท่านเปาโลได้รับความหมายของข่าวประเสริฐจากพระเยซูโดยตรง ท่านจึงไม่ได้ไปขอความเห็นจากอัครทูตที่มาก่อนเลย

และข้าก็ไม่ได้ขึ้นไปเยรูซาเล็ม
เพื่อพบกับท่านอัครทูตรุ่นพี่ แต่ข้าได้ไปที่อาราเบีย แล้วจึงกลับมาที่ดามัสกัส
3 ปีผ่านมา ข้าจึงขึ้นไปยังเยรูซาเล็มเพื่อเยี่ยมท่านเคฟาส และอยู่กับท่านอีก15 วัน และข้าไม่ได้พบอัครทูตท่านอื่น
นอกจากยากอบซึ่งเป็นน้องชายขององค์พระผู้เป็นเจ้า
กาลาเทีย 1: 17-19

2 โครินธ์ 11:32-33; กิจการ 9:20-25
กิจการ 22:17-18; 9:26-29

ท่านเปาโลมิได้เรียนรู้เนื้อหาข่าวประเสริฐที่
ท่านเขียนในจดหมายฝากต่าง ๆ จากมนุษย์
เพราะสิ่งที่ท่านเขียนนั้น อธิบายแผนการของพระเจ้าอย่างชัดเจน แตกต่างจากอัครทูตท่านอื่น ๆเราจะขาดจดหมายฝากของท่านเปาโลไม่ได้เลยเพราะจดหมายเหล่านั้น ทำให้รู้ซึ้งถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า ช่วยเพิ่มความเข้าใจชีวิตของพระเยซู รวมถึงเป้าหมายของพระเจ้าต่อโลกมนุษย์

สิ่งที่ข้าเขียนถึงท่านเหล่านี้ต่อพระพักตร์ของพระเจ้า ข้าไม่ได้มุสา
แล้วข้าก็เดินทางไปแคว้นซีเรียและซีซิเลีย
และข้าไม่เป็นที่รู้จักในคริสตจักรต่าง ๆ ที่อยู่ในพระคริสต์ ในแคว้นยูเดีย
กาลาเทีย 1:20-22

มัทธิว​ 13:55; มาระโก 6:3
โรม 9:1; 2 โครินธ์ 11:31
กิจการ 15:41; 9:30; 1 เธสะโลนิกา 2:14; โรม 16:7

ในช่วงเวลาแรก ๆ ที่กลับจากคนข่มเหงคริสตจักรมาเป็นคนที่ประกาศพระนามพระเยซูท่านเปาโลก็ไม่ได้เป็นที่รู้จักในคริสตจักรต่าง ๆ
ในยูเดียทางใต้ซึ่งมีเยรูซาเล็มเป็นศูนย์กลาง ท่านเริ่มไปประกาศสั่งสอนข่าวประเสริฐที่ท่านเรียนจากพระเจ้าโดยตรง ทางเหนือของอิสราเอลคือที่ซีเรีย และ ซีซิเลียซึ่งแคว้นนี้เป็นที่ตั้งของเมืองทารซัส บ้านเกิดของท่านเอง

พวกเขาได้ยินว่า “คนที่เคยข่มเหงพวกเรา บัดนี้ กำลังเทศนาถึงความเชื่อที่ครั้งหนึ่ง เขาพยายามทำลาย”และพวกเขาก็ถวายพระสิริแด่พระเจ้าเพราะข้า
กาลาเทีย 1:23-24

1 โครินธ์ 15:8-10; กิจการ9:13; 1 ทิโมธี
1:13-16; กิจการ 11:18; ลูกา 15:32, 15:10

จะเห็นได้จากพระคำตอนนี้ว่า ผู้ที่มีชัยชนะคือองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ทรงอดกลั้นพระทัยต่อท่านเปาโล ในยามที่ท่านทำร้ายพระองค์ แม้ว่าพระองค์ทรงเรียกท่านเปาโลมานานพระองค์ทรงทำให้ท่านเองรู้ว่า ตัวจริงของท่าน
เป็นคนอย่างไร โหดร้ายต่อคนอื่นเมื่อพวกเขา
ไม่เชื่อเหมือนตนเอง และเมื่อถึงเวลาอันพอเหมาะพระเจ้าก็ทรงทำให้ท่านเข้าใจว่า ความรักของพระเจ้าไม่บังคับ ขู่เข็ญเหมือนที่ท่านเคยทำและคนทั้งหลายที่เห็นการเปลี่ยนแปลงในชีวิตก็กลับมาสรรเสริญพระเจ้า

1 เธสะโลนิกา 1 ตัวอย่างที่เยี่ยมยอด

จากเปาโล สิลาส และทิโมธี ถึง
คริสตจักรเมืองเธสะโลนิกา ซึ่งอยู่ในพระเจ้าพระบิดา และพระเยซูคริสต์เจ้า ขอพระคุณ และสันติสุขจาก พระเจ้าพระบิดาของเรา และจากพระเยซูคริสตเจ้ามาถึงพวกท่าน
1 เธสะโลนิกา 1:1

กิจการ 16:19-30, 1 เธสะโลนิกา 3:2

สิลาส เคยเข้าคุกพร้อมท่านเปาโล
ส่วนทิโมธี พ่อเป็นกรีก แม่เป็นยิว
รักพระเจ้ามาตั้งแต่เด็ก
และเดินทางไปประกาศกับเปาโลหลายแห่ง ท่านเคยส่งเขาไปรับใช้ในเมืองเธสะโลนิกาด้วย

เราขอบพระคุณพระเจ้า
เพราะท่านทุกคนอย่างต่อเนื่อง เมื่อเราอธิษฐาน
ก็เอ่ยถึงท่านเสมอ
1 เธสะโลนิกา 1:2

โรม 1:8 ,กิจการ 17:1-9

ที่เมืองเธสะโลนิกา ท่านเปาโลไปประกาศ หลายคนกลับมาเชื่อ แต่ก็มีเรื่องวุ่นวาย พระเจ้าทรงให้ เกิดผล ท่านเปาโล และเพื่อนร่วมงานของท่าน อธิษฐานเผื่อ ขอบพระคุณเพราะพวกเขาไม่หยุดหย่อน นี่เป็นต้นแบบการทำงาน รับใช้แล้ว ก็ยังอธิษฐานเผื่อต่อไป

ต่อพระพักตร์พระเจ้าของเรา และพระบิดา เราไม่หยุดที่จะระลึกถึงการกระทำที่เกิดจากความเชื่อ ทั้งหยาดเหงื่อแรงงานที่เกิดจากความรัก และความอดทนที่เกิดจากความหวังในพระเยซูคริสตเจ้าของเรา
1 เธสะโลนิกา 1:3

ยอห์น 6:29, โรม 16:6

ท่านเปาโลไม่อาจลืมคริสเตียนในคริสตจักรเมืองเธสะโลนิกาได้ เพราะการกระทำ การงาน ความ
อดทนของพวกเขา เหนือชั้นจริง ๆ เราจะเห็นสามสิ่งที่สำคัญ คือ ความเชื่อ ความรัก และความหวัง ในพวกเขาเหล่านี้ นี่เป็นสูตรของชีวิตเราเช่นกัน

พี่น้องที่รักของพระเจ้า เรารู้ว่า ท่านได้รับการทรงเลือกจากพระ องค์แล้ว เพราะข่าวประเสริฐไม่ได้มาถึงท่านแค่ถ้อยคำเท่านั้น แต่มาพร้อมกับฤทธิ์พระวิญญาณบริสุทธิ์ และเต็มเปี่ยมด้วยความมั่นใจ ตามที่ท่านรู้ว่า เพราะเห็นแก่ท่าน พวกเราเป็นคนอย่างไรท่ามกลางพวกท่าน
1 เธสะโลนิกา 1:4-5

โคโลสี 3:12, มาระโก 16:20, 2 โครินธ์ 6:6, ฮีบรู 2:3

ท่านเปาโลแน่ใจได้อย่างไรว่า พระเจ้าทรงเลือกพี่น้องชาวเธสะโลนิกาจริง? เพราะพระเจ้าทรงรักพวกเขา และพวกเขาได้
ตอบรับถ้อยคำของพระเจ้าอย่างมั่นใจ ได้มาพร้อมกับฤทธิ์พระวิญญาณที่เปลี่ยนชีวิต พวกเขาทำงานด้วยความรัก ความหวังใจในพระเจ้า

และท่านได้เลียนแบบชีวิตของเราและองค์พระผู้เป็นเจ้า ถึงแม้ถูกกดขี่ข่มเหงอย่างรุนแรง แต่ท่านยังต้อนรับพระคำด้วยความยินดีในพระวิญญาณบริสุทธิ์ ท่านได้กลายเป็นตัวอย่างให้กับผู้เชื่อทุกคนในแคว้นมาซิโดเนีย และอาคายา
1 เธสะโลนิกา 1:6-7

ลูกา 6:22, มัทธิว 5:10-12, 1 โครินธ์ 4:6, 11:1,กิจการ 5:41,13:52

คนที่รับพระคำของ พระเจ้าโดยไม่ย่อท้อแม้มีความลำบาก เป็นผู้เชื่อ ที่เข้มแข็ง อดทน คนเหล่านี้ จะได้รับบำเหน็จของพระเจ้าที่เหนือคนทั่ว ๆ ไปด้วยซ้ำ ในหลายประเทศที่ห้ามออกชื่อพระนามเยซู อย่าได้เอ่ยนามนี้ จะต้องโดนขัง โดนทำโทษ เราพบว่ามีผู้เชื่อจำนวนมากมายที่ต้องหนีจากบ้านเกิดเมืองนอน เพื่อจะได้นมัสการ พระเจ้าอย่างอิสระ พระคำตอนนี้จึงเป็นพระคำสำหรับยุคปัจจุบันอย่างแท้จริง

เพราะพระคำของพระเจ้าได้เลื่องลือออกไปจากพวกท่าน ไม่เฉพาะในแคว้นมาซิโดเนีย กับแคว้นอาคายาเท่านั้น แต่ความเชื่อของท่านเป็นที่รู้กันทุกแห่ง เราจึงไม่จำเป็นต้องกล่าวอะไรอีก
1 เธสะโลนิกา 1:8

โรม 10:18, 1:8,16:19

เมื่อใครคนหนึ่งเชื่อพระเจ้า เมื่อเขารู้ว่า พระเจทรงยิ่งใหญ่ เขาก็อดไม่ได้ที่จะแบ่งปันสิ่งดีที่สุด
ในชีวิตให้กับคนรอบข้าง อดไม่ได้ที่ชีวิตเปลี่ยน แปลงจะเป็นที่กล่าวขานไปทั่ว บางที เรามารู้จักพระเจ้า แต่นิสัยใจคอไม่เปลี่ยน
ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เราต้องหันกลับมาคิด ดี ๆ ว่า เราพบพระองค์จริงหรือเปล่า

เพราะคนเหล่านั้น รายงานเรื่องของเราว่า ท่านต้อนรับเราอย่างไร และท่านได้หันจากรูปเคารพ มาหาพระเจ้า เพื่อรับใช้พระเจ้าเที่ยงแท้ผู้ทรงพระชนม์อย่างไร
1 เธสะโลนิกา 1:9

1 เธสะโลนิกา 2:1, 1 โครินธ์ 12:2

การรับเชื่อพระเจ้าครั้งนี้ของพวกเขา ไม่ปลอม แต่เป็นจริง เพราะเห็นได้ว่า เขาได้หันหลังให้กับชีวิตแบบเดิม ที่ผ่านมาเราพบว่า เมื่อใครคนหนึ่งมีประสบการณ์ กับพระเจ้าจริง ๆ เขาก็ไม่อาจทนมีชีวิตกับรูป เคารพเหล่านั้นได้อีกเลย

และตั้งตาคอยพระบุตรของพระเจ้าจากสวรรค์ คือพระเยซูผู้ที่พระองค์ทรงให้คืนชีพขึ้นมา พระเยซูองค์นี้จะทรงช่วยกู้เราให้พ้นจากพระพิโรธที่กำลังจะมา
1 เธสะโลนิกา 1:10

โรม 2:7, โรม 5:9

คำว่าตั้งตาคอยนี้ คือ เรารอการเสด็จมาของพระเจ้าอย่างกระตือรือร้น รอด้วยความหวังใจ ซึ่งจะส่งผลให้เรามีชีวิตที่มีชีวิตชีวา เร่าร้อนในการรับใช้ ที่พระเยซูทรงช่วยให้พ้นจากพระพิโรธก็เพราะ ทรงรับโทษบาปของคนที่เชื่อในพระองค์ไปแล้วที่ไม้กางเขน เราจึงไม่ต้องกลัว พระพิโรธของพระเจ้าอีกต่อไป

มาระโก 1 บุรุษผู้มาเตรียมทาง

มาระโก 1:1-8
คำประกาศของยอห์นผู้ให้บัพติศมา

1 จุดเริ่มต้นข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์พระบุตรพระเจ้า
2 อิสยาห์ผู้เผยพระคำ เขียนไว้ว่า “ดูเถิด เราจะส่งผู้สื่อสารของเราไปล่วงหน้าเจ้า เขาจะเตรียมทางให้เจ้า” 
3 เสียงของผู้ร้องในถิ่นกันดารว่า “จงเตรียมทางขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้พร้อม  จงทำทางของพระองค์ให้ราบตรงไป” 
 
4 ยอห์นผู้ให้บัพติศมาในถิ่นกันดาร และประกาศการบัพติศมาแห่งการกลับใจ เพื่อรับการอภัยบาป
5 และคนในเมืองต่าง ๆ ของยูเดีย รวมทั้งชาวเมืองเยรูซาเล็มพากันออกไปหาท่าน รับบัพติศมาที่แม่น้ำจอร์แดน สารภาพบาปของตน 
6 ยอห์นสวมเสื้อขนอูฐ มีสายหนังรัดเอว กินจักจั่นและน้ำผึ้งป่าเป็นอาหาร
7 เขาประกาศว่า “หลังจากข้า ท่านผู้หนึ่งที่มีฤทธิ์ยิ่งกว่าข้าจะเสด็จมา ข้าไม่สมควรแม้จะก้มลงปลดสายรัดรองเท้าของท่าน
8 ข้าได้ให้บัพติศมาแก่พวกเจ้าด้วยน้ำ แต่พระองค์จะบัพติศมาเจ้าด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ 
————————————————————————————

เรื่องเดียวกันนี้ มีบันทึกไว้ที่ มัทธิว 3:1-12,ลูกา 3:1-18, ยอห์น 1:19-23

มาระโก 1:9-13 พระเยซูในถิ่นกันดาร

9 เวลานั้น พระเยซูทรงมาจากนาซาเร็ธ แคว้นกาลิลี และทรงรับบัพติศมาจากยอห์นในแม่น้ำจอร์แดน
10 ทันทีที่พระองค์ทรงขึ้นจากน้ำ  ทรงเห็นสวรรค์เปิดออก และพระวิญญาณดั่งนกพิราบทรงลงมาเหนือพระองค์ 
11 และมีพระสุรเสียงมาจากสวรรค์ 
“เจ้าเป็นลูกชายที่รักของเรา เจ้าเป็นคนที่เราพอใจยิ่งนัก”
12 ทันใดนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงผลักดันให้พระองค์ออกไปยังถิ่นกันดาร 
13 และพระองค์ทรงอยู่ในถิ่นกันดารสี่สิบวัน ซาตานมาหลอกล่อทดลองพระองค์ ทรงอยู่กับเหล่าสัตว์ป่า และทูตสวรรค์ได้มาปรนนิบัติพระองค์

มาระโก 1:14-20
พระเยซูทรงเรียกชาวประมง 4 คน

14 หลังจากที่ยอห์นถูกจับไปขัง  พระเยซูทรงเข้ามาในแคว้นกาลิลี  ประกาศพระกิตติคุณของพระเจ้า
15 ตรัสว่า “สำเร็จตามเวลาที่กำหนดแล้ว อาณาจักรของพระเจ้าใกล้เข้ามามากแล้ว  จงกลับใจ และเชื่อข่าวประเสริฐเถิด”
16 ขณะที่พระองค์ดำเนินไปตามชาย ฝั่งทะเลกาลิลี  ทรงเห็นซีโมนและอันดรูว์น้องชายของเขา กำลังทอดอวนในทะเล เพราะพวกเขาเป็นชาวประมง
17 พระเยซูตรัสว่า “จงตามเรามา และเราจะให้เจ้ากลายเป็นผู้ที่นำพาผู้คนมาหาเรา”
18 ทันใดนั้นเขาก็ทิ้งอวนของเขา และตามพระองค์ไป 
19 และพระองค์ดำเนินต่อไปอีกหน่อย ทรงเห็นยากอบลูกชายของเศเบดี กับยอห์นน้องชายของเขา กำลังซ่อมอวนของเขาในเรือ
20 ทรงเรียกเขาทันที และเขาก็ลาจากเศเบดีบิดาของพวกเขาให้ท่านอยู่กับลูกจ้าง และติดตามพระองค์ไป

มาระโก 1:21-28 ปราบผีโสโครก 

21 และพวกเขาไปยังเมืองคาเปอร์นาอูม และถึงวันสะบาโต พระองค์ทรงเข้าไปสอนในธรรมศาลาทันที
22 และผู้คนต่างตื่นใจประทับใจกับคำสอนของพระองค์  เพราะทรงสอนด้วยสิทธิอำนาจ ไม่เหมือนกับที่
ธรรมาจารย์สอน
23  ในธรรมศาลาเวลานั้นเอง มีชายคนหนึ่งถูกวิญญาณโสโครกเข้าสิง เขาร้องออกมาว่า 
24 “ท่านเยซูแห่งนาซาเร็ธ เรื่องอะไรท่านจึงมายุ่งวุ่นวายกับพวกเรา?
ท่านจะมาล้างผลาญเราหรือ? ข้ารู้ว่าท่านคือใคร ท่านคือองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า”
25 “เงียบได้แล้ว!” พระเยซูทรงสั่งมัน “จงออกมาจากเขา!”
26 แล้ววิญญาณนั้นก็ทำให้ชายคนนั้นชักตัวสั่น ร้องเสียงดังลั่น แล้วมันก็ออกมาจากเขา
27 คนทั้งหลายก็แปลกประหลาดใจนัก พวกเขาถามกันว่า “นี่มันอะไรกัน   คำสอนใหม่ที่มีพลังอำนาจ! ท่านเยซูทรงไล่วิญญาณโสโครกให้ออกมา   และมันก็เชื่อฟังท่าน
28 และชื่อเสียงของพระองค์ก็เลื่องลือออกไปทั่วแคว้นกาลิลีอย่างรวดเร็ว

มาระโก 1:29-39
ทรงรักษาคนป่วยมากมาย/เวลาส่วนพระองค์

29 จากนั้นพระองค์ทรงออกมาจากศาลาธรรมและเข้าไปในบ้านของซีโมนและอันดรูว์ พร้อมด้วยยากอบและยอห์น
30 ตอนนั้น แม่ยายของซีโมนนอนป่วย มีไข้ พวกเขาจึงทูลพระองค์เรื่องนี้ทันที 
31 พระองค์ทรงไปดูเธอ และทรงจับมือเธอให้ลุกขึ้น  ไข้ก็หายจากเธอทันที และเธอก็ต้อนรับเลี้ยงดูพวกเขาทุกคน
32 คืนนั้นเมื่อตะวันตกดิน ผู้คนนำคนป่วยและคนที่ถูกวิญญาณชั่วรังควาญมาหาพระองค์ 
33 คนทั้งเมืองต่างมาชุมนุมกันที่ประตู
34 พระองค์ทรงรักษาเหล่าคนป่วยด้วยโรคต่าง ๆ และทรงขับผีหลายตน และพระองค์ไม่อนุญาตให้วิญญาณเหล่านั้นกล่าวอะไรออกมา เพราะว่ามันรู้ว่า พระองค์คือผู้ใด
เช้ามืดกับพระเยซู
35 เวลาเช้ามืด พระเยซูทรงลุกขึ้นเสด็จออกจากบ้าน ไปยังที่ ๆ ไม่มีคน ทรงอธิษฐานที่นั่น
36 และซีโมนกับคนอื่น ๆ ก็ออกตามหาพระองค์
37 เมื่อพบพระองค์จึงทูลว่า “ทุกคนกำลังตามหาพระองค์อยู่”
38 พระองค์ตรัสกับเขาว่า “พวกเราไปยังเมืองต่อไปกันเถอะ เราจะได้เทศนาที่นั่นด้วย  ที่เรามาก็เพราะเหตุนั้น”
39 ดังนั้น พระองค์ก็เสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลี ทรงเทศนาในศาลาธรรมของพวกเขา และทรงไล่ผีออกจากผู้คน

มาระโก 1:40-45
คำขอร้องจากชายโรคเรื้อน
 

40 มีชายโรคเรื้อนคนหนึ่ง มาหาพระเยซู ทูลอ้อนวอนโดยคุกเข่าลงว่า“หากท่านประสงค์  ท่านก็ทำให้ข้าพเจ้าสะอาดได้”
41 พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์ออกด้วยพระทัยสงสาร แตะต้องตัวและตรัสกับเขาว่า “เราต้องการเช่นนั้น จงหายสะอาดเถิด”
42 ทันใดนั้น โรคเรื้อนก็หายไปจากตัวเขา  เขาได้รับการชำระให้สะอาด
43 และพระเยซูทรงกำชับเขา ทรงส่งเขาออกไปทันที
44 ตรัสกับเขาว่า “เจ้าต้องไม่บอกเรื่องนี้กับใคร แต่ไปแสดงตัวให้แก่ปุโรหิตและถวายเครื่องบูชาที่เจ้าได้รับการชำระแล้วตามบัญญัติของโมเสส เป็นการยืนยันให้ทุกคนได้รู้”
45 แต่เขากลับออกไปและพูดเรื่องนี้ตามใจตัวเอง เพื่อปล่อยข่าวออกไปทั่ว จนกระทั่งพระเยซูไม่อาจเสด็จเข้าเมืองอย่างเปิดเผยได้  แต่พระองค์ทรงอยู่ในที่ ๆ ห่างไกลผู้คน และประชาชนก็มาหาพระองค์จากทุกสารทิศ

คำอธิบายและพระคำเชื่อมโยง

ข้อ 1-8 คำประกาศของยอห์นผู้ให้บัพติศมา
ข้อ 1 
มาระโกเริ่มบันทึกเรื่องราวของพระเยซูคริสต์.. ด้วยคำว่า จุดเริ่มต้นของข่าวประเสริฐ คือท่านกำลังบอกว่าจะเล่าเรื่องราวพระบุตรของพระเจ้า  พระเยซูคริสต์
พระนามของพระองค์นั้น เรียกแตกต่างกัน แต่คือพระเยซูองค์เดียวกัน 
ไทยเรียกพระเยซูคริสต์ (เมื่อไรที่เรียกว่าพระคริสต์ มาจากรากภาษากรีกว่า คริสโตส  ส่วนเมื่อเรียกพระเมสสิยาห์ มาจากภาษาฮีบรูว่า ฮามาชิอัค) มาระโกย้ำว่า พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า  ทรงมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าในฐานะทรงเป็นพระบุตร
ลูกา 3:22 พระวิญญาณตรัส.. ท่านนี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราพอใจท่านมาก
มัทธิว 14:33 ศิษย์พบพระเยซูดำเนินบนทะเล พวกเขากล่าวว่า “พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าจริง”


ข้อ 2-3
ยอห์นผู้ให้บัพติศมาท่านนี้ เป็นคนที่พระเจ้าทรงสัญญาว่า จะส่งมาก่อนเพื่อเตรียมใจคนอิสราเอลให้ตอบรับสิ่งที่พระเยซูจะทรงทำให้พวกเขาต่อไป   พระเจ้าไม่ได้ทรงส่งพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดมาผู้เดียว แต่ส่งยอห์นผู้ให้บัพติศมา มาก่อนล่วงหน้า ประกาศก่อน ส่งข่าวให้รู้ก่อน 
มาลาคี 3:1 พระเจ้าตรัสเราจะส่งคนมาเตรียมทาง
อิสยาห์ 40:3  จงเตรียมทางของพระเจ้าในถิ่นกันดาร ให้ตรงไปในทะเลทราย


ข้อ 4-6
ชื่อของยอห์นผู้ให้บัพติศมา  ถ้าเป็นฮีบรูเรียก โยฮานัน แปลว่า พระเจ้าทรงพระคุณ เรื่องราวความเป็นมาของยอห์น ท่านลูกาได้เขียนไว้อย่างละเอียด พ่อของท่านเป็นปุโรหิต ส่วนแม่ก็สืบเชื้อสายมาจากอาโรน การกินอยู่ของท่านนั้นทำให้รู้ว่าท่านไม่ได้สนใจชีวิตส่วนตัวหรือการสร้างครอบครัว หรือทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงชีพเหมือนคนอื่น ๆ  ทำให้เราคิดไปถึงท่านเอลียาห์สมัยพระคัมภีร์เดิม (2 พงศ์กษัตริย์ 1:8)   การรับใช้พระเจ้าของยอห์นไม่เหมือนเหล่าธรรมาจารย์ที่สอนบัญญัติโมเสส
ท่านให้บัพติศมาที่แตกต่างจากพิธีของยิวซึ่งทำพิธีแบบนี้เพื่อให้คนต่างชาติได้ประกาศตนว่า ได้เข้ามาเชื่อแล้ว  การที่ยิวจะเข้าพิธีบัพติศมาเท่ากับว่า ตนเองยอมรับว่าเป็นคนบาปเหมือนกับคนต่างชาติ เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ยากมาก แต่ยอห์นกลับได้คนยิวไม่น้อยมารับบัพติศมาเพื่อประกาศว่าตนกลับใจจากบาปแล้ว นี่คือการเตรียมใจพวกเขาให้พร้อมก่อนที่จะพบองค์พระเมสสิยาห์  อย่าลืมว่าใจของคนยิวนั้นแข็งและดื้อมาก พวกเขาต่อสู้กับพระเจ้าเสมอมา
มัทธิว 3:1-5 เนื้อหาเรื่องยอห์นมาประกาศ 

ข้อ 7-8
แม้ว่ายอห์นจะนำคนเป็นจำนวนมากกลับใจ แต่ท่านก็ถ่อมตนยิ่งนัก  หลังจากที่พระเยซูเสด็จสู่สวรรค์ พระองค์ก็ทรงบัพติศมาเหล่าผู้เชื่อด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ตามที่ยอห์นได้กล่าวไว้ 
กิจการ 1:5,8  พระเยซูตรัส ..ไม่ช้าเจ้าจะได้รับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณ
กิจการ 11:6  ข้าพเจ้านึกได้ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ยอห์นให้บัพติศมาด้วยน้ำ แต่พวกเจ้าจะได้รับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์
อิสยาห์ 44:3 เราจะเทน้ำลงบนดินกระหาย เทวิญญาณของเราเหนือเชื้อสายของเจ้า 

มาระโก 1:9-12
บัพติศมาในจอร์แดน พระเยซูในถิ่นกันดาร
 

มาระโก 1:9-13 พระเยซูในถิ่นกันดาร
ข้อ ​9
พระเยซูทรงใช้ชีวิตที่เมืองนาซาเร็ธก่อนที่จะทรงออกประกาศแผ่นดินของพระเจ้าในสามปีหลัง เป็นเมืองอยู่ทางเหนือของเยรูซาเล็ม ห่างไปประมาณ 113 กิโลเมตร  แม้ว่ายอห์นจะไม่เห็นด้วยเพราะพระองค์ทรงเป็นลูกแกะของพระเจ้าที่ไร้บาป (ยอห์น 1:29) แต่พระองค์ก็ทรงรับบัพติศมาจากยอห์น พระองค์เองตรัสว่า “สมควรที่จะทำเช่นนี้ เพื่อให้ความชอบธรรมทั้งสิ้นสำเร็จครบถ้วน” 

พระเยซูทรงถูกนับเข้ากับคนบาป เสมือนว่าเป็นคนบาป เยซูเป็นชื่อธรรมดาในสมัยนั้น  แต่มาระโกเติมคำว่า คริสต์ คือ เยซูผู้ถูกพระเจ้าทรงเจิมอย่างชัดเจน   พระองค์มาจากนาซาเร็ธที่ใคร ๆ ดูหมิ่น  และตามธรรมเนียมของรับบีแล้ว แม่น้ำจอร์แดนก็ไม่ใช่แม่น้ำสำหรับการชำระบาปด้วย 
มัทธิว 3:13-17   การรับบัพติศมาจากยอห์น
ลูกา 3:21-22  การรับบัพติศมาจากยอห์น


ข้อ 10
ทันทีที่ทรงขึ้นจากน้ำ ทุกคนในที่นั้นก็ได้ยินเสียงจากสวรรค์ ได้เห็นพระวิญญาณดั่งนกพิราบมาเหนือพระเยซู นี่ทำให้เราเห็นสัญลักษณ์ว่า พระองค์ทรงเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมเพื่อสิ่งที่จะทรงทำต่อไป  และพระคัมภีร์ตอนนี้เองที่เราเห็นองค์ตรีเอกานุภาพอยู่พร้อมกันอย่างชัดเจน พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์
จากข้อ 1-11   เราเห็นคำพยานจากสี่ท่าน    มาระโกกล่าวว่าพระองค์คือพระผู้ถูกเจิม (คริสต์หรือคริสโตส หรือเมสสิยาห์ หมายถึงผู้ที่พระเจ้าเจิม)  อิสยาห์กล่าวว่าพระองค์คือองค์พระผู้เป็นเจ้า
ยอห์นผู้ให้บัพติศมากล่าวว่าทรงยิ่งใหญ่กว่าเขานัก  พระบิดาตรัสว่า ทรงเป็นบุตรชายที่รัก
นกพิราบเป็นสัตว์ที่อ่อนโยน ไม่โจมตีทำร้าย แต่มันเป็นสัตว์ที่ยอม
เอเสเคียล 1:1 ฟ้าสวรรค์เปิด และเอเสเคียลเห็นนิมิตจากพระเจ้า
ยอห์น 1:32  ฟ้าเปิด และพระเจ้าตรัสถึงพระเยซู 
กิจการ 10:38 พระเจ้าทรงเจิมตั้งพระเยซูด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ 
สดุดี 2:7 พระเจ้าตรัสกับข้าฯว่า เจ้าเป็นบุตรของเรา วันนี้เราเป็นบิดาของเจ้า 
อิสยาห์ 42:1 เขาคือผู้รับใช้ที่เราเชิดชู ผู้เลือกสรรที่เราปีติ ..เขาจะส่งความยุติธรรมออกไป

ข้อ 12 
พระวิญญาณทรงเร้าให้พระเยซูออกไปในถิ่นกันดารทันที ซึ่งก็คงจะอยู่ใม่ห่างจากสถานที่ ๆ รับบัพติศมามากนัก  คำที่มาระโกใช้บอกเราว่า พระวิญญาณทรงผลักดันพระเยซูอย่างจริงจัง ทันควัน   พระเยซูทรงเป็นเหมือนคนบาปเมื่อทรงรับบัพติศมา และบัดนี้ทรงอยู่ในถิ่นกันดารกับมาร เท่ากับพระเยซูทรงพบการล่อลวงเช่นเดียวกับเราทุกคน 
มัทธิว 4:11  การล่อลวงของมารและการตอบโต้ของพระเยซู
ลูกา 4:1-13 รายละเอียดการล่อลวงของมาร และการตอบโต้ของพระเยซู

ฮีบรู 4:15  พระเยซูทรงเข้าพระทัยเมื่อเราถูกล่อลวง แต่พระองค์ไม่ได้ทำบาปเมื่อถูกล่อลวง

ข้อ 13  
เหมือนเปิดศึกแรกกับอำนาจมืดอย่างเป็นทางการเลยทีเดียว ซาตานผู้นี้เป็นศัตรูกับพระเจ้ามานานมากและมันพยายามจริงจังที่จะให้พระเยซูเลิกทำสิ่งที่พระเจ้าทรงใช้พระองค์มา  สี่สิบวันในที่ร้างเปล่านั้น พระองค์ไม่ได้เสวยอาหาร ทรงอยู่กับสัตว์ป่า และทูตสวรรค์ ไม่มีผู้คนมาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้  สี่สิบวัน เป็นจำนวนที่มักจะหมายถึงการทดสอบหรือการถูกพิพากษา อย่างเช่นคนอิสราเอลต้องอยู่ในถิ่นกันดาร 40  ปี 
การที่บอกว่า “พระเยซูทรงอยู่กับเหล่าสัตว์ป่า”ใช้ภาษาที่บอกว่า พระองค์อยู่กับมันอย่างเป็นสุขไม่ใช่ต้องคอยระวังไม่ให้มันทำร้าย และการที่ทูตสวรรค์มาปรนนิบัติพระองค์หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้  ทำให้เรารู้ว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าเหนือสรรพสัตว์ และโลกฝ่ายวิญญาณ
มัทธิว 4:10-11 พระเยซูทรงไล่มารออกไป
======================================================================================

ข้อ 14-20 พระเยซูทรงเรียกชาวประมง 4 คน
ข้อ 14
ที่ยอห์นถูกจับไปขังเพราะไปติเตียนเฮโรดเนื่องจากแต่งงานกับน้องสะใภ้ของตัวเอง คนที่อาฆาตคือฝ่ายหญิงไม่ใช่เฮโรด  เฮโรดเองสนใจที่จะฟังยอห์นเพราะสงสัย อยากรู้ในช่วงเวลานั้นเอง พระเยซูก็ทรงเดินทางไปตามแคว้นกาลิลีทางเหนือซึ่งมีประชาชนอาศัยอยู่หนาแน่น ประกาศเรื่องความรอดของพระเจ้า
มัทธิว 4:12 มีข่าวว่า ยอห์นถูกจับกุม พระเยซูก็ทรงเริ่มประกาศข่าวประเสริฐ
มัทธิว 4:23 พระเยซูทรงสอนตามศาลาธรรมทั่วไปในกาลิลี ประกาศข่าวประเสริฐและรักษาโรค


ข้อ 15
ถึงเวลาที่กำหนดของพระเจ้า  เป็นยุคที่พระเจ้าจะทรงจัดการกับมนุษย์แตกต่างออกไปจากสมัยพระคัมภีร์เดิมที่มี ผู้เผยพระคำ ปุโรหิตและกษัตริย์  เพราะองค์กษัตริย์ที่พระเจ้าทรงเจิมทรงมาในโลกแล้ว   พระเจ้าทรงเสนอความรอดให้กับประชาชน พวกเขาต้องกลับใจเปลี่ยนความคิดและเชื่อสิ่งที่พระองค์ทรงสอน  พระองค์ไม่ทรงต้องการให้เขาพลาดโอกาสนี้
เมื่อพระเยซูตรัสว่า จงกลับใจ  แปลว่า พวกเขาจะมีชีวิตเหมือนเดิมไม่ได้แล้วหากตั้งใจจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้า กลับใจเป็นคำที่ต้องลงมือทำจริง ๆ ไม่ใช่แค่คิดกลับใจ เสียใจที่ทำผิดเท่านั้น เขาต้องเปลี่ยนใจ เปลี่ยนทิศทางของชีวิต 
เมื่อพระเยซูตรัสว่า ให้เชื่อข่าวประเสริฐ การเชื่อข่าวประเสริฐไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงศีลธรรม แต่เป็นการวางใจพระเจ้า เชื่อพระวาจา และมีสัมพันธ์สนิทกับพระองค์
กาลาเทีย 4:4 เมื่อครบกำหนดเวลา พระเจ้าทรงส่งพระบุตรลงมา
ทิตัส 1:3 เมื่อเวลาเหมาะ พระเจ้าให้พระวจนะของพระองค์ปรากฏ ให้ข้าพเจ้าประกาศ 

เอเฟซัส 1:10 เมื่อถึงเวลาอันควร พระเจ้าจะให้สรรพสิ่งในโลกและสวรรค์มาสยบต่อพระเยซู

ข้อ 16 
ย้อนกลับไปดูที่ยอห์น 1:35-4:54 พระองค์ทรงพบซีโมนและอันดรูว์มาแล้ว
แปลกที่พระเยซูทรงเลือกชาวประมงที่ไม่ได้เรียนในศาลาธรรม แต่เป็นคนธรรมดาที่ทำงานหาเช้ากินค่ำ  พวกเขาต้องมีคุณสมบัติที่ดีบางอย่างที่เหมาะกับการเป็นผู้ประกาศนำคนมาหาพระเจ้า เขาทำงานร่วมมือกัน  เขาต้องช่วยเหลือกัน มีความอดทน มีพลัง มีความทรหด หนักเอาเบาสู้ ทำงานทุกอย่างไม่เกี่ยงกัน  ส่วนเรื่องที่เขาต้องเรียนรู้จักพระเจ้านั้น พระเยซูจะทรงช่วยพวกเขาเอง
มัทธิว 4:18-22  ศิษย์กลุ่มแรกที่ตามพระเยซู 
ลูกา 5:2-11  ศิษย์กลุ่มแรกที่ตามพระเยซู เหตุการณ์จับปลาได้มากมาย
ยอห์น 1:40-42 ศิษย์กลุ่มแรกที่ตามพระเยซู


ข้อ 17-18 
จงตามเรามา … นี่เป็นหัวใจของชีวิตคริสเตียนเลย ชีวิตของเราคือ ต้องตามพระเยซูเหมือนพวกเขา  มาระโกได้บอกเราว่า พวกเขาก็ตามพระองค์ไปทันที
มัทธิว 19:27  เปโตรถามพระเยซูว่า การที่พวกเขาสละทุกสิ่งตามพระองค์ไป พวกเขาจะได้อะไร
ลูกา 14:26 คนใดรักครอบครัว หรือชีวิตของตนมากกว่ารักพระเยซู จะเป็นศิษย์ของพระองค์ไม่ได้
 
ข้อ 19-20 
มาได้อีกหน่อย พระองค์ทรงพบยากอบ กับยอห์น ลูกชายเศเบดีกำลังง่วนชุนอวนอยู่   ทั้งสองก็ตามพระองค์ทันทีที่พระองค์ทรงเชิญเขา  ดูเหมือนว่า เศเบดีทำการประมงได้ดี เพราะมีลูกจ้างด้วย 
แปลกจริง คนทั้งสี่น่าจะต้องเคยได้ยินคำสอนของพระเยซูมาแล้ว รู้จักพระองค์มาก่อน จึงตัดสินใจทันทีอย่างรวดเร็ว ไม่มีความลังเลเลย 
มัทธิว 27:56  มารดาของบุตรชายทั้งสองของเศเบดี ก็ติดตามพระเยซูพร้อมกับคนอื่น ๆ มาจากกาลิลี

มาระโก 1:21-28 ปราบผีโสโครก 
ข้อ 21 
ที่เมืองคาเปอร์นาอูมทางตะวันตกเฉียงเหนือริมทะเลกาลิลี เป็นเหมือนเมือง
สถานีในการประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซู  มีเหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้นที่นั่น
ลูกา 4:31-37 เป็นเรื่องเดียวกันในมุมมองของท่านลูกา
มัทธิว 4:23  พระเยซูทรงไปประกาศทั่วแคว้นกาลิลี

ข้อ 22
พระเยซูสอนอย่างแตกต่างกับธรรมาจารย์อย่างสิ้นเชิง เพราะอำนาจนั้นมาจาก.oพระเจ้า ผู้คนสัมผัสได้กับคำพูดที่เต็มด้วยชีวิตและความรัก ส่วนพวกธรรมาจารย์จะคอยสอนบังคับให้คนทำตามกฎที่พวกเขาตั้งขึ้นมาอย่างเคร่งครัด
มัทธิว 7:28-29 ความเห็นของประชาชนเมื่อพระเยซูทรงสอน
มัทธิว 13:53-54  ผู้คนประหลาดใจกับสติปัญญาและอานุภาพของพระเยซู

ข้อ 23-28
ในศาลาธรรมนั่นเองที่พวกเขาเจอว่า มีชายที่มีผีโสโครกสิงอยู่ในหมู่พวกเขา พอผีเห็นพระเยซูมันก็โวยวาย ถ้าเราย้อนคิดไปถึงวันในถิ่นกันดารที่พระองค์พบกับมาร เราจะเห็นว่า พวกผีนั้นรับรู้ว่ามันพ่ายแพ้พระองค์ในวันนั้น มันพูดดักเอาไว้ก่อนว่าพระองค์จะทำลายมัน
แล้วมันยังอ้างด้วยว่ามันรู้จักพระองค์ พระองค์ทรงเป็นองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า
แต่พระเยซูกลับสั่งให้มันเงียบและออกมาจากชายคนนั้น ซึ่งมันก็ต้องยอมทำทันที  วิธีของพระเยซูนั้นเรียบง่าย สั่งด้วยฤทธานุภาพของพระเจ้า  ไม่ต้องใช้เครื่องรางของขลังใด ๆ ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ ตัวช่วยใด ๆ   คนที่อยู่ตรงนั้นประหลาดใจเพราะพวกเขาไม่เคยเห็นวิธีแบบนี้มาก่อนเลย  อย่าปล่อยให้ผีสิงคนโวยวาย ปราบมันให้เงียบอย่างพระเยซู!
มัทธิว 12:43 เรื่องของวิญญาณเร่ร่อนออกมาจากคน และกลับไปอีก
มัทธิว 12:28   พระเยซูตรัสว่า พระองค์ไล่มารโดยพระวิญญาณของพระเจ้า
มาระโก 9:14-29 พระเยซูขับไล่วิญญาณร้ายจากเด็ก
มัทธิว 4:24  ข่าวเรื่องพระเยซูรักษาโรคลือเลื่องไปทั่วแคว้นซีเรีย
มัทธิว 9:31 คนที่หายโรค ป่าวประกาศเรื่องพระองค์ไปทั่ว

ข้อ 29-39 ทรงรักษาคนป่วยมากมาย/เวลาส่วนพระองค์
ข้อ 29-31 
แม้จะเป็นเรื่องที่ดูไม่สำคัญมาก เพราะแม่ยายเปโตรเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไร  แต่มาระโกได้ทำให้เราเห็นว่า พระเยซูทรงใส่ใจทุกคน
แม้เพียงคน ๆ เดียวที่ป่วยอยู่  วิธีการของพระองค์แสนจะง่าย จับมือเธอลุกขึ้น เป็นเพราะพระองค์ทรงฤทธิ์   ที่น่าสนใจคือ ไม่ใช่แค่หายป่วยเธอยังมีแรงที่จะทำอาหารเลี้ยงพวกเขาทุกคนราวกับว่าไม่ได้ป่วยเลย แสดงว่าหายขาดจริง ๆ
มัทธิว 8:14-17 เหตุการณ์ พระเยซูรักษาแม่ยายเปโตร
ลูกา 4:38-39 พระเยซูรักษาแม่ยายเปโตร

ข้อ 32 
จากการรักษาโรคในบ้านเล็ก ๆ หลังหนึ่ง พระเยซูก็ออกมาที่สาธารณะ และรักษาคนเป็นจำนวนมาก ในตอนเย็นซึ่งเป็นเย็นของวันสะบาโต ทำให้ชาวบ้านชาวเมืองออกมาได้อย่างเป็นอิสระ ไม่ถูกจำกัดด้วยกฎสะบาโตที่ห้ามหลาย ๆ อย่าง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเมืองคาเปอร์นาอูม
ข้อ 33
บอกเราว่าคนทั้งเมืองออกมากันที่ประตู  วันนี้ พระเยซูทรงทำงานหนักมากแต่เช้าจนมืด
ข้อ 34
เราเห็นเลยว่า พระเยซูกำราบมารไม่ให้พูดอะไรออกมา …มันอยากจะพูดเพื่อก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้น
ลูกา 13:32  พระเยซูตรัสว่า เราจะไล่ผีมารทั้งหลาย
กิจการ 16:17-18 ทาสที่มีวิญญาณชั่วสิง เดินตามเปาโลและร้องตะโกนตามไปไม่หยุด

ข้อ 35
แม้พระเยซูจะทรงมีฤทธิ์เหนือมาร และโรคภัยไข้เจ็บมากมาย ทรงทำงานทั้งวัน เหน็ดเหนื่อย แต่เช้าตรู่ พระองค์เสด็จออกไปยังที่ไกลหูไกลตา และทรงอธิษฐานสัมพันธ์สนิทกับพระบิดาตามลำพัง มีหลายคนอาจให้ความเห็นว่า เป็นเหมือนการเสริมพลัง ทำให้พระองค์ทรงมีฤทธิ์ต่อไป นั่นอาจจริงแต่สิ่งสำคัญที่สุดคือที่พระองค์จะทรงสนทนากับพระบิดาต่างหาก แม้ว่าทรงเป็นพระเจ้า แต่เวลานี้ทรงอยู่ในกรอบเวลาแบบมนุษย์ พระองค์ทรงต้องการเวลาส่วนตัวกับพระบิดา และเป็นเวลาอันหวานชื่นของพ่อลูก
ข้อ 36-37
เมื่อศิษย์ตื่นขึ้นมา พบว่า พระอาจารย์ไม่อยู่ในบ้าน พวกเขาก็ออกตามหา และทูลพระองค์ว่าใคร ๆ ก็อยากพบพระองค์
ลูกา 4:42 เรื่องเดียวกันในมุมมองของลูกา
ฮีบรู 5:7 ตลอดเวลาที่ทรงเป็นมนุษย์ ทรงอธิษฐานต่อพระองค์ผู้ทรงช่วยให้รอดพ้นความตาย พระเจ้าทรงฟัง เพราะพระเยซูทรงเชื่อฟัง

ข้อ 38
แต่พระเยซูไม่ได้ทรงยอมให้คนอื่นมาเปลี่ยนวาระพันธกิจที่ทรงตั้งพระทัยไว้ ทรงชัดเจนถึงเหตุผลที่พระองค์ทรงอยู่ในโลก
ลูกา 4:43 เราถูกส่งมาเพื่อประกาศข่าวอาณาจักรของพระเจ้า
ข้อ 39
พระเยซูทรงเข้าไปสอนในศาลาธรรมอย่างอิสระ และทรงขับไล่มารในศาลาธรรมทั่วแคว้นกาลิลี น่าสนใจจริง มารชอบอยู่ในศาลาธรรม
สดุดี 22:22 ข้าเล่าถึงพระนามของพระองค์แก่พี่น้อง ร้องเพลงสรรเสริญท่ามกลางที่ประชุม
มัทธิว 9:35 พระเยซูทรงไปตามหมู่บ้าน เมืองต่าง ๆ สอนในศาลาธรรม รักษาโรค ทรงสงสารเห็นประชาชนเหมือนแกะไร้ผู้เลี้ยง

ข้อ 40-45 คำขอร้องจากชายโรคเรื้อน 
ข้อ 40-42
สำหรับชายโรคเรื้อนคนนี้ กล้าที่จะมาทูลขอต่อพระเยซู  และเขาทูลขอในสิ่งที่เราน่าจะเลียนแบบ   ถ้าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า  พระองค์ทรงทำได้… ความเชื่ออย่างเด่นชัด   เขามาขอให้พระองค์มีพระทัยที่จะช่วยให้เขาหายโรค
โรคเรื้อนของเขาเป็นหนักมาก ในลูกา 5:12 บอกว่า เขาเป็นโรคเรื้อนเต็มทั้งตัว
พระเยซูทรงสงสารเขา ความสงสารของพระองค์มากกว่าความสงสารที่มนุษย์จะมีต่อกันมากนัก  พระองค์ทรงแตะตัวเขา ผิวหนังที่ใคร ๆ ก็รังเกียจ เป็นโรคที่เต็มตัว น่าจะอยู่ในระยะสุดท้ายเลยทีเดียว  ชายคนนี้เป็นทุกข์มานานแล้ว โรคร้ายไม่สามารถก้าวล้ำไปที่ร่างของพระเยซูได้  แต่ชายคนนี้กลับได้รับการรักษาจากการแตะต้องและคำตรัสของพระเยซู
แค่พระเยซูตรัสว่า พระองค์ทรงประสงค์สิ่งใด สิ่งนั้นก็เกิดขึ้น! นี่เป็นเรื่องที่เหมือนกับการทรงสร้างเลย… พระเจ้าตรัสสิ่งใด สิ่งนั้นก็เกิดขึ้น
ชายโรคเรื้อนผู้นี้หายสะอาด
มัทธิว 8:1    ทรงรักษาคนโรคเรื้อน
มาระโก 8:2   พระเยซูตรัสเองในเรื่องของความสงสารผู้คน
กันดารวิถี 5:1-4 ย้ายคนเป็นโรคเรื้อนออกนอกค่าย  ไม่ให้เป็นมลทิน
เลวีนิติ 13:45-46  คนเป็นโรคเรื้อนต้องปล่อยผม สวมเสื้อขาด ปิดริมฝีปากบนและร้องว่า มลทิน  เขาต้องอยู่ลำพัง 
ข้อ 43-45
พระเยซูทรงสั่งให้เขาไปหาปุโรหิตเพื่อจะได้รับการประกาศว่าหายป่วยตามบัญญัติโมเสส (เลวีนิติ 14:2-32)
แต่แล้ว ความตั้งใจที่พระเยซูจะทรงไปประกาศเมืองอื่น ๆ ตามข้อ 38 กลับถูกขัดขวางเพราะชายโรคเรื้อนที่หายสะอาด เที่ยวไปเล่าเรื่องของพระองค์ให้คนมากมายฟัง ทั้ง ๆ ที่พระองค์ทรงห้ามแล้ว  เราเข้าใจว่า เขาตั้งใจดี อยากให้คนอื่นได้รู้ว่า มีท่านที่รักษาโรคให้ได้  คนจนมากมาย คนป่วยหนักจะได้มาหาพระองค์   แต่เรื่องนี้ทำให้พระองค์ต้องอยู่ห่างไกลผู้คน  ชื่อเสียงเลื่องลือว่าเป็นผู้รักษาโรคกลับมาเบียดบังพันธกิจสำคัญของพระองค์คือการเทศนาสั่งสอนเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า
เลวีนิติ 14:2-32 กฎต่าง ๆ เกี่ยวกับคนโรคเรื้อน
ลูกา 5:15-16  เมื่อชื่อเสียงเลื่องลือไป คนก็ยิ่งมาหาพระองค์ แต่พระองค์มักเสด็จไปที่เปลี่ยวและอธิษฐาน
ยอห์น 6:2 คนเห็นการรักษาโรคของพระเยซู ก็จะพากันตามพระองค์ไป